667 สาวงามข้างกาย วันเวลากับการท่องเที่ยว
“ตอนที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมเคยชอบที่ที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกและคนมากมายแบบนี้มาก” หวังเย้าพูด
หลังจากที่เริ่มฝึกฝนวิถีทางเต๋า เขาก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน
“คุณเคยเป็นเหมือนพวกเขาด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม พร้อมกับชี้ไปที่ชายหนุ่มหลายคนที่ตะโกนอยู่ข้างเวที
“ใช่ ก็ประมาณนั้น” หวังเย้าพูด
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินขึ้นไปบนเวที
“ผมขอร้องเพลง “ซินเดอร์เรลล่า” ให้กับคนรักของผมนะครับ” ชายหนุ่มพูด
“โว้ว! สุดยอดไปเลย!” กลุ่มคนที่อยู่ข้างเวทีต่างพากันตะโกน
ชายหนุ่มที่อยู่บนเวลทีเริ่มร้องเพลง “ฉันหลงใหลในตัวเธอได้ยังไง? ฉันเฝ้าถามตัวเอง ฉันยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ แต่ทำไมเธอถึงทิ้งฉันไป? เธอไม่ได้งดงามที่สุด แต่เธอน่ารักที่สุดสำหรับฉัน”
หากพูดตามจริงแล้ว ชายหนุ่มถือว่าร้องได้ดีทีเดียว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“คุณร้องเพลงได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ผมเหรอ? ไม่ได้หรอก” หวังเย้าพูด
“สวัสดีครับ คนสวย ผมขอได้รับเกียตริรู้จักกับคุณจะได้ไหมครับ?” อยู่ๆก็มีชายหนุ่มแต่งตัวดีเข้ามาหาซูเสี่ยวซวี
“ขอโทษค่ะ คงไม่ได้” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างเย็นชา
“ผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณเท่านั้นเอง คุณคิดว่ายังไงครับ?” ชายหนุ่มยังคงไม่ยอมแพ้
ผับคือสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการค้นหาสาวๆสวยๆ ชายหนุ่มมีโอกาสที่จะเจอเข้ากับหญิงสาวที่เพิ่งอกหักจากคู่รักหรือแฟนมา ผู้หญิงประเภทนั้นมักจะเสียใจและดื่มเหล้าอย่างหนัก มันจึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ชายหลายคนที่ต้องการลวงพวกเธอไม่ทำเรื่องไม่ดี
แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับพยายามจีบซูเสี่ยวซวี โดยที่ไม่สนใจหวังเย้าที่อยู่กับเธอเลยสักนิด บางที เขาอาจจะคิดว่าตัวเองดีกว่าก็เป็นได้
“ฮาฮา!” ชายหนุ่มหัวเราะ
เขาเดินขึ้นไปบนเวทีและกระซิบบางอย่างกับชายหนุ่มที่กำลังร้องเพลงอย่างได้อารมณ์ ชายหนุ่มคนนั้นก็ยกเวทีให้กับเขา
“ผมขอร้องเพลง ‘สารภาพรัก’ ให้กับสาวสวยคนนั้นนะครับ” ชายหนุ่มแต่งตัวดีพูด
เขาชี้ไปที่ซูเสี่ยวซวีที่อยู่ๆก็ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง
“ว้าว เธอสวยมากเลย” คนในผับพูด
“เดี๋ยวนะ! เธอมากับคนอื่นนี่” อีกคนพูด
“เขากำลังพยายามจะแย่งเธอจากผู้ชายอีกคนเหรอเนี่ย?” เพื่อนของเขาถาม
ชายที่แต่งตัวดีเริ่มร้องเพลง “เรียบลำน้ำแซน คาเฟ่ที่อยู่ทางซ้าย ผมกำลังดื่มกาแฟถ้วยหนึ่งและลิ่มรสความงามของคุณ รอยลิปของคุณติดอยู่ในในใจของผม…คุณบอกว่าไม่สนใจ คุณอยากให้ผมถอยไป…”
“เธอคิดว่า เขาร้องเพลงเป็นยังไง?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
“แย่มาก! เสียงร้องของเขาไม่ได้เรื่องเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
หากพูดตามตรง หวังเย้าคิดว่าเขาร้องได้ดีทีเดียว
“ฉันไม่อยากอยู่แล้วค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“โอเค” หวังเย้าจ่ายเงิน
“นี่ คนสวย อย่าเพิ่งไป!” ชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีตะโกน ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังอินกับการร้องของตัวเองอยู่ “อย่าเพิ่งไป! อย่าเพิ่งไป!”
ฝูงชนส่งเสียงโวยวาย
“เปรี๊ยง!”
อยู่ๆทุกคนในผับก็ได้ยินเสียงที่ราวกับเสียงของฟ้าผ่า ที่กลบเสียงอื่นจนมิด
“โอ๊ย!” มีคนร้องออกมา”
“หูฉัน!” มีอีกคนที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกปวดในหูอย่างมาก
คนที่อยู่ในผับต่างเอามือกุมหูและนวด
“นั่นอะไรน่ะ?” หลังออกมาจากผับแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็ถามขึ้นมา
“มันก็แค่ วิธีการใช้กำลังภายในอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด
“เหมือนกับ สิงโตคำราม น่ะเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“อืม คล้ายแบบนั้นแหละ” หวังเย้าพูด
“คุณสุดยอดไปเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“พวกเขาเสียงดังเกินไป” หวังเย้าพูด
“โอ้ แย่จริง!” ชูเหลียนเดินออกมาจากผับพร้อมกับเอามือนวดขมับของตัวเอง หมอหวังมีความสามารถมากจริงๆ เขาใช้ได้แม้กระทั่ง สิงโตคำราม
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก และตามหวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีต่อ
หวังเย้าดูเวลาจากหน้าจอมือถือของเขา “สามทุ่มแล้ว ผมจะพาเธอกลับบ้านนะ”
“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด ถึงแม้ว่าเธอจะอยากอยู่กับเขาให้นานกว่านี้ก็ตามที “ฉันจะโทรหาน้าเหลียนนะคะ
ครู่ต่อมา ซุเหลียนก็มาหาพวกเขา เธอขับรถไปส่งหวังเย้าที่โรงแรมก่อน จากนั้นก็กลับไปที่บ้านกับซูเสี่ยวซวี
“วันนี้สนุกไหมคะ?” ชูเหลียนถาม
“ค่ะ หนูมีความสุขมากเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
เมื่อได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ซงรุ่ยปิงก็เดินออกมาจากห้องนั่งเลาน
“ลูกกลับมาแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด “วันนี้สนุกไหมจ๊ะ?”
“สนุกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ดีจ๊ะ ลูกไปพักเถอะนะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอเดินขึ้นบันไดพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย
“พวกเขาไปที่ไหนกันมาบ้าง?” ซงรุ่ยปิงถามเสียงเบา
“พวกเขาไปทานอาหารด้วยกันที่ร้าน และไปผับที่ทะเลสาบโฮ่วห่ายค่ะ” ชูเหลียนพูด
“ผับเหรอ? เสี่ยวซวีเข้าไปดื่มในนั้นเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ค่ะ เธอสั่งค็อกเทลมาแก้วหนึ่ง” ชูเหลียนพูด
“แล้วยังไงต่อ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เธอไม่ได้ดื่มเลยค่ะ” ชูเหลียนพูด
“อืม ดีแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด
“มีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ พรุ่งนี้ หมอหวังอยากจะมาเยี่ยมที่นี่ค่ะ” ชูเหลียนพูด
“ได้” ซงรุ่ยปิงพูด เธอก็อยากจะคุยกันต่อหน้ากับหวังเย้าอยู่เหมือนกัน
ค่ำคืนในปักกิ่งยังคงคึกคัก วันต่อมา ท้องฟ้ามืดครึ้ม ราวกับท้องฟ้าถูกบางอย่างครอบเอาไว้ จนทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด มันเป็นเพียงแค่วันหนึ่งในปักกิ่งเท่านั้น
หวังเย้าเตรียมของขวัญเอาไว้ด้วย เขาเอาชามาจากห่านชิว ซึ่งเป็นชาที่ได้มาจากซวีเม่าชวง เขาไม่ได้ขอให้ชูเหลียนมารับ และเดินทางไปที่บ้านของซูเสี่ยวซวีด้วยตัวเอง
“อรุณสวัสดิ์ครับ น้าซง” หวังเย้าพูด ครั้งนี้ เขาไม่ได้เรียกเธอว่าคุณ
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะ เข้ามาข้างในก่อนสิ” ซงรุ่ยปิงเชิญหวังเย้าเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้ม
ชาถูกนำมาเสริฟอย่างรวดเร็ว
“หมอหวัง!” เมื่อได้เห็นหวังเย้า ซูเสี่ยวซวีก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที เธอเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งสามคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง
“เสี่ยวซวี แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับหมอหวังเป็นการส่วนตัว” ซงรุ่ยปิงพูด “ได้ไหมจ๊ะ?”
“ได้สิคะ” ซูเสี่ยวซวีเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเงียบๆ
“หวังเย้า ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเธอ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ได้ครับ น้าซงพูดมาได้เลย” หวังเย้าพูด
“ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจกับการที่เธอช่วยชีวิตของเสี่ยวซวีเอาไว้ ความจริง ทุกคนในตระกูลล้วนแล้วแต่รู้สึกขอบคุณเธอเพราะเรื่องนี้ เราจดจำไว้ในใจอยู่เสมอ” ซงรุ่ยปิงพูด
หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่นั่งฟังซงรุ่ยปิงอยู่ที่โซฟาอย่างเงียบๆเท่านั้น
“แต่ในฐานะของคนเป็นแม่แล้ว ฉันก็ต้องใส่ใจเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งงานของเสี่ยวซวี” ซงรุ่ยปิงพูด
“ผมเข้าใจดีครับ” หวังเย้าพูด
“ดังนั้น ฉันหวังว่า เธอจะบอกความจริงกับฉันได้ ว่าเธอชอบเสี่ยวซวีจากใจจริงหรือไม่” ซงรุ่ยปิงพูด “เธอคบกับลูกสาวของฉัน เพราะชอบเสี่ยวซวีอย่างบริสุทธิ์ใจหรือเปล่า?”
“ครับ ผมชอบเธอมาก” หลังจากที่เงียบไปไม่นาน หวังเย้าก็ตอบกลับไป “ผมอยากจะใช้เวลาร่วมกับเธอ เพื่อดูว่าเราเข้ากันได้ดีรึเปล่า”
“อืม ฉันก็ได้แต่หวังว่าเธอจะไม่ทำร้ายเสี่ยวซวีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด ส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายเสียใจเมื่อถึงเวลาที่ต้องจบความสัมพันธ์
“แน่นอนครับ” หวังเย้าตอบออกมาจากใจจริง
“ดี” ซงรุ่ยปิงพูด “ชูเหลียน ไปเรียกเสี่ยวซวีลงมาเถอะ”
“ค่ะ คุณผู้หญิง” ชูเหลียนพูด
ซูเสี่ยวซวีลงมาด้านล่างและเดินเข้าไปหาหวังเย้า
“วันนี้ อยากจะไปเที่ยวที่ไหนดีคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม “ฉันจะพาไปเอง แล้วก็จะเป็นคนพาเที่ยวด้วย”
“ฟังดูเข้าท่าดีนะจ๊ะ ขอให้ทั้งสองเที่ยวให้สนุกนะ” ซงรุ่ยปิงพูด “จะกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านไหมจ๊ะ?”
“คงไม่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“โอเค งั้นก็ดูแลตัวเองดีดีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด
เธอเดินออกไปส่งลูกสาวและหวังเย้าที่ประตู
“หมอหวัง วันนี้เราจะไปที่ไหนกันดีคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ผมตามใจเธอเลย” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ถามว่า แม่ของเธอพูดอะไรกับหวังเย้า และเขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยด้วย
“เราไปที่อุทยานเป่ยห่ายกันดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีเสนอขึ้นมา
“เอาสิ” หวังเย้าพูด
“งั้นก็ไปกันเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ มีสถานที่น่าไปอยู่มากมาย จึงทำให้ไม่สามารถเที่ยวได้จนหมดภายในวันเดียว
ซูเสี่ยวซวีอารมณ์ดีมาก แต่เธอก็ยังไม่สามารถสลัดความคิด เรื่องที่ว่าแม่ของเธอได้พูดอะไรกับหวังเย้าไปก่อนหน้านี้
“จักรพรรดิในอดีตทรงรู้จักสรรหาความสุขใส่ตัวกันเก่งมากเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดหลังจากที่พวกเขามาถึงที่อุทยานเป่ยห่าย
ภายในอุทยาน หวังเย้ารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่คล้ายกับบนเนินเขาหนานชาน แต่แน่นอนว่า พลังในอุทยานเป่ยห่ายคงจะไม่ได้ดีเท่ากับที่เนินเขาหนานชานอยู่แล้ว ผู้ออกแบบอุทยานหลวงแห่งนี้คงจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก และอาจจะขอคำปรึกษาจากอาจารย์ฮวงจุ้ยด้วย
น้ำกระเพื่อมอยู่ภายในทะเลสาบ ตึกสีขาวตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่ไกลออกไห
“เธอรู้สึกอะไรบ้างไหม?” หวังเย้าถามอย่างอ่อนโยน
“รู้สึกอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่ง “หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
“ก็พลังที่อยู่รอบๆตัวเรายังไงล่ะ” หวังเย้ามองไปรอบๆ
“พลังของสถานที่แห่งนี้เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีหลับตาเพื่อรับรู้ถึงมัน
“บอกตามตรงนะคะ ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าเทียบกับในตัวเมืองแล้ว พลังของที่นี่บริสุทธิ์และเข้มข้นกว่ามากเลยล่ะ” หวังเย้าพูด
“หมายความว่า ที่นี่เหมาะกับการฝึกฝนเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ใช่ นั่นแหละที่ผมอยากจะบอก” หวังเย้าพูด
ทั่วทั้งปักกิ่งเต็มไปด้วยมลพิษ ซึ่งต่างจากเมื่อหลายพันปีก่อนมาก มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่จักรพรรดิเหล่านั้นเลือกปักกิ่งเป็นเมืองหลวง พวกเขาคงจะใช้ความพยายามอย่างหนักในการสร้างมันขึ้นมา ปักกิ่งกลายเป็นเมืองหลวงของประเทศจีนมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน มันถูกออกแบบมาอย่างละเอียด ผู้คนในสมัยโบราณนั้นมีความเฉลียวฉลาดในบางเรื่องมากกว่าคนในสมัยปัจจุบัน โดยที่พวกเขาไม่ได้มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเลย
เมืองถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีจุดประสงค์ ไม่ว่ามันจะมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ก็ตาม
“ฉันไม่รู้สึกอะไรจากที่นี่เลย แต่ฉันรู้สึกได้แค่ตอนที่อยู่ใกล้กับเนินเขาหนานชานเท่านั้น” ซูเสี่ยวซวีพูด
เธอไม่เคยขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานมาก่อน เธอเพียงแค่อยู่ที่บริเวณตีนเขาเท่านั้น ซึ่งเธอสามารถรับรู้ถึงพลังพิเศษบางอย่างได้
“ถ้ามีเวลา เธอน่าจะลองแวะมาที่นี่บ่อยๆนะ” หวังเย้าพูด “มันจะเป็นประโบนช์กับการฝึกฝนของเธอมากเลยล่ะ”
“ได้ค่ะ ฉันจะมาบ่อยๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หลังเดินเล่นในอุทยานเป่ยห่ายเสร็จแล้ว พวกเขาก็พากันไปที่กำแพงเมืองจีนต่อ หวังเย้าเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งในวันฝนตก และเขายังมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดในเวลานั้นด้วย แต่ในเวลานี้ สถานที่แห่งนี้มีนักท่องเที่ยวอยู่เยอะเกินไป แม้ว่าจะไม่ใช้ฤดูกาลของการท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีคนเดินทางมาไม่ขาดสาย หวังเย้าจึงไม่สามารถรับรู้ถึงพลังพิเศษอะไรได้เลย