671 ได้ครับ เจ้าหญิงของผม
ร้านอาหารมีความโดดเด่นในเรื่องของอาหารเจียงซู เชฟจัดแต่งจานอาหารให้ออกมาน่าทานและรสชาติอร่อย หลังจากที่พวกเขาทานเสร็จและเตรียมที่จะจ่ายเงิน พวกเขาก็พบว่า มีคนจ่ายให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
“โจวชื่อฉิง?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ น่าจะเป็นเขา” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เราไปทักทายสักหน่อยดีไหม?” หวังเย้าเสนอ
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะจ่ายเงินค่าอาหารให้คนที่เป็นเพื่อนกัน แต่หวังเย้าไม่ต้องการติดหนี้ใคร แล้วโจวชื่อฉิงก็ไม่ใช่เพื่อนของเขาด้วย
เขาและซูเสี่ยวซวีเดินไปทักทายและขอบคุณโจวชื่อฉง สำหรับเรื่องที่เขาจ่ายเงินค่าอาหารให้ ก่อนที่พวกเขาจะขอตัวกลับ
“นี่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ?” เพื่อนของโจวซื่อฉิงถาม “สวยอย่างกับนางฟ้าเลย”
“ใช่ๆ” เพื่อนอีกคนพูด “นายปล่อยให้เธอกลับไปเฉยๆแบบนั้นได้ยังไงกัน? นายน่าจะแนะนำเธอให้พวกเรารู้จักก่อนสิ”
“เธอเหรอ? อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ” โจวชื่อฉิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เธอเป็นใครเหรอ?” เพื่อนคนหนึ่งถาม
“เธอเป็นลูกสาวของซูฉางเหอ” โจวชื่อฉิงพูด
“โอ้ ฉันเข้าใจแล้วล่ะ” เพื่อนของเขาพูด “ฉันได้ยินมานานแล้ว ว่าคุณหนูซูเป็นคนสวยมาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะสวยได้ขนาดนี้ ไม่ใช่จะหาคนสวยแบบนี้ได้ง่ายๆ!”
“เธอก็เหมือนกับของพีโอเนียดอกหนึ่ง ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยเท่าเธอมาก่อน” เพื่อนอีกคนพูด “เธอมีแฟนรึยัง?”
“มีแล้ว” โจวชื่อฉิงพูด เขารู้ว่า กั๋วเจิ้งเหอกำลังตามติดซูเสี่ยวซวี และต้องการจะแต่งงานกับเธอ แต่ดูเหมือนว่า ซูเสี่ยวซวีกับหวังเย้าดูจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก เพราะถึงขนาดมากินข้าวด้วยกันแบบนี้ โจวชื่อฉิงก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าเรื่องเป็นมายังไง
“น่าเสียดาย” ชายหนุ่มจากตระกูลร่ำรวยคนหนึ่งพูด
“นายมีแฟนอยู่แล้วตั้งหลายคน แล้วสาวๆสวยๆในบริษัทภาพยนตร์ที่แย่งกันปีนเตียงของนายอีกล่ะ” โจวชื่อฉิงพูด “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนเมื่อคืนล่ะ?”
“นั่นก็แค่คู่นอนแค่คืนเดียว ฉันไม่จะคิดจริงจังกับผู้หญิงพวกนั้นหรอก” ชายหนุ่มพูด
“มาดื่มกันดีกว่า” โจวชื่อฉิงพูด
“เอาสิ ดื่ม” ชายหนุ่มพูด
ซูเสี่ยวซวีกลับบ้านไปด้วยที่ดีมาก
“วันนี้ ไปเที่ยวที่ไหนมาเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ไปที่สุสานราชวงศ์หมิงมาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“สุสานอยู่ไกลจากที่นี่มากนี่จ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ใช่ค่ะ แล้วหนูก็ได้เรียนรู้จากหมอหวังมาเยอะเลยด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“โอ้? แล้วลูกได้เรียนอะไรมาเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เรื่องฮวงจุ้ยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เขารู้เรื่องฮวงจุ้ยด้วยเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ค่ะ เขารู้เรื่องพวกนี้เยอะเลยด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ซงรุ่ยปิงไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอเพียงแค่ยิ้มและคิดว่า หวังเย้าอาจจะแค่พยายามเอาใจลูกสาวของเธอเท่านั้น
“แล้วพรุ่งนี้ ลูกคิดจะไปที่ไหนกันจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “คุณแม่มีที่ไหนแนะนำบ้างไหมคะ?”
“พวกลูกไปเที่ยวจุดที่มีชื่อเสียงของปักกิ่งมากันเกือบหมดแล้ว ลูกก็ลองหาที่ที่ได้นั่งคุยกันดูสิจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“คุยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความแปลกใจ “หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
เธอเข้าใจสิ่งที่แม่ของเธอต้องการจะบอก เมื่อเธอขึ้นไปชั้นบน เธอก็เฉินหยิงอยู่บนนั้นด้วย
“หลังจากที่คุณหนูกับหมอหวังไปแล้ว มีคนสองสามคนเข้ามาคุยกับฉันด้วยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวถาม “พวกเขาถามถึงเรื่องของหมอหวังเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ เป็นคนจากตระกูลหวู, หมอเฉิน, แล้วก็คนจากตระกูลลู่ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เขาไปที่กระท่อมด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ค่ะ เขากำลังเรียนรู้วิถีของโลกอยู่” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“หมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เขากำลังมองหาพันธมิตรอยู่ค่ะ” เฉินหยิงพูด “เรื่องที่เกิดขึ้นในวัดปี้หยุนทำให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องทำอะไรสักอย่างที่จะสู้เพื่อคุณและคนที่เขารักยังไงล่ะคะ เขาเลยพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวของเขาเอง”
“เขากำลังพยายามหาผู้ช่วยจากผู้มีอำนาจที่เขารู้จักอย่างนั้นเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ค่ะ ขอแค่เขาต้องการ คนจากตระกูลหวูก็ยินดีช่วยเขา รวมไปถึงคนจากตระกูลลู่ด้วยค่ะ” เฉินหยิงพูด “และแน่นอนว่า ตระกูลของคุณหนูก็จะช่วยด้วยเช่นกัน ลองคิดดูสิคะ ถ้าเขาคิดจะสร้างเครือข่ายของตัวเองขึ้นมาจริงๆ เขาจะมีผู้ช่วยอยู่มากขนาดไหน”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาต้องการแค่ไหนสินะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ในขณะเดียวกัน หวังเย้านั้นกำลังเดินอย่างไร้จุดหมายอยู่บนถนน เขาได้รับสายจากหวูถงชิ่ง
“ฮัลโหล คุณหวู” หวังเย้าพูด
“ฮัลโหล หมอหวัง ตอนนี้ หมออยู่ที่ปักกิ่งเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“คุณสะดวกเจอกันไหมครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด
เขาบอกที่อยู่กับหวูถงชิ่งไป ครู่ต่อมา ก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอดตรงหน้าเขา หวูถงชิ่งก็ลงมาจากรถคันนั้น
“สวัสดี มาปักกิ่งทำไมไม่บอกกันเลยล่ะ?” หวูถงชิ่งที่ลงมาจากรถถาม
“ผมมาเรื่องส่วนตัวน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เราไปหาที่คุยกันดีไหม?” หวูถงชิ่งพูด
“ครับ” หวังเย้าพูด
หวูถงชิ่งพาหวังเย้าไปที่เงียบๆแห่งหนึ่ง
“หมอจะอยู่กี่วันเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ประมาณอาทิตย์หนึ่งครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วหมอพอจะมีเวลาไปดูอาการพ่อของผมไหม?” หวูถงชิ่งถาม
“ความจริง ไปหรือไม่ไปมันก็ไม่ต่างกันเลยนะครับ” หวังเย้าพูด เขารู้ว่า ชายชราต้องพึ่งพายาเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่มีการรักษาไหนที่จะทำให้เขาดีขึ้นได้เลย คล้ายกับอาการของหวังยี่หลงชายชราที่หมู่บ้านของหวังเย้า “ผมคงทำให้เขาดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ขอแค่หมอช่วยทำให้เขาเจ็บปวดน้อยลงก็มากพอแล้วล่ะครับ” หวูถงชิ่งพูด
“เรื่องนั้นผมอาจจะพอช่วยได้ครับ” หวังเย้าพูด
เขามีตัวยาปาเจียวถงติดมาด้วย ซึ่งมันมีสรรพคุณในการบรรเทาความเจ็บปวด
หวูถงชิ่งมองแก้วในมือ ในขณะที่กำลังคิดว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้หวังเย้าไปดูอาการพ่อของเขาที่บ้าน
“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ยังไงผมก็อยากให้หมอที่ดูเขาสักหน่อยอยู่ดีน่ะครับ” หวูถงชิ่งพูด
“ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาพบกับคนคนหนึ่ง ผมคงต้องขอถามเธอก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
“เสี่ยวซวีน่ะเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“ตามสบายเลย” หวูถงชิ่งพูด เขาเคยไปคุยกับซงรุ่ยปิงมาก่อนหน้านี้แล้ว ซงรุ่ยปิงได้รับปากเขาไว้แล้วด้วย ว่าเธอจะช่วยคุยกับหวังเย้าเรื่องพ่อของเขาให้ และบอกว่า ซูเสี่ยวซวีไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
หลังจากที่หวูถงชิ่งสั่งให้คนไปส่งหวังเย้าที่โรงแรมแล้ว เขาก็โทรไปหาซงรุ่ยปิงเพื่อนัดเจอเธอในวันพรุ่งนี้
“หืมมม เขาคิดจะส่งต่อหนี้บุญคุณมาให้กับฉันอย่างนั้นเหรอ?” ซงรุ่ยปิงยิ้มขึ้นมาหลังจากที่วางสายเสร็จ
“เธอกำลังพูดถึงใครงั้นเหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาที่กำลังอ่านรายงานอยู่ถาม
“ก็คนที่ลูกสาวของคุณหลงรักน่ะสิคะ” ซงรุ่งปิงพูด
“แล้วเขาเอาหนี้บุญคุณของใครมาให้เหรอ?” ซูเซี่ยงฮวาถาม
“หวูถงชิ่งค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“โอ้ หวูถงชิ่งงั้นเหรอ ผมเข้าใจแล้ว” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“หวูถงชิ่งมีอะไรเหรอคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ดูเหมือนว่าภาระบนบ่าของเขาจะเพิ่มมากขึ้น” ซูเซี่ยงฮวาพูด
“โอ้?” ซงรุ่ยปิงถามด้วยความประหลาดใจ “คุณจะบอกว่า…”
“ไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเถอะ” ซูเซี่ยงฮวาพูด
เช้าวันต่อมา ในปักกิ่งก็เริ่มมีฝนตกลงมา
“คุณปู่หวูเป็นคนดีมาก หมอช่วยเขาด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดขึ้นในตอนที่เจอะกับหวังเย้า
“ได้สิ เจ้าหญิงของผม” หวังเย้าพูด
ใบหน้าของซูเสี่ยวซวีแดงเรื่อ ซึ่งทำให้น่ามองมากยิ่งขึ้นไปอีก
ที่บ้านตระกูลหวู ทุกคนกำลังรอคอยหวังเย้ากันอยู่ ชายชรานอนอยู่บนเตียง ผิวหนังบนใบหน้าของเขาดูราวกับเปลือกไม้ที่หลุดมาจากต้นไม้อายุหลายร้อยปี ผมของเขาขาวโพลน ดวงตาหลับสนิทและหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ
“อือออ!” เขาครางออกมา และขมวดคิ้วเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าเขากำลังอดทนกับความเจ็บปวดอยู่
“พ่อ หมอหวังมาครับ” หวูถงชิ่งพูด
“โอ้!” ชายชราลืมตาและมองไปที่หวังเย้า “สวัสดี พ่อหนุ่ม”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรนะครับ” หวังเย้าตรวจดูร่างกายของชายชราอย่างละเอียด ปอดของเขามีปัญหาอย่างหนัก มะเร็งลุกลามไปทั่วทั้งปอดและลามไปจนถึงตับของเขาด้วย แม้แต่พระเจ้าก็คงจะช่วยเขาไม่ได้
“มะเร็งในตัวเขาได้แพร่กระจายไปส่วนอื่นแล้ว” หวังเย้าพูด
“เรารู้” หวูถงชิ่งพูด
“ผมคงจะทำให้มันดีกว่านี้ไม่ได้ คงจะทำได้แค่ยืดอายุและลดความเจ็บปวดให้กับเขาได้เท่านั้น” หวังเย้าพูด
“แค่นั้นเราก็ขอบคุณมากแล้วล่ะครับ” พี่ชายคนโตของหวูถงชิ่งพูด
“ผมจะกลับไปต้มยาให้พ่อของคุณที่กระท่อมของตระกูลซู แล้วจะกลับมาอีกทีตอนบ่ายนะครับ” หวังเย้าพูด
“มีอะไรจะให้เราทำบ้างไหมครับ?” พี่ชายคนโตของหวูถงชิ่งถาม
“ผมต้องการสมุนไพรบางตัวครับ” หวังเย้าเขียนรายชื่อสมุนไพรลงไปในกระดาษแผ่นหนึ่ง “ตอนนี้ ผมจะฝังเข็มเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของมะเร็งให้เขาก่อนนะครับ”
หวังเย้าคลายเสื้อผ้าของชายชราและหยิบเข็มที่เขามักจะพกติดตัวเสมอออกมา เขาเริ่มแทงเข็มลงไปบนร่างกายของชายชราอย่างช้าๆ แต่มั่นคง เขาไม่ใช่แค่ฝังเข็มรักษาเท่านั้น แต่เขายังส่งพลังฉีเข้าไปในร่างกายของชายชราด้วย พลังฉีของหวังเย้านั้นทั้งบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยพลัง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชายชราอย่างมาก
หลังจากดึงเข็มทั้งหมดออกจากร่างกายของชายชราแล้ว เขาก็ตบเบาๆไปที่หน้าอกของชายชราและส่งพลังฉีเข้าไปในร่างกายของชายชรา
พลังฉีจะทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หวังเย้าคิด
เขาคิดว่า มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า ทำไมคนที่บาดเจ็บสาหัสถึงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วยกำลังภายใน เพราะมันจะเข้าไปปกป้องหลอดเลือดและหัวใจของคนคนนั้น เขาได้อ่านนิยายกำลังภายในมาหลายเรื่อง แต่ก็มีคนในยุคปัจจุบันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะสามารถทำอย่างในนิยายได้ อย่างน้อย ตัวหวังเย้าเองก็ยังไม่เคยเจอใคร ที่สามารถช่วยคนใกล้ตายได้ด้วยการใช้กำลังภายในมาก่อนเลย
ฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด หลังจากได้รับการชะช้างจากน้ำฝน ก็ทำให้ต้นไม้บริเวณกระท่อมที่เป็นของตระกูลซูเขียวชอุ่มขึ้น
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เฉินหยิงพูด
“ขอโทษที่ต้องมารบกวนพี่อีกแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่รบกวนเลยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“อุปกรณ์สำหรับทำยาของผมยังอยู่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ” เฉินหยิงพูด เธอรีบไปนำมันออกมาและจัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้หวังเย้าจนเรียบร้อย
หวังเย้าต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการทำยา ถึงเขาจะพกหม้ออเนกประสงค์ติดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่สามารถนำมันออกมาต่อหน้าคนอื่นได้ เพราะมันถือเป็นความลับอย่างหนึ่งของเขา
เม็ดฝนตกลงกระทบกับหลังคาและหน้าต่าง จนเกิดเป็นเสียงดังให้ได้ยิน
น้ำในหม้อเริ่มเดือด ทำให้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นของสมุนไพร