725 มนุษย์มีความเห็นแก่ตัว
“แล้วมีที่นั่นมีการแลกเปลี่ยนฝีมือกันไหม?” หวังเย้าถาม
“มีสิ โลกนี่มันกว้างใหญ่ มันเลยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรเลย” จงหลิวชวนพูด “เขาเป็นคนมีพรสวรรค์และยังตั้งใจทำงานอย่างหนักด้วย เขามันบ้า เขาชอบฆ่าคน แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่า ระดับความสำเร็จในภารกิจของเขาจะสูงมาก เขาถือเป็นไพ่สำคัญของบริษัท แต่เขาคงไม่คิดว่า เขาจะต้องมาเจอกับคนแบบคุณ”
เขายังคงเป็นกังวลว่า หวังเย้าอาจจะตกอยู่ในอันตราย ถึงจงหลิวชวนจะรู้ว่า ความสามารถของหวังเย้าจะสูงมากก็ตามที แต่องค์กรที่เขาเคยอยู่ก็ไม่ได้ธรรมดาเลย
“เขาเป็นพวกชอบทำร้ายตัวเองใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ใช่ เขามีชื่อเสียงในเรื่องนั้นมากเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด “พูดกันว่า การทำร้ายตัวเองถือเป็นวิธีการในการพัฒนาความสามารถของคนบางพวก”
“เขาคงป่วยหนักและไม่สามารถรักษาได้แล้ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
การทำร้ายตัวเองถือเป็นโรคชนิดหนึ่ง ในบางครั้ง อาการป่วยทางจิตก็อาจจะเลวร้ายกว่าป่วยทางกาย
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องเล่าจากจงหลิวชวนแล้ว หวังเย้าก็เงียบไปพักหนึ่ง
“หมอหวัง ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก” จงหลิวชวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมไม่ใช่คนชอบตัดสินคนอื่น” หวังเย้าพูด “แล้วคุณก็ยังช่วยผมกับครอบครัวเอาไว้หลายครั้งด้วย”
หวังเย้าไม่สนใจว่าในอดีตจะถูกหรือผิด หรือจงหลิวชวนจะเคยเป็นคนดีหรือคนเลวมาก่อน เขาสนใจแค่ปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น ในเมื่อจงหลิวชวนได้ช่วยเขาเอาไว้หลายครั้ง ในสายตาของหวังเย้าตอนนี้ เขาก็ไม่ถือว่าเป็นคนเลวอะไร
“ขอบคุณครับ” จงหลิวชวนพูด เขาตกใจที่ตัวเองพูดออกไปแบบนั้น
“ผมรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับองค์กรที่คุณเล่ามา” หวังเย้าพูด “ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้กันเลยเหรอครับ?”
เขาไม่รู้ว่า ประเทศอื่นเป็นยังไง แต่เขาค่อนข้างชัดเจนในสถานการณ์ในประเทศของตัวเอง ทางการได้มีการควบคุมเรื่องอาวุธอย่างเข้มงวด ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขององค์กรนักฆ่าแบบนี้เลย
“สถานการณ์ในประเทศต่างการประเทศอื่น” จงหลิวชวนพูด “เมื่อก่อนพวกเขาเคยเข้มงวด องค์กรก็เคยเกือบหายไปเหมือนกัน แต่พวกเขาก็หาคนมารับโทษแทนได้ แต่พวกเขาก็เจ็บหนักไม่น้อย ช่วงนั้น พวกเขาก็เลยซ่อนตัวไปสักพัก”
“ใครเป็นผู้นำขององค์กรเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ผมก็ไม่รู้” จงหลิวชวนพูด “ผมรู้แค่ว่า มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร บางที คนที่คุณเพิ่งฆ่าไปอาจจะรู้ก็ได้”
“เขาเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ อาเสิ่น คนที่มาคราวก่อนก็เป็นสมาชิกเหมือนกัน” จงหลิวชวนพูด
“จริงเหรอเนี่ย?” หวังเย้าพบว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมาก
“ครับ เขาอยู่ระดับเดียวกันกับผม แต่รู้มากกว่าผม” จงหลิวชวนพูด
เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ทำให้หวังเย้าบังเอิญได้รู้ถึงเรื่องราวของโลกอีกด้านหนึ่งในมื้อเย็นวันนั้น เรื่องที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่า มันมีอยู่แค่ในนิยายกับหนัง กลับมีอยู่ในโลกของความเป็นจริง
“ผมกำลังซ่อนตัวจากพวกเขา แต่ก็คิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะหาผมเจอได้เร็วขนาดนี้” จงหลิวชวนพูด “พรุ่งนี้ ผมจะจากไปพร้อมกับอันซิน”
เดิมเขาเคยคิดว่า เรื่องราวทั้งหมดจะผ่านเลยไปตามกาลเวลา เขาหวังว่าคนพวกนั้นจะลืมเรื่องของเขาไป เขายังอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับน้องสาวของเขา และมีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นแค่ความปรารถนาที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง
“ทำไมล่ะ?” หวังเย้าถาม
“ผมรู้เรื่องที่ผมไม่ควรรู้มากเกินไป” จงหลิวชวนพูด “ผมคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะรู้แล้ว ถึงเขาจะพลาด แต่ก็จะมีคนอื่นมาอีก การอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับคุณเท่านั้น”
“ปัญหาเหรอ? คุณคิดว่า ปัญหาที่ผมมีอยู่ตอนนี้มันจะลดลงไปเหรอ? อยู่ที่นี่ต่อเถอะ” หวังเย้าพูดจากใจจริง
มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับจงหลิวชวน ที่หวังเย้าต้องการให้เขาอยู่ต่อ
“ไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้ผมมีปัญหา” หวังเย้าพูด “นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องการเอง”
จงหลิวชวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ผมขอคิดดูก่อนนะ”
หลังจากจบมื้ออาหาร พวกเขาก็กลับไปที่หมู่บ้าน มันเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ภายในหมู่บ้านจึงค่อนข้างเงียบ
เมื่อหวังเย้ากลับไปถึงที่บ้าน พ่อแม่ของเขายังคงดูทีวีอยู่ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฉายอยู่เลยสักนิด หลังจากที่ได้ยินว่าหวังเย้ากลับมาแล้ว จางซิวหยิงก็เดินออกมาจากห้องด้านใน
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมจ๊ะ?” เธอถาม
พ่อแม่ของเขาได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนเช้าว่ามีคนตาย เรื่องนี้ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว และแทบทุกคนในหมู่บ้านที่รู้เรื่องนี้ พวกเขายังรู้อีกด้วยว่า หวังเย้าอยู่ในตอนที่เกิดเรื่องขึ้น พ่อแม่ของเขาจึงเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับลูกชายของพวกเขา
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” หวังเย้าพูด “ไปนอนเถอะครับ ผมจะขึ้นไปบนเขาแล้ว”
“งั้นก็ระวังๆหน่อยนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
เมื่อเขาขึ้นไปถึงบนเขาแล้ว หวังเย้าก็จุดไฟ เขานำหม้ออเนกประสงค์มาต้มยา ตัวยาส่งกลิ่นลอยออกมาจากปากหม้อ ไฟภายในกระท่อมส่องสว่างไปจนกระทั่งถึงกลางดึกของคืนนั้น
วันต่อมา ตะวันส่องสว่างจ้า หวังเย้ามุ่งหน้าลงไปจากเขาและเปิดคลินิกของเขา คนไข้คนแรกของเขาก็คือเวินหว่าน
คลินิกได้เปิดทำการแล้ว
“ทุกอย่างดีมากครับ” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอคะ?” ถึงเธอจะรู้สึกได้เองว่า ร่างกายของเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้ว แต่เมื่อมาได้ยินคำพูดของหวังเย้า เวินหว่านกับลูกชายก็ตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“จริงครับ” หวังเย้าพูด
“เยี่ยม เยี่ยมไปเลย ขอบคุณมากนะคะ” เวินหว่านไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกยินดีและขอบคุณที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาได้อย่างไร
เธอคิดว่า เธออยู่ในระยะสุดท้ายของโรคแล้ว แต่หวังเย้ากลับรักษาเธอจนหาย ขี้ผึ้งหนึ่งในสามถูกใช้ไปเพื่อให้เธอยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และมันไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาเธอ
สองแม่ลูกจากไปพร้อมกับความยินดีและซาบซึ้งใจ ชีวิตคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน อิสรภาพก็เช่นเดียวกัน ระหว่างมีชีวิตต่อไปอย่างอับอาย หรือตายไปอย่างมีเกียตริ คนส่วนใหญ่มักเลือกตัวเลือกแรก
…
ภายในเรือนจำของเขตเหลียนชาน
อาเสิ่นมองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายของเขาผ่ายผอม ใบหน้าของเขาแดงก่ำจนผิดสังเกต
“เฮ้อ ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะกลายเป็นบ้านของฉัน” เขาถอนหายใจ
เขาตัวสั่นเทาและกัดฟันแน่น ดูเหมือนว่า เขากำลังพยายามอดทนกับความเจ็บปวดที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาอยู่
“ปล่อยวาง! ปล่อยวาง!”
เมื่อแสงตะวันส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา เขาก็หลับตาลงอย่างสงบ
“หืม? นักโทษตายแล้วเหรอ?” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งพูดขึ้นมา
“ใช่” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด
“เขาตายได้ยังไง?” เจ้าหน้าที่ถาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่การฆ่าตัวตายแน่นอน” เพื่อนร่วมงานของเขาพูด
“เฮ้อ ยุ่งจริงๆเลย” เจ้าหน้าที่พูด
ถึงชายคนนั้นจะป่วยและตายในคุก เจ้าหน้าที่ก็ยังต้องเขียนรายการเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบ ถ้าหากพวกเขาต้องเจอกับนักโทษที่มีเบื้องหลังพิเศษ เรื่องก็จะยิ่งยุ่งยากมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“รีบไปจัดการตามขั้นตอนเร็วๆเถอะ” เจ้าหน้าที่พูด
ไม่นาน ข่าวการเสียชีวิตของอาเสิ่นก็กระจายออกไป และรู้ไปถึงหูของหวังเย้า
“เขาตายแล้วเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ เขาตายในคุกนั่นแหละ” หวังหมิงเปาคือคนที่บอกข่าวนี้กับหวังเย้า “ฉันจำได้ว่า นายเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า เขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
“ใช่ เขาป่วย แล้วก็ยังเป็นอาการป่วยที่เจอน้อยมากด้วย” หวังเย้าค้นพบเรื่องนี้ในตอนที่ชายคนนั้นมาที่หมู่บ้านเพื่อฆ่าเขา
“สรุปแล้ว เขาเป็นนักฆ่าที่ป่วยหนักอย่างนั้นเหรอ?” หวังหมิงเปาถาม
“ดื่มชาเถอะ” หวังเย้าเทชาให้กับเขา
“ขอบคุณ อืม ชาดี” หวังหมิงเปาพูด “นายมีอีกไหม? แบ่งให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ เอากลับไปได้เลย” หวังเย้าพูด
ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อยๆ เสียงใบไม้ส่ายไปมาตามลมดังเข้ามาถึงด้านใน
“อืม สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลยนะ” หวังเย้าพูด “นายต้องสนใจดูแลตัวเองด้วย เงินน่ะหาเมื่อไหร่ก็ได้”
“ฉันรู้ ถึงฉันจะป่วย ก็ยังมีนายรักษาให้ไม่ใช่หรือไง?” หวังหมิงเปาพูดด้วยรอยยิ้ม
เพื่อนของเขาสามารถรักษาโรคที่อยู่ในระยะสุดท้ายได้ เขาถึงขนาดถูกมองว่าเป็นพระเจ้าด้วยซ้ำ
“การมีสุขภาพที่ดีถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด” หวังเย้าพูด
ทุกการป่วยแลการรักษาจะกระทบร่างกายของเจ้าของ หากเป็นน้อยก็กระทบกับร่างกายไม่มาก แต่หากป่วยหนัก โรคร้ายก็อาจจะส่งผลเสียกับร่างกายได้
หวังเย้าได้ยินเสียงเคาะประตู ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามา เขาก็คือ จงหลิวชวน
“หมอหวัง” เขาพูด
“เข้ามานั่งดื่มชาด้วยกันก่อนสิ” หวังเย้าพูด
“ผมคิดเรื่องนี้ดีแล้ว ผมจะไป” จงหลิวชวนพูด
คำตอบของเขาทำให้หวังเย้าต้องประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”
“ผมรู้ว่า พวกเขาเป็นเหมือนกับแมลงร้ายที่ชอนไชลึกไปถึงกระดูก” จงหลิวชวนพูด “มันยากที่จะสลัดพวกเขาออกไปได้”
“แล้วคุณคิดว่า แค่การที่คุณจากไปแล้วพวกเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วงั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม “คุณเคยอยู่ที่นี่มาก่อน ดังนั้น พวกเขาจะต้องส่งคนมาสืบที่นี่แน่”
“เอ่อ?” ในตอนที่ตัดสินใจจะจากเขา จงหลิวชวนไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน
“ความจริงที่ผมอยากจะให้คุณอยู่ต่อ ก็เป็นความเห็นแก่ตัวส่วนหนึ่งของผมเองด้วย ผมหวังว่าคุณจะช่วยดูแลชาวบ้านที่นี่ รวมไปถึงพ่อแม่ของผมในตอนที่ผมไม่อยู่” หวังเย้าพูดออกมาจากใจจริง