765 ก้างขวางคอชิ้นโต
ในระหว่างการรักษา แพทย์ได้พบว่า ที่ขาของชายต่างชาติผูกมีดด้ามหนึ่งเอาไว้ ความจริงแล้วต้องบอกว่าสองด้าม เพราะขาทั้งสองข้างของเขาล้วนผูกมีดเอาไว้ข้างละด้าม พวกเขาจึงรีบโทรหาตํารวจแล้ว “เพื่อน” ชาวต่างชาติก็ถูกเจ้าหน้าที่ตํารวจจับ
ระบบการรักษาความปลอดภัยของปักกิ่งนั้นค่อนข้างดี ดังนั้น พวกเขาจึงสงสัยว่าทําไมเพื่อนต่างชาติคนนี้ถึงต้องพกมีดไว้กับตัว แถมยังมีถึงสองด้ามด้วยกัน หลังจากสอบสวนเสร็จแล้ว หนึ่งในพวกเขามีเลือดติดอยู่บนร่างกาย ดังนั้น ปัญหาจึงใหญ่ขึ้นตามไปด้วย
ไม่นาน เพื่อนของเขาจึงถูกกุมตัวเอาไว้ เจ้าหน้าที่ตํารวจเข้าไปค้นดูภายในห้องพักของพวกเขา ครั้งนี้ พวกเขาใช้งานสุนัขตํารวจและอุปกรณ์ไฮเทคร่วมด้วย มีการค้นพบสิ่งของผิดกฎหมายอย่างเช่น ยาเสพติดและอาวุธปืน สิ่งเหล่านี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายในประเทศ พวกมันถูกห้ามผลิตและผิดกฎหมายร้ายแรง
ชายชาวต่างชาติทั้งสองได้แต่ตกตะลึง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น และพวกเขายังปกปิดตัวตนได้อย่างแนบเนียน พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่า พวกเขาถูกเปิดโปงได้ยังไง
ในตอนเช้า หวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีได้สัญญานัดพบเพื่อเข้าเรียนด้วยกันเอาไว้ แต่เธอกลับมีก้างขวางคอชิ้นโตอย่างพี่ชายของเธอติดสอยห้อยตามมาด้วย
“นายกินข้าวมารึยัง น้องเขย?” ซูจือฉิงถามในทันทีที่พวกเขาเจอหน้ากัน
“เอ่อ ครับ” หวังเย้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับสายตาตั้งคําถามจากซูจือฉิง
“พี่ชายเธอมีเรื่องอะไรรึเปล่า? ทําไมเขาถึงมาเรียนกับพวกเราด้วย?” หวังเย้าถาม
“นี่น้องเขย ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายน่ะสิ” ซูจือฉิงดึงหวังเย้าไปอีกด้านหนึ่ง
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันเพิ่งได้รับสายจากเพื่อนฉันคนหนึ่งน่ะสิ” ซูจือฉิงพูด “ชาวต่างชาติสองคนนั้นโดนจับแล้วนะ สองคนนั้นที่พวกเราเจอที่โรงแรมด้วยกันเมื่อคืนยังไงล่ะ”
“อ่อออ ดีแล้วครับที่พวกเขาโดนจับได้” หวังเย้าพูดกลั้วหัวเราะ
“พวกเขายังมีทั้งปืนทั้งยาเสพติดเก็บไว้ในห้องของพวกเขาด้วย” ซูจือฉิงพูด
“อ่อ ยาเสพติด คิดไม่ถึงเลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“นายรู้ได้ยังไง ว่าสองคนนี้ผิดปกติ?” ซูจือฉิงถาม
“ผมได้กลิ่นเลือดเข้มข้นจากตัวพวกเขาน่ะสิ แล้วบรรยากาศรอบตัวของพวกเขาก็แปลกๆ ด้วย” หวังเย้าตอบ
“นายได้กลิ่นเลือดได้ยังไงกัน? ทําไมตอนนั้นฉันถึงไม่ได้กลิ่นอะไรเลยล่ะ?” ซูจือฉิงถาม
“กลิ่นมันเบาบางมากจนพี่รับรู้ไม่ได้ยังไงล่ะ” หวังเย้าพูด
รอบกายของซูจือฉิงก็มีบรรยากาศที่พิเศษเช่นกัน หวังเย้ารู้สึกได้ว่า พี่เขยในอนาคตคนนี้อาจจะเคยอยู่ในสนามรบและฆ่าฟันผู้คนไปมากพอสมควร
“สองคนคุยอะไรกันอยู่เหรอคะ ดูมีลับลมคมในจริงๆ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไม่มีอะไรหรอก” ซูจือฉิงพูด “แล้วจะไปไหนกันเหรอ?”
“ไปเรียนค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “อ้อ ไปเรียนงั้นเหรอ?” ซูจือฉิงถาม
“ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เปล่า อืม ไปเรียนก็ดีแล้ว” ซูจือฉิงพูด “งั้นพี่จะไปด้วย ยังไงวันนี้ก็ไม่มีอะไรทําอยู่แล้ว”
“พี่จะไปด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ใช้สิ” ซูจือฉิงพูด “พี่ยังไม่รู้อีกหลายเรื่องที่ต้องการคําแนะนํานะ”
“พี่…” ซูเสี่ยวซวีรู้สึกลังเลกับแขกที่เพิ่มขึ้นมาคนนี้
“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” ซูจือฉิงพูด “ถ้ายังอยู่กันตรงนี้ เดี๋ยวเราจะสายเอา พี่ขับให้เอง”
และก็เป็นไปตามนั้น ก้างขวางคอที่เข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง
ที่เหลียนชาน ด้านนอกคลินิกของหวังเย้า
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ชายที่พาลูกสาวของเขามารักษาก็ต้องตกใจ
หลังจากตรวจดูจนแน่ใจแล้ว เขาก็พบว่า หมอของคลินิกมีเวยป๋อด้วย ซึ่งได้โพสเอาไว้ว่า เขาไม่อยู่ที่คลินิก คลินิกปิดและไม่ได้บอกเอาไว้ว่าจะเปิดเมื่อไหร่ เรื่องนี้ทําให้เขารู้สึกวิตกกังวล ลูกสาวของเขาปวย แล้วจะไม่ให้เขากังวลได้ยังไงกัน? การที่เขาเอาแต่วิตกกังวลถือเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เขาจึงทําได้เพียงบังคับให้ตัวเองสงบใจ
“เอาเถอะ เราเข้าไปหาที่พักในตัวเองกันก่อนก็แล้วกัน” เขาถอนหายใจ
“ได้ไม่เป็นไรหรอก” ภรรยาของเขาพูด “เราแค่รออีกสองสามวันค่อยมาใหม่ก็ได้”
เขาไม่ได้กังวลเรื่องตัวเองเลยสักนิด แต่เขากลับกลัวว่าอาการของลูกสาวเขาจะแย่ลงขึ้นมา เขาพาทั้งครอบครัวเข้าพักในโรงแรมที่เขาเคยพักเมื่อครั้งก่อน
เปิดฝาขวดออกอย่างเบามือ
เขารีบเปิดกระเป๋าอย่างเร่งรีบ ใช่ ยา ด้านในยังคงเหลือยาที่เขาดื่มไม่หมดอยู่เล็กน้อย
ถ้าเอาให้เธอดื่มคงไม่เป็นอะไรหรอก ใช่ไหม? เขาคิด
เขานํายาไปผสมกับน้ำอุ่น แล้วเอาให้ลูกสาวของเขาดื่ม
“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวหลิง?” เขาถาม
“เอ่อ มันขมนิดหน่อยค่ะ” ลูกสาวของเขาพูด
“ยาดีดีก็ขมกันทั้งนั้นแหละ” เขาพูด “ที่พ่ออยากรู้ก็คือ ลูกรู้สึกอะไรบ้างไหม?”
“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ” ลูกสาวของเขาตอบ
“อืม งั้นเรารอดูอีกสักพักแล้วกัน” เขาพูด “ตอนบ่ายอากาศจะเย็นลงแล้ว พ่อจะพาลูกไปเดินเล่นแถวทะเลกัน”
“ค่ะ หนูอยากเห็นทะเล” เด็กสาวพูดอย่างยินดี
พวกเขาอาศัยอยู่ห่างจากทะเลที่ใกล้ที่สุดไปหลายชั่วโมง พ่อของเธอที่มัวแต่ยุ่งกับงาน เคยพาเธอไปทะเลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมา เธอก็หลงรักทะเลและรอคอยที่จะได้ไปอีกครั้ง
“ตอนนี้พักผ่อนกันไปก่อน แล้วอีกสักพักค่อยลงไปกินข้าวกัน” เขาพูด “อาหารที่โรงแรมนี้รสชาติดีทีเดียว”
พวกเขามาจากทางใต้ ดังนั้น อาหารทางเหนือจึงแปลกใหม่สําหรับพวกเขา ในตอนที่พวกเขากําลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหาร เด็กสาวก็พูดขึ้นมาว่า เธอปวดท้องและอยากเข้าห้องน้ำ ผู้เป็นพ่อจึงไปเป็นเพื่อนเธอ ไม่นานเธอก็ออกมาจากห้องน้ำ
“เป็นอะไรไหม?” เขาถาม
“ท้องเสียค่ะ แล้วก็มีแมลงออกมาเยอะเลยด้วย” เด็กสาวพูดด้วยท่าทางกลัวเล็กน้อย
“ดีแล้ว” เขาพูด “แมลงพวกนั้นเป็นพยาธินะ ดีแล้วที่ถ่ายออกมา กลับไปกินข้าวกันเถอะ”
“ค่ะ” เด็กสาวเป็นเด็กฉลาดและเชื่อฟัง
ตอนกลางวัน เขาได้พาครอบครัวไปที่ห่านชิว เวลานี้เป็นช่วงหน้าร้อน อากาศจึงเหมาะกับการลงไปเล่นน้ำในทะเล ทั้งครอบครัวต่างใช้เวลาด้วยกันอย่างมีความสุข โดยเฉพาะลูกสาวของพวกเขา
“คืนนี้ เราพักกันที่นี่ดีไหม?” เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าและเอ่ยขึ้นมา
“แล้วทางนั้นล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม
“ไม่เป็นไร แค่เสี่ยวหลิงมีความสุขก็พอแล้ว” เขาพูด “พรุ่งนี้ อยู่เล่นที่นี่ต่ออีกสักวันจะเป็นไร”
“ก็ได้ ตามใจคุณ” ภรรยาของเขาพูด
พวกเขาเข้าพักในโรงแรมที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลและสั่งอาหารทะเลมาทาน เด็กสาวมีความสุขตั้งแต่มาถึงที่นี่จนกระทั่งตอนนี้
“นี่คือสิ่งที่ครอบครัวควรจะเป็น” เขาพูด
ในอดีต เขาเอาแต่วุ่นอยู่กับการหาเงิน เขาคิดเสมอว่า เมื่อมีเงินเขาก็จะมีความสุข แต่หลังจากเกิดเรื่อง ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป เงินสําคัญก็จริง แต่การหาเงินมาก็เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ความปรองดองในครอบครัวคือพื้นฐานของความสําเร็จในทุกเรื่อง คําพูดของคนสมัยก่อนล้วนมีเหตุผล
เมื่อมองดูภรรยาและลูกสาวของเขายิ้มอย่างมีความสุขแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยได้ใช้ชีวิตจริงๆสักครั้ง เขาตามืดบอดจากสิ่งที่เรียกว่าชีวิตที่หรูหรา จนปิดกั้นเขาจากความสุขที่แท้จริง
“เสี่ยวหลิง วันนี้ลูกมีความสุขไหม?” เขาถาม
“ค่ะ หนูมีความสุขมาก!” เด็กสาวเปล่งประกายด้วยความสุข
มันคือช่วงวันหยุดหน้าร้อนของเด็กๆ พวกเขาล้วนคาดหวังให้พ่อแม่พาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่น แทนที่จะส่งพวกเขาไปเรียนเสริมอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นเด็กที่รู้ความและยังรู้ด้วยว่าพ่อของเธอไม่ค่อยสบาย เรื่องเหล่านี้เธอไม่เคยบอกเล่าความต้องการของตัวเองให้พ่อแม่ได้รู้ว่าเธออยาก ออกไปเที่ยวเล่น โดยเฉพาะที่ทะเล เธอคิดไม่ถึงว่า อยู่ๆคําอธิษฐานของเธอจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ เธอจึงมีความสุขมาก
“ดีแล้วล่ะ” พ่อของเธอพูด “ไว้ต่อไปพ่อจะพาลูกไปเที่ยวอีกดีไหม?”
เขาตัดสินใจที่จะกลับไปแล้วขายเขาลูกนั้น เขาต้องการเลิกเป็นกังวลเกี่ยวกับมันและหวาดกลัวเพราะมันอีก เขายินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อได้ใช้เวลากับภรรยาและลูกสาวของเขามากกว่า
ที่เมืองหลวง ภายในชั้นเรียนของมหาวิทยาลัยเหยียนจิง หวังเย้า ซูเสี่ยวซวี และซูจือฉิงกําลังฟังเล็กเชอร์อยู่ด้วยกัน
“เฮ้อ ศาสตราจารย์คนนี้พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย?” ซูจือฉิงรู้สึกเบื่อหน่ายในตอนที่เขานั่งเรียนอยู่
“เฮ้อ จบสักที!” ซูจือฉิงถอนหายใจโล่งอก
“หนูบอกพี่แล้วนะ ว่าคลาสนี้ไม่เหมาะกับพี่ แต่พี่ก็ไม่ฟังที่หนูบอก” ซูเสี่ยวซวีพูดกลั้วหัวเราะ
คลาสต่อไปเป็นศาสตราจารย์อีกคนเข้ามาสอน มันเป็นคลาสเล็ก การที่หวังเย้ากับซูจือฉิงจะเข้าไปฟังด้วยจึงดูไม่เหมาะสมนัก
“ไปกันเถอะน้องเขย ฉันหิวแล้ว” ซูจือฉิงพูด “ไปหาอะไรกินกัน”
“กินตอนนี้น่ะเหรอ? ยังไม่สิบโมงเลยนี่” หวังเย้าถาม
“ใช่ ฉันเลี้ยงเอง ไปกัน” ซูจือฉิงพูด
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยเหยียนจึงถือว่าไม่แย่ และมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน มีคนมาทานอาหารในช่วงเวลานี้ไม่มาก โชคดีที่อาหารที่โรงอาหารยังทพให้พวกเขาพอใจได้
พวกเขาสั่งอาหารมาสองสามอย่าง ซูจือฉิงยังสั่งเหล้ามาด้วย
“นี่ พี่จะดื่มทั้งๆที่ต้องขับรถน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ฉันลืมน่ะ ช่างเถอะ” ซูจือฉิงเอาเหล้ากลับไปคืน
“ฉันอดอยากน่ะสิ เมื่อเช้าก็ไม่ได้กินข้าวเช้ามา” ซูจือฉิงพูด “อืม รสชาตดี”
“กองกําลังของพี่ไม่ค่อยเข้มงวดเหรอ?” หวังเย้าตักอาหาร
“ไม่เข้มงวดที่ไหนกัน? มันไม่ง่ายเลยสักนิด การฝึกก็หนักมาก” ซูจือฉิงตอบพร้อมตักอาหารขึ้นมากิน “ฉันสังกัดในกองกําลังพิเศษของกองทัพ เราต้องพร้อมอยู่เสมอ ดังนั้น การฝึกของพวกเราเลยเข้มข้นกว่ากองกําลังอื่น”
“แล้วทําไมถึงได้ออกมาข้างนอกง่ายแบบนี้ล่ะ? แล้วยังหลายครั้งด้วย” หวังเย้าถาม
“ที่ฉันมาปักกิ่งก็เพราะมีภารกิจต่างหาก” ซูจือฉิงพูด “ฉันเพิ่งทําภารกิจเสร็จก่อนมาเจอนายในเมื่อมาปักกิ่งแล้ว ฉันก็ควรไปเจอญาติพี่น้องบ้างน่ะสิ”
Related