“เอ่อ คืนนี้ที่บ้านไม่มีใครอยู่” ซูเสี่ยวซวีกระซิบบอก
หวังเข้านิ่งไป เขาโอบกอดเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “เย็นนี้ผมยังต้องเตรียมยาอีกสองชุดน่ะ”
เขาพาซูเสี่ยวซวีไปส่งที่บ้าน เมื่อพวกเขาไปถึงก็พบว่าชูเหลียนกลับมาแล้ว
“คุณหนู เชียนเชิง” เธอพูด
“น้าเหลียน กลับมาแล้วเหรอคะ?” ซูเลี้ยวซวีพูด
“คุณผู้หญิงเป็นห่วงน่ะค่ะ ก็เลยบอกให้ฉันกลับมา” ชูเหลียนพูด
“แล้วคุณแม่ล่ะคะ?” ซูเสียวซวีถาม
“มีคนอยู่เป็นเพื่อนคุณผู้หญิงแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” ชูเหลียนพูด
หลังจากคุยกับซูเสี่ยวซวีไม่กี่ประโยค หวังเย้าก็ออกมาจากบ้านตระกูลซูและกลับไปที่กระท่อมเฉินหยิงนั้นยังไม่หลับ
“มันดึกมากแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” หวังเฝ้าพูด
“ฉันรอเชียนเชิงอยู่ค่ะ” เฉินหยิ่งพูด “พี่ซูเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ตอนนี้ เขาปลอดภัยดีครับ” หวังเย้าตอบ “มันดึกมาแล้ว คุณกลับไปนอนเถอะครับ”
“ค่ะ” เฉินหยิ่งพูด
คืนนั้นเงียบสงัดและเย็นเล็กน้อย
แครึก!
เสียงของพื้นที่กําลังเผาไหม้ หวังเย้าเริ่มต้มยาที่ช่วยฟื้นฟูกําลังกาย ด้วยความช่วยเหลือของยาตัวนี้พร้อมทั้งล้างพิษออกจากร่างกาย จะช่วยให้ทั้งสองฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น
ตัวยาทําเสร็จในเวลาตีหนึ่งกว่า หวังเย้ากลับไปพักที่ห้องของเขา เช้าวันต่อมา เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่
เฉินหยิงตื่นเช้ายิ่งกว่าเขา เธอฝึกฝนการต่อสู้อยู่ที่ลานบ้าน และกลับไปเตรียมอาหารเช้าให้หวังเย้าเฉินโจวตื่นหลังจากนั้นไม่นาน และเหมือนพี่สาวของเขา เขาออกไปฝึกฝนการต่อสู้ที่ลานบ้านการออกท่าของเขาดูอ่อนโยนซึ่งช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียน ของเลือด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เชียนเชิง” เฉินหยิ่งพูด
“อรุณสวัสดิ์ครับ” หวังเย้าทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม
อาหารเช้าดูน่าทาน ทั้งสามนั่งกินข้าวเช้าร่วมกัน
หลังมื้ออาหาร เฉินโจวก็ต้องไปเรียนในเมื่อเขาหายดีแล้วเขาก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติและเป็นสิ่งที่สองพี่น้องหวังไว้มาโดยตลอดหลังจากนั้นชเหลียนก็ขับรถมารับหวังเย้าที่กระท่อม พวกเขาพากันไปที่โรงพยาบาล
ภายในห้องคนไข้ ซงรุ่ยปิงกําลังป้อนโจ๊กให้ซูจือฉิงอยู่ โจ๊กเพิ่งทําเสร็จได้ไม่นานและส่งกลิ่นหอมกรุ่น
“พี่รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” ซูจือจึงสามารถพูดเสียงดังขึ้นกว่าคืนก่อนแล้ว เขาเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง“ขอบคุณนะ”
“พี่พูดไปแล้วนะครับ” หวังเย้าพูดกลั้วหัวเราะ
“หมอจะตรวจเขาไหมคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ยังไม่ต้องรีบหรอกครับ” หวังเย้าพูด “กินข้าวก่อนเถอะครับ ผมจะออกไปดูห้องข้างก่อน”
ทหารหนุ่มฟื้นแล้วและรู้สึกแปลกใจที่เห็นหวังเย้าเดินเข้ามา
“คุณช่วยผมไว้เหรอ?” เขาถามเสียงแหบ
“ใช่ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ผมรู้สึกดีที่ยังมีชีวิตอยู่” ทหารหนุ่มพูดอย่างอ่อนแรง
หวังเย้าหัวเราะ “กินข้าวรึยังครับ?”
“กินไปนิดเดียว ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ทหารหนุ่มพูด
พิษได้เข้าไปกัดกร่อนอวัยวะภายในและส่งผลเสียต่อระบบการทํางานในร่างกายของเขาอย่างหนักถึงเขาจะไม่กินอะไรเลยเป็นเวลาสองวัน เขาก็ไม่รู้สึกหิว
“แล้วกินยารียังครับ?” หวังเย้าถาม
“กินแล้ว มันได้ผลดีมาก” ทหารหนุ่มพูด “ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย”
เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกขอบคุณผู้ที่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้
“ผมชื่อ หวังเย้า” หวังเย้าพูด
“สวัสดีครับ ผมชื่อ เพิ่งหรูชวง” ทหารหนุ่มพูด “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ยินดีที่ได้ช่วยคุณครับ” หวังเย้าพูด
เขาในความนับถือเหล่าทหารที่ช่วยรักษาความสงบแก่แผ่นดินเกิดของพวกเขา พวกเขาคือคนพิเศษพวกเขาคือผู้ที่ใช้เลือดเนื้อและช่วงเวลาเยาว์วัยของตนไปกับการรักษาความสงบให้คงอยู่
“ผมต้องตรวจคุณอีกรอบ” หวังเย้าพูด
เขาตรวจดูอาการอย่างละเอียดอีกครั้ง ตัวยาขับพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิษในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว
หวังเย้าเอายาที่เขาทําขึ้นเมื่อคืนออกมา “กินยาตัวนี้นะครับ”
“ได้” เพิ่งหรูชวงพูด
หวังเย้าเทยาใส่ถ้วยใบเล็กและยื่นให้ทหารหนุ่ม ทหารหนุ่มรู้สึกอุ่นท้องหลังจากที่ดื่มยาเข้าไปเขาบอกหวังเย้าว่าเขารู้สึกอย่างไรก่อนที่หวังเย้าจะทันได้ถามเขาด้วยซ้ํา
“ดีครับ” หวังเย้าพูด “คุณควรพักผ่อนให้มาก ผมจะไปดูห้องข้างๆก่อน”
“ผู้กองเป็นยังไงบ้างครับ?” เมิ่งหรูชวงถาม
“เขาอาการดีกว่าคุณมาก” หวังเย้าพูด “คุณเรียกเขาว่าผู้กองเหรอ?”
“ใช่ เขาเป็นหัวหน้าของทีมเรา” เพิ่งหวูชวงพูด
เขายังเป็นแค่ผู้กองเหรอเนี่ย!
“คุณพักเถอะ” หวังเย้าพูด “ผมจะไปดูผู้กองของคุณหน่อย”
ซจือจึงเพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ อาการของเขาดีกว่าเพิ่งหวชวงที่อยู่ห้องข้าง
“หวชวงเป็นยังไงบ้าง?” เขาถาม
“เขาไม่เป็นอะไรแล้ว” หวังเย้าพูด “ผมเพิ่งให้เขากินยาไป ตอนนี้ก็ตาพี่แล้ว”
หลังจากกินยาแล้ว ซูจือฉิงก็นอนลงไปแต่กลับมีท่าทีอยู่ไม่สุก
“ไม่อยากนอนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่อยาก ฉันเกือบจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาตลอดไปแล้ว” ซูจือฉิงพูด “ตอนนี้ฉันไม่อยากนอนแล้วก็ไม่กล้าหลับด้วย”
เขากลัวว่า หากเขาหลับแล้วเขาก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีก
หลังจากนอนนิ่งสักพัก ซูจองก็ถามว่า “ฉันเล่าเรื่องการต่อสู้ที่เกิดขึ้นให้นายฟังดีไหม?”
“เอาสิ ผมอยากฟัง” หวังเย้าพูด
ซูจือจึงเล่าเรื่องการรบและเหตุการณ์หลังจากนั้นให้หวังเย้ากับแม่ของเขาฟังพวกเขาได้รับ ภารกิจพิเศษมา มีกลุ่มกองกําาลังที่บอกที่มาไม่ได้กําลังซ่องสุ่มกําลังอยู่ในป่าทางตอนใต้ของยูนนานจุดประสงค์ของพวกเขาไม่แน่ชัดจึงได้มีการเรียกระดมพลของเจ้าหน้าที่พิเศษ
เกิดการต่อสู้ระหว่างพวกเขาและกองกําลังที่ไม่สามารถระบุที่มาได้ พวกเขามีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย และมีฝีมือการต่อสู้ในระดับสูง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นทีมระดับหัวกระทิเหล่าเจ้าหน้าที่พิเศษได้รับความเสียหายอย่างหนักดังนั้นทีมของซูจือจิ้งจึงได้รับคําสั่งให้ลงมือพวกเขาเดินทางด้วยเครื่องบินทหารเป็นระยะทางหลายพันไมล์มุ่งหน้าไปยังป่าดิบชื้น
เป็นเรื่องปกติของการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายที่จะได้รับบาดเจ็บ แต่หนึ่งในฝ่ายตรงข้ามกลับดูแปลกประหลาด เขาทั้งรวดเร็วและซ่อนตัวได้ดีทีมที่นําโดยซูจือฉิงกําลังขัดขวางเส้นทางของพวกเขาอยู่ ในเวลาสั้นๆทหารสองนายต้องสังเวยชีวิตให้กับการต่อสู้ไม่ใช่เพราะพวกเขาอ่อนแอแต่เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามโหดเหี้ยมและแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก
“ความสามารถในการต่อสู้ของเขาทําให้ฉันประหลาดใจมาก” ซูจือจึงพูด “ฉันป้องกันการโจมตีไม่ได้เลย ถ้าหนึ่งในทีมของเราไม่เสียสละตัวเองฉันก็คงตายเพราะคมมีดของเขาไปแส
เมื่อคิดถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก็ทําให้ใจของเขาเต้นแรง ทุกครั้งที่เขาคิดถึงลูกทีมที่เสียสละชีวิตของตัวเองเขาก็รู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหิน
“สุดท้าย ฉันก็รอดมาได้ แต่พวกเขากลับต้องสังเวยชีวิต” ซูจองพูด
“แล้วคนนั้นตายไหม?” หวังเย้าถาม
“ไม่ พวกเขาถอนกําลังไป” ซูจือจึงพูด “บางทีเขาอาจจะกลับมาอีกครั้งก็ได้”
“กลับมาอีกเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ ชายแดนเป็นสถานที่ที่ไม่เคยสงบ” ซูจือจึงพูด