“เมื่อกี้ได้เจอกั่วเจิ้งเหอเปล่า?” ซูจือจึงถาม
“เจอค่ะ ฉันเจอเขาตอนกําลังออกจากลิฟท์พอดี เลยหยุดคุยกับเขานิดหน่อย”ซูเสี่ยวซวีพูด
“เขาน่ารําคาญมากไหม?” ซูจือจึงถามพร้อมขยับแขนไปด้วย
ซูเสี่ยวซวีอึ้ง เธอไม่คิดว่าพี่ชายของเธอจะพูดแบบนี้ เธอจึงหัวเราะและพูดว่า“เขาน่ารําคาญจริงๆนั่นแหละค่ะ”
“ทําไมพี่ถึงได้รู้สึกว่า ไอ้หมอนั่นทั้งน่ารําคาญและเจ้าเล่ห์กันนะ?” ซูจือจึงถามด้วยท่าที่จริงจัง“ถ้าเธอเลือกเขาละก็ในอนาคตอาจจะถูกเขาหลอกใช้ขึ้นมาก็ได้เธอไม่มีทางรู้เลยว่าเขาทําอะไรอยู่ข้างนอกนั้นบ้าง”
“พี่ ทําไมถึงได้โง่แบบนี้คะ?” ซูเสี่ยวซวีพูด “แล้วคนที่ฉันชอบก็คือหมอหวัง!”
“โชคยังดีที่เธอเลือกหวังเย้า” ซูจือฉิงพูด “ถึงเขาจะเป็นคนคิดอะไรลึกซึ้ง แต่อย่างน้อยเขาก็จริงใจกับคนที่ใกล้ชิดกับเขา พี่บอกได้เลยว่าเขาจริงใจกับเธอจริงๆ”
ซูเสี่ยวซวียิ้มหวาน
“อึม แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังถั่วเจิ้งเหอเอาไว้ด้วย” ซูจือจึงพูด “อย่าไปไหนกับเขาตามลําพังเขาอาจใช้แผนการบางอย่างกับเธอก็ได้”
“อ้อ เมื่อเขาเพิ่งจะชวนฉันไปกินข้าวด้วยกันพอดี แต่ฉันปฏิเสธเขาไปแล้วล่ะค่ะ” เธอพูด
“ไม่มีทางที่เขาจะชวนไปกินข้าวเย็นเฉยๆแน่” ซูจือฉิงพูด “เธอห้ามไปเด็ดขาด ห้ามไปกินข้าวกลางวันกับเขา กลางคืนยิ่งไม่ได้ใหญ่!”
หลังจากที่เขาพูดเรื่องคั่วเจิ้งเหอชัดเจนแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาว่า “น้องเขยในอนาคตของพี่กลับบ้านไปแล้วเหรอ?”
“ใช่ค่ะ หลายวันนี้เขาอาจจะยุ่งมาก”ซูเสี่ยวซวีพูด“ฉันเข้าไปอ่านในเวยป๋อของเขามาจํานวนคนเข้าชมสูงมากหลายคนอยากรักษากับเขาแต่เขากลับมาอยู่ที่ปักกิ่งนานเป็นอาทิตย์
ขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้านั้นกําลังยุ่งอยู่จริงๆ เขารักษาคนไข้ไปแล้ว 20 กว่าคนและส่วนมากก็เป็นเด็ก
“หมอหวัง หรือนี่จะเป็นโรคระบาดคะ?” หญิงวัยสามสิบถาม “ครอบครัวเราไอกันทั้งบ้านเลย”
เธอมาหาหมอพร้อมกับลูกสาวคนโตวัยไม่เกิน 7 ขวบ ตัวเธอเองก็มีอาการไอเช่นกัน
“ใช่ครับ ยิ่งในระยะแรกของโรคยิ่งแพร่เชื้อได้ง่าย” หวังเย้าพูด
“หมอช่วยตรวจฉันด้วยได้ไหมคะ?” เธอถาม
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด
ทุกคนในบ้านล้วนมีอาการไอ มันคือการแพร่เชื้ออย่างหนึ่ง และอาการของเธอก็ยังแย่กว่าลูกสาวด้วยซ้ำหวังเย้าเขียนใบสั่งยาอีกตัวให้กับเธอมันมีรสขมกว่า แต่ประสิทธิภาพก็ดีกว่าด้วย
เขาบอกวิธีการเตรียมตัวยาและพูดว่า “กลับไปทําเองได้เลยนะครับ ภายในสามวันถึงจะเห็นผลเหมือนกับยาที่ให้กับเด็กๆ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอพูด
“ช่วงนี้ อย่าพาลูกๆของคุณไปในที่ที่คนพลุ่งพล่านนะครับ” หวังเย้าแนะนํา
เด็กในวัยนี้ชื่นชอบการได้ออกไปเที่ยวสวนสนุกและสนามเด็กเล่น ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นง่ายต่อการแพร่เชื่ออย่างมาก
“ฉันจะจําเอาไว้ค่ะ” เธอพูด
หวังเย้าจิบชาจากถ้วยชาของเขาเอง ชาเย็นลงแล้ว เขาส่งเสียงเรียก “คนต่อไปครับ!”
หนึ่งวันของเขาผ่านไปเช่นนี้จนกระทั้ง 5 โมงเย็น ในเวลานี้ก็ยังมีคนไข้อีก 6 คนที่ยังรอตรวจอยู่
หวังเย้าโทรหาที่บ้านอีกครั้งและพูดว่า “ฟ้ว ผมคงต้องทํางานล่วงเวลานะครับ”
เขาตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จหลังหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ามืดแล้ว ไฟตามข้างทางภายในหมู่บ้านถูกเปิดสว่างไสว
“ทําไมถึงเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ? คงเหนื่อยมากสินะ” จางซิวหยิ่งปวดใจ เขาทํางานตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งฟ้ามืด แม้แต่เวลาจะกินข้าวก็ยังไม่มี
“ครับ ผมเหนื่อยนิดหน่อย” หวังเข้าตอบ
“รีบกินข้าวเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงยกอาหารวางจนเต็มโต๊ะ
“แม่กับพ่อยังไม่ได้กินเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“พวกเรารอลูกอยู่น่ะสิ” แม่ของเขาพูด “แม่ออกไปดูมาสองรอบ เห็นว่าข้างนอกคลินิกยังเหลือรถอีกไม่กี่คันแล้วแม่เลยคิดว่าอีกเดี๋ยวลูกก็คงกลับมาแล้ว”
“คราวหน้าไม่ต้องรอผมหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด “แม่กับพ่อกินข้าวก่อนได้เลย”
“กินได้แล้ว” แม่ของเขาพูด
“ดื่มสักหน่อยไหม?”
“ครับ ผมจะไปเอาเหล้ามา” หวังเย้าพูด
เขาลุกขึ้นไปหยิบเหล้าชั้นดีมาขวดหนึ่ง เขาเทใส่แก้วให้พ่อของเขา ก่อนจะเทให้ตัวเองปกติเขาไม่ดื่มเหล้าและมักดื่มบางคราวกับพ่อของเขาหรือไม่ก็กับเพื่อนๆ
“วันนี้คนเยอะมากเลยสินะ” พ่อของเขาพูด
“ครับ มากกว่า 40 คน” หวังเย้าตอบ
ตั้งแต่ให้คําแนะนําไปจนถึงจ่ายยา ล้วนเป็นเขาทําคนเดียวทั้งหมด เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทําเวลา
“ลูกไม่คิดจะหาคนมาช่วยบ้างเหรอ?” พ่อของเขาถาม
“คิดครับ แต่มันยากอยู่สักหน่อย” หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า“คนคนนั้นจะต้องมีพื้นฐานในเรื่องยาสมุนไพรและสามารถบอกชนิดของสมุนไพรและวัตถุดิบทํายาส่วนใหญ่ได้แล้วก็ต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์และถ่อมตัวด้วย”
เพราะหวังเย้ามีความลับอยู่กับตัวหลายอย่าง ถึงเขาจะระมัดระวังมากแค่ไหนแต่อาจมีรายละเอียดบางอย่างเผยออกมาได้ในเมื่อคนคนนั้นต้องอยู่ใกล้ชิดกับเขามันจึงเป็นเรื่องสําคัญสําหรับเขามาก
“อืม แต่ยังไงลูกก็ต้องคิดเอาไว้บ้าง” พ่อของเขาพูด “ลูกคงไม่อยากทําทุกอย่างคนเดียวทั้งหมดตลอดไปหรอก”
“ครับ ผมรู้แล้ว” หวังเย้าตอบ
หลังมื้อเย็น เขาพูดคุยอยู่กับพ่อแม่ ก่อนจะช่วยนวดเพื่อผ่อนคลายให้พวกเขาเมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
ระหว่างเดินอยู่บนถนน เขาก็เห็นจงหลิวชวนอยู่ไม่ไกล จงหลิวชวนที่เห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหา
“โอ้ เย็นขนาดนี้ยังออกมาข้างนอกอีกเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ครับ” จงหลิวชวนตอบ “เย็นนี้ เรามาฝึกด้วยกันหน่อยไหมครับ?”
“เอาสิ” หวังเย้าพูด “เดินไปด้วยกันเถอะ”
ตอนที่เดินขึ้นเขานั้นหวังเข้าพบว่าการหายใจระหว่างที่กําลังเดินอยู่ของจงหลิวชวนดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการนั่ง,การนอน,และการเดินล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก“ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมากเลยนะครับเนี่ย!”
“ก็ต้องขอบคุณทักษะที่เชียนเชิงสอนให้ยังไงล่ะครับ” จงหลิวชวนพูด
เขารู้สึกว่า วิธีการฝึกฝนที่ดูเรียบง่ายที่หวังเย้าสอนให้เขานั้นวิเศษอย่างมาก มันช่วยให้ร่างกายของเขายกระดับขึ้น ทั้งในเรื่องของกําลังกาย, ปฏิกิริยาตอบโต้,และสัญชาตญาณส่วนทักษะต่างๆนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกายเขาหากต้องการเก่งขึ้นก็จําต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งด้วย
“แล้วยังอ่านคัมภีร์เต่อยู่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ ผมอ่านทุกวัน” จงหลิวชวนพูด “ผมใช้เวลาอ่านคัมภีร์วันละหกชั่วโมง ตอนนี้ผมสามารถท่องเองได้แล้ว”
เขาต้องใจอ่านมคัมภีร์อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เปิดให้พอผ่านตาเท่านั้น ไม่มีใครคอยให้คําแนะนําหรือคอยกระตุ้นเตือนเขา เขาจําต้องพึ่งพาแค่ตัวเอง เขาจะเป็นเหมือนเหล่าพระสงฆ์ในบางวัดที่เอาแต่สวดมนต์และหลอกลวงผู้คนไม่ได้
“ทุกครั้งที่ผมท่องคัมภีร์เต๋ผมรู้สึกได้ว่าใจของผมสงบ และพลังที่เคลื่อนไหวภายในกายก็ช้าลงมากด้วย”จงหลิวชวนพูด
“การฝึกฝนถือเป็นการบ่มเพาะจิตวิญญาณไปในตัว ไม่ใช่แค่ฝึกให้จิตใจแข็งแกร่งและก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว” หวังเย้าพูด
“เชียนเชิงพูดถูกแล้ว” จงหลิวชวนพูด “ผมเคยอ่านเจอในนิยายกําลังภายในของกิมยังว่าในวัดเส้าหลินก็มีคนที่ทําแบบนั้นได้เหมือนกันเขาเป็นคนแรกที่ฝึกฝนหลายกระบวนท่าจากทั้งหมด 72กระบวนท่าได้แต่มันกลับทําให้เขาไม่กลับและสูญเสียทุกอย่างไปเพราะเขาฝึกฝนจิตใจไม่มากพอจนทําให้จิตมารเข้าแทรกได้
“แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่ แล้วในตอนท้ายเขาก็กลายมาเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง” หวังเย้าพูด
ทั้งสองเดินมาถึงตีนเขา
“คุณไม่ได้ขึ้นไปบนเขาเลยใช่ไหมครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่ยอดเขา
“ไม่เคยครับ” จงหลิวชวนตอบ
เขาเคยขึ้นไปบนยอดเขาทางตะวันออกซึ่งอยู่ใกล้กับเนินเขาหนานชานเท่านั้น และไม่เคยข้ามเขตเขาไปเลยสักครั้งถึงมันจะเป็นเรื่องง่ายสําหรับเขามากแค่ไหนก็ตามที
“งั้นเราไปที่นั่นกันเถอะ” หวังเข้าพูด
“ตอนนี้เลยเหรอครับ?” จงหลิวชวนแปลกใจ
“ใช่ ตอนนี้เลย” หวังเย้าพูด
เมื่อได้ยินเสียงคุยจากด้านล่าง ซานเซียนก็ลงมาจากเขา เมื่อมองดูซานเซียนในเวลากลางคืนก็ดูไม่ต่างจากสิงโตตัวหนึ่งเลย
“หมาดน่าเกรงขามอะไรแบบนี้!” จงหลิวชวนอทาน
เขาเคยเห็นซานเซียนจากไกลๆอยู่หลายครั้ง และก็ต้องตกใจกับขนาดของมันตอนนี้เขาได้มาเห็นใกล้ๆแล้ว เขาก็รู้ว่าตัวเองดูถูกมันเกินไปบรรยากาศรอบตัวซานเซียนเหนือกว่าสุนัขทั่วไปมากเห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์ป่าตัวหนึ่งแต่กลับยืนส่ายหางเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านายของมันเมื่อใดก็ตามที่มีคนแปลกหน้าล่วงล้ำเขตแดนมันจะทําให้คนแปลกหน้าต้องเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น
“คิดว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถาม
“มันสุดยอดมาก” จงหลิวชวนพูดโดยไม่ต้องคิด
เขาพูดออกมาจากใจจริง ตั้งแต่ที่เขาเดินมาถึงที่ตีนเขา เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปมันแปลกมากเขาหายใจได้โล่งขึ้นและรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัวเขารู้สึกเหมือนก่าลังแช่ตัวในน้ําร้อนมันเป็นความรู้สึกสบายที่ไม่สามารถอธิบายได้
“เขาลูกนี้มีพลังวิญญาณ” จงหลิวชวนพูด
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “เนินเขาหนานชานเป็นสถานที่ต้องห้าม มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยขึ้นมาบนนี้”
“ขอบคุณนะครับเขียนเชิง ที่เชื่อใจผม” จงหลิวชวนพูด
“ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราไม่จําเป็นต้องมีมารยาทขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ในอนาคตผมอาจต้องเดินทางบ่อยขึ้น ในเวลานั้น คงต้องให้คุณช่วยดูแลหมู่บ้านแทนแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงครับ เชียนเชิง ผมอยู่ที่นี่ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรแน่นอน”จงหลิวชวนพูด
“ดีครับ” หวังเย้าพยักหน้า เขาเชื่อใจจงหลิวชวน แต่เขาคงจะต้องยุ่งวุ่นวายจัดการกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นมากมายในอนาคตด้วยตัวคนเดียว “คุณคงต้องหาคนมาช่วยด้วย”