“ที่ทะเล แถวแนวหินโสโครก” หลี่ฟางพูด
“บอกให้ชัดกว่านี้ไม่ได้เหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม
“มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” หลี่ฟางพูดแล้วยกขาขึ้นจิบ “นายก็รู้ว่าเขาไม่ได้เชื่อใจฉันมากขนาดนั้นเขายังระแวงฉันอยู่”
“ผู้ชายอย่างเขาใช้ชีวิตเหน็ดเหนื่อยเกินไป” เจี้ยจื้อจายพูด เขาพ่นควันบุหรี่ออกมา “เขาคอยป้องกันทางนี้ที่ทางนั้นที่ตลอดเวลา ไม่มีใครที่เขาเชื่อใจได้ นี่ นายว่าเวลาที่เขานอนกับผู้หญิงเขาจะระแวงว่าอีกฝ่ายเป็นนักฆ่ารึเปล่า? เธออาจจะฆ่าเขาตอนที่เขากับเธอกําลัง…แม้แต่จะมีความสุขก็ยังทําไม่ได้เลย!”
“เท่าที่ฉันรู้ บอสไม่แตะผู้หญิงเลย” หลี่ฟางพูด
เจี้ยจื้อจายสูดบุหรี่เข้าปอด “จุ๊ๆ เขาไม่ดื่ม, ไม่สูบ, ไม่ย้อมสีผม, ไม่แตะผู้หญิง… นี่เขาเป็นขันที่ใช่ไหม?”
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” หลี่ฟางพูด “เขาไหว้หนวดอยู่นะ”
“นั่นอาจจะเป็นหนวดปลอมก็ได้” เลี้ยจื้อจายพูด
“ฉันคิดว่า เขาน่าจะมีคนที่ไว้ใจมากอยู่ด้วย” หลี่ฟางพูด
“ใคร?” เจียจื้อจายถาม
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง?” หลี่ฟางตอบ “แล้วฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”
“มีหลักฐานอะไรไหม?” เจี้ยจื้อจายถาม
“ไม่มี เดาจากสัญชาตญาณ” หลี่ฟางพูด
“สัญชาตญาณ? นั่นไม่ใช่ที่พวกผู้หญิงเอาไว้จับผิดพวกที่นอกใจหรอกเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถามเขารู้ว่าหูเหมยมีสัญชาตญาณที่แม่นยํามาก เขาจึงไม่ชินเมื่อมาได้ยินจากปากหนุ่มใหญ่แบบนี้“แล้วบอสมีความสามารถอะไรบ้าง?”
“เขาเก่งเรื่องการต่อสู้ เป็นยอดฝีมือของจริง” หลี่ฟางพูด
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว” เลี้ยจื้อจายพูด
“อาวุธแทบจะทําอะไรเขาไม่ได้เลย แล้วเขายังต้านทานพิษได้ด้วย” หลี่ฟางพูด “ความสามารถในการตัดสินคนของเขาก็ชั้นยอด”
“มีอะไรอีกไหม? ช่วยพูดให้จบในครั้งเดียวไม่ได้รึไง?” เจี้ยจื้อจายถาม เขารู้เรื่องที่หลี่ฟางพูดมาทั้งหมดอยู่แล้ว
“นั่นเป็นทั้งหมดที่ฉันรู้” หลี่ฟางพูด
“นายยังรู้น้อยกว่าฉันด้วยซ้ำ! นี่นายติดตามเขาโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นเหรอ?” เจี่ยจื้อจายรู้สึกได้ว่าหลี่ฟางยังมีเรื่องที่ไม่ได้พูดออกมาและเก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้
“ฉันรู้สึกว่า เขาน่าจะเก่งเรื่องใช้อาวุธด้วย” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่ฟางก็พูดขึ้นมา
“สัญชาตญาณอีกแล้วล่ะสิ?” เจี้ยจื้อจายถาม
“ฉันเห็นมือซ้ายของเขา” หลี่ฟางพูด “มือซ้ายของเขาด้านมาก น่าจะเป็นเพราะการจับอาวุธแต่ไม่ใช่ปืน”
“มือซ้าย?” เจี้ยจื้อจายคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นายบอกว่ามือซ้าย แต่ฉันจําได้ว่าเขาใช้มือขวาเซ็นเอกสารนะ”
“นั่นก็หมายความได้ว่า นายยังสังเกตไม่มากพอ” หลี่ฟางพูด “เขามีนิสัยชอบกําหมัดด้วยมือซ้ายมันเป็นความเคยชินที่แสดงออกมา”
“ถึงอาวุธจะทําอะไรเขาไม่ได้ แต่ระเบิดน่าจะพอทําอะไรเขาได้บ้าง” เจี้ยจื้อจายพูด “ปัญหาคือข้อมูลในมือของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ ถ้าเขาตายของสิ่งนั้นก็จะถูกเปิดเผยออกมาไม่ใช่ว่าพวกเราก็ตายเหมือนกันหรอกเหรอ?”
เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้อมูลตกไปอยู่ในมือของคนอื่น มันก็ไม่ต่างจากการมีดาบแขวนอยู่เหนือหัวตลอดเวลามันอาจร่วงลงมาได้ทุกเมื่อและมันก็คือสาเหตุที่ทําให้เขาไม่สามารถนอนหลับและกินข้าวได้อย่างสบายใจ
“ฉันมีข้อมูลบางส่วนอยู่ในมือ” หลี่ฟางพูด
“นายมีของฉันไหม?” เจี้ยจื้อจายถาม
“ฉันไม่รู้” หลี่ฟางพูด
“หมายความว่ายังไง ที่ว่านายไม่รู้?” เจียจื้อจายถาม
“มันเป็นฮาร์ดไดร์ฟ” หลี่ฟางพูด “ฉันเคยให้คนที่เชี่ยวชาญเรื่อง
คอมพิวเตอร์ถอดรหัสดูแล้วไม่เพียงแต่มันจะมีรหัสให้กรอกเท่านั้น แต่คนคนนั้นยังบอกฉันด้วยว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันพยายามเปิดไฟล์ที่อยู่ด้านใน ตัวฮาร์ดไดร์ฟจะทําลายข้อมูลด้านในโดยอัตโนมัติและส่งข้อความไปหาใครบางคนทันที”
“บ้าเอ้ย ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์” เจี้ยจื้อจายพูด “เขาให้นายรักษาข้อมูลแต่นายกลับไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่อย่างนั้นสินะ”
“ถูกต้อง” หลี่ฟางพูด
“แล้วถ้าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเขาขึ้นมาล่ะ เขาได้บอกไหมว่านายต้องทํายังไง?”เจี้ยจื้อ
จายถาม
“เขาบอกให้ฉันเอาข้อมูลมอบให้กับเถิงเหว่ย” หลี่ฟางพูด
“เอ็งเหว่ย? เป็นไปไม่ได้!” เจี่ยจื้อจายส่ายหน้า “เขากับบอสเป็นอย่างสุดท้ายที่จะร่วมมือกันได้”
“มันอาจไม่ใช่ก็ได้” หลี่ฟางพูด “บางเรื่องอาจไม่ใช่อย่างที่พวกเขาแสดงให้เห็นก็ได้นายไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มีกรรมการกี่คนที่ร่วมมือกันอยู่ หรือมีกี่คนที่เป็นคนของบอส”
“มีคนอยู่ฝ่ายเขาด้วยเหรอ?” เจี่ยจื้อจายถาม
“อ่าฮะ แม้แต่ซินหัวยังมีพวกพ้องตั้งหลายคน” หลี่ฟางพูด “เริ่มจากตามหาพวกเขาแล้วจัดการไปทีละคนแล้วเหลือบอสเป็นคนสุดท้าย แบบนั้นจะง่ายกับพวกเรามากกว่า”
ในเมื่ออาการของลูกชายเขาเริ่มแสดงสัญญาณที่ดีขึ้นแล้ว หลี่ฟางจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเขามีความปรารถนาใหม่ในชีวิต เพราะเรื่องนั้น เขาจําต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา
“จ๊ๆๆ นายไม่ได้โหดเหี้ยมแบบนี้มานานแล้ว!” เจี้ยจื้อจายถอนหายใจ
“เรามาเริ่มกันเลยไหม?” หลี่ฟางถาม
“มาเริ่มกันเลย” เจี้ยจื้อจายตอบ
เมื่อดวงจันทร์มืดมนลมพัดแรง เวลาของการฆ่าและเผาทําลายก็ได้เริ่มต้นขึ้นเช้าวันต่อมาท้องฟ้ามืดครึม ไม่นานฝนก็เริ่มโปรยลงมา
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ เจิ้งอี้ชวนสามารถลุกออกจากเตียงโดยไม่ต้องพึ่งพาไม้ค่ำแล้วสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
“หัวหน้า ผมคิดว่าพวกเราน่าจะกลับกันได้แล้วนะครับ” เขาพูด
“ได้ ฉันจะไปบอกหมอหวังก่อน” เฉิงห่ายตงพูด
พวกเขาเดินไปลาหวังเย้าที่คลินิกด้วยกัน
“ครับ คุณกลับได้แล้วล่ะ” หวังเย้าหัวเราะและมอบซุปเป่ยหยวนกับพวกเขาด้วย“เอายานี้ไปด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ หมอหวัง” เจิ้งอี้ชวนพูด “ในอนาคต ถ้าคุณต้องการให้ช่วยอะไรบอกผมได้เลยนะครับ”
“ได้ครับ” หวังเย้ายิ้มและพยักหน้ารับ
พวกเขาเชิญหวังเย้ากับจงหลิวชวนไปทานข้าวกลางวันที่ร้านอาหารด้วยกันที่โต๊ะอาหารเฉิงห่ายตงพูดเรื่องค่ารักษาขึ้นมาอีกครั้งแต่กลับถูกหวังเย้าเปลี่ยนเรื่องแทนในเมื่อเขาพูดไปแล้วว่าไม่คิดเงินเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน
หลังทานอาหารเสร็จ เฉิงห่ายตงและเจิ้งอี้ชวนโบกมือลาพร้อมกับข้าวของอีกหลายอย่างรถขับเคลื่อนไปตามถนนคอนกรีตที่คับแคบ
เจิ้งอี้ชวนมองดูทิวเขาที่เรียงตัวไปตลอดสองข้างทาง ฐานทัพของพวกเขาต้องอยู่บนภูเขา
“หัวหน้า ที่นี่เป็นที่ที่ดีมากเลยนะครับ” เขาพูด
“ใช่ มันเป็นที่ที่ดีจริงๆ รวมถึงคนที่อยู่ที่นี้ด้วย” เฉิงห่ายตงพูด
การรักษาได้ช่วยชีวิตคนของเขาเอาไว้ได้ และคนเป็นหมอก็ไม่คิดเงินสักหยวนพวกทั้งประทับใจและนับถือในฝีมือการรักษาและหลักการของหวังเย้า
“เขามีเส้นสายกับทางตระกูลซูเหรอครับ?” เจิ้งอี้ชวนถาม
“ซูจือจึงเรียกเขาว่า น้องเขย” เฉิงห่ายตงพูด
“หา ทําไมหมอนั่นถึงได้แต่ของดีไปหมดแบบนี้ล่ะครับ?”เจิ้งอี้ชวนหัวเราะ หลายวันที่ได้ทําความรู้จักกันเขาก็เริ่มชื่นชอบหมอหวังมากขึ้น“น่าเสียดายที่ผมไม่มีน้องสาว”
“คนนั้นของตระกูลซูก็เป็นเขาที่รักษาจนหาย” เฉิงห่ายตงพูด
“อืม แสดงความขอบคุณโดยการมอบตัวเองให้สินะครับ?” เจิ้งอี้ชวนถาม “ก่อนหน้านี้ผมได้เจอเธอด้วยเธอสวยเหมือนนางฟ้าแต่ก็เหมาะกับหมอหวังดี”
แนวหินโสโครกแห่งหนึ่งในเมืองเต๋
“คิดจะเผยตัวเมื่อไหร่?” ชายคนหนึ่งถาม “งานบางอย่างในบริษัทแทบไม่เดินหน้าเลยลูกค้าบางคนก็เริ่มไม่พอใจแล้ว”
“รออีกสักหน่อย” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด ใบหน้าของเขาดูซีดเล็กน้อย
“นายต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย” ชายอีกคนพูด
“ได้ ตอนที่นายกลับไป ต้องระวังอย่าให้โดนจับตามองได้ล่ะ” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด
ชายอีกคนถอนหายใจและเดินจากไป เขาเดินไปรอบๆและอ้อมไปไกลก่อนที่จะโบกมือเรียกแท็กซี่กลับไปเขาคิดว่าเขาระวังตัวดีแล้ว แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกจับตามองไว้แล้ว
“นี่มันเกินคาดจริงๆ! มันเป็นเขา!” ชายคนหนึ่งอุทาน
“ใครเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม
“ลุงหลี่ ที่เป็นยามยังไงล่ะ” ชายคนนั้นพูด
“โอ้ เชี่ย!” เจี่ยจื้อจายอึ้ง “นายมองดูชัดแล้วใช่ไหม?”
“แน่นอน ฉันเห็นจริงๆ” เขาพูด
“เป็นไปได้ยังไงกัน?” เจี้ยจื้อจายเกาหัว
เขาเห็นหน้าชายชราคนนี้ทุกครั้งที่เขาไปที่บริษัท เขาเป็นชายชราวัยหกสิบกว่าที่อารมณ์ดีอยู่เสมอเขาสามารถพูดคุยได้กับทุกคน และเป็นเพียงยามคนหนึ่งเท่านั้น คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อกับเจ้าของบริษัทผู้ที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรคนนั้น
“เราไม่สามารถตัดสินหนังสือจากแค่หน้าปกจริงๆสินะ” เจียจื้อจายพูด “สืบเรื่องของเขามา!”
ไม่มีใครให้ความสนใจคนแบบเขา หรือคิดมากเกี่ยวกับตัวตนของเขาเพราะเขาเป็นแค่ยามคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทด้วยซ้ำไป
“เขาซ่อนตัวได้ลึกมากจริงๆ” เจี้ยจื้อจายพูด
พวกเขาได้เบาะแสที่จะสืบต่อจากนี้แล้ว การสืบสวนเรื่องราวรอบตัวลุงหลได้เริ่มขึ้นแล้ว
เจิ้งเหว่ยจวันเดินทางมาที่หมู่บ้านกลางเขา การก่อสร้างบริษัทยาหนานชานดําเนินไปอย่างราบรื่นโครงการหลักถูกวางให้สร้างสําเร็จในเดือนตุลาคมกระบวนการอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องก็เป็นไปด้วยดีเช่นกันเขาจึงวางงานทุกอย่างและเดินทางมาหาหวังเย้า
“เชียนเชิง ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ?” เขาถาม
“โชคดีที่หลายวันมานี้มีคนไข้ไม่มากเท่าไหร่” หวังเย้าพูด “คุณดูดีเลยนี่!”
“ก็ดีครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
เมื่อคนเรามีความสุขพวกเขามักดูสดใสช่วงนี้เขามีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้นและอํานาจในมือของเขาก็เพิ่มตามไปด้วยนี่หมายถึงความไว้วางใจที่ตระกูลมอบให้และเป็นการทดสอบเขาด้วยเช่นกัน