“ผมยุ่งมากเลย” เจิ้งเหว่ยจวินถอนหายใจ “ไม่ได้ว่างเหมือนเชียนเชิง!”
หวังเย้าเพียงยิ้มให้เท่านั้น ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกับเขาสามารถใช้ชีวิตเช่นเดียวกันได้แต่เขากลับไม่ยินยอมหรือไม่คิดว่าเขาจะทําได้ เขาแบกความหวังของคนมากมายเอาไว้บนบ่า มีบาง เรื่องที่เขาไม่สามารถทําเป็นมองไม่เห็นได้ แม้ว่าเขาอยากทํามากแค่ไหนก็ตาม
หลังจากนั่งอยู่ในคลินิกได้สักพักและดื่มชาหมดไปสองถ้วย เจิ้งเหว่ยจวินก็กลับออกไป
ในตอนที่เขากําลังจะกลับนั้น หวังเย้าก็พูดขึ้นมาว่า “พักผ่อนให้มาก คุณจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป”
“ได้ครับ ผมจะจําเอาไว้” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ขอบคุณนะครับ เชียนเชิง”
“ลาก่อนครับ” หวังเย้าพูด
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ เชียนเชิง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
สายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงพัดต้นไม้ส่ายไปมา หวังเย้าชอบฤดูใบไม้ร่วงที่สุดเพราะอากาศที่เย็นและเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่วุ่นอยู่กับการเพาะปลูกส่วนฤดูร้อนก็ร้อนจนเกินไปตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง หมู่บ้านกลางเขาจึงเต็มไปด้วยเสียงจอแจของชาวบ้านที่เก็บเกี่ยวผลผลิต
ในตอนกลางวัน หวังเย้ามีแขกที่คาดไม่ถึงมาหา “หยางหมิง?”
คนที่มาก็คืออดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนและเคยตามจีบถงเวยอยู่ช่วงหนึ่ง หยางหมิงผู้ที่ไม่ได้เดินทางมาเพียงล่าพังแต่พาแม่ของเขามาด้วย
“เป็นนายจริงๆเหรอเนี่ย?” หลังจากเห็นหน้าหวังเย้า สีหน้าของเขาก็ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ” หวังเย้ายิ้มและบอกให้พวกเขาเข้ามาด้านในคลินิก
เกิดความตึงเครียดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง แต่ไม่ใช่ความเกลียดชังจากการฆ่าพ่อแม่หรือลักลูกเมียของอีกฝ่ายในเมื่อเขามาถึงหน้าประตูแล้วหวังเย้าคงไม่สามารถเอ่ยปากไล่เขาได้
เมื่อเห็นว่า หยางหมิงอายเกินกว่าที่จะพูด หวังเย้าจึงเป็นฝ่ายถามแทน “มีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ?”
“แม่ของฉันปวดหัว แล้วตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับ”หยางหมิงพูด “ฉันอยากให้นายตรวจดูแม่ให้หน่อย”
ถึงหยางหมิงจะมีข้อเสียหลายอย่าง แต่เขาก็เป็นลูกที่กตัญญูต่อพ่อแม่ เขาได้ยินมาว่าคลินิกแห่งนี้มีอดีตเพื่อนร่วมชั้นของเขาเป็นเจ้าของทั้งยังเป็นคนที่เขาไม่ชอบหน้าและเพราะความสัมพันธ์ที่ย่าแย่ระหว่างเขากับหวังเย้า เขาจึงเลือกที่จะพาแม่ของเขาไปรักษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่แทน
แต่โรงพยาบาลเหล่านั้นกลับไม่สามารถรักษาแม่ของเขาได้ แม่ของเขาก็ยังคงนอนไม่หลับในตอนกลางคืนเธอทรมานอย่างมากเขาคิดอยู่นานและในที่สุดก็ยอมกัดฟันพาแม่ของเขามารักษาที่นี่ถึงเขาจะต้องก้มหัวและเอ่ยปากขอโทษเขาก็ยินดีทําเพื่อช่วยให้แม่ของเขาได้รับการรักษา
“ฉันจะตรวจคุณป้าดูก่อน” หวังเข้าไม่ได้แสดงท่าที่ไม่พอใจใดๆ หลังจากตรวจดูแล้วเขาก็พูดว่า“อึมเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปน่ะ”
หลังจากฝังเข็มและนวดเสร็จ แม่ของหยางหมิงก็ไม่รู้สึกปวดหัวอีกต่อไป เธอรู้สึกอุ่นสบาย
“โอ้ สบายจริงๆ!” เธออุทาน
“แค่นี้เหรอ?” หยางหมิงแปลกใจ
“ใช่ ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “เมื่อไหร่ที่อากาศเย็นก็แค่ต้องทําตัวให้อุ่นเข้าไว้ อย่าปล่อยให้เป็นหวัดก็พอ”
“อ่อ ฉันเข้าใจแล้ว” หยางหมิงพูด “ค่ารักษาเท่าไหร่เหรอ?”
“ไม่คิดหรอก ยังไงเราก็พวกเราก็เคยเรียนด้วยกันมาก่อน” หวังเย้ายิ้มและโบกมือปฏิเสธ
เขาไม่ได้เก็บเรื่องแย่ๆมาใส่ใจ สิงโตไม่สนใจการกัดของมด เขายังมีความใจกว้างมากพอ
“จะให้ฉันทําแบบนั้นได้ยังไงกัน?” หยางหมิงถาม
“มันไม่จําเป็นจริงๆ” หวังเย้าพูด
หลังจากพูดขอบคุณแล้ว หวังเย้าก็เดินออกมาส่งหยางหมิงและแม่ของเขาที่หน้าประตูเขาพูดว่า“เดินระวังนะครับ”
“ขอบคุณนะจ๊ะ” แม่ของหยางหมิงพูด
รถออดี้สีขาวมุกขับค่อยๆขับออกไป
ภายในตัวรถ แม่ของหยางหมิงพูดขึ้นมาว่า “เพื่อนคนนี้ของลูกเก่งจริงๆ!”
“ขอแค่แม่ดีขึ้นก็ดีแล้วล่ะครับ” หยางหมิงพูด
“ตอนนี้ แม่ไม่ปวดหัวอีกแล้วล่ะ แถมยังรู้สึกอุ่นสบายอีกด้วย” แม่ของเขาพูด“ฝีมือของเขาสมกับชื่อเสียงที่ได้ยินมาจริงๆ!ในเมื่อลูกมีเพื่อนเก่งขนาดนี้ทําไมถึงไม่พาแม่มาที่นี่ตั้งแต่ทีแรกล่ะจ๊ะ?”
หยางหมิงคิดอยู่นาน เขาไม่สามารถบอกได้ว่า เขากับหวังเย้าเคยมีเรื่องผิดใจกันมาก่อนแต่เขาก็คิดไม่ออกว่าควรตอบออกไปอย่างไรดี“เขาเป็นเพื่อนของผม ผมก็เลยเกรงใจเขาน่ะครับ”
“อ่อ จริงด้วยสินะ วันนี้เขาก็ไม่ยอมคิดเงินค่ารักษาด้วย หลังจากนี้เราก็พยายามอย่ามาหาเขาบ่อยๆก็ดีจะได้ไม่ต้องรบกวนเขาจนเกินไป”ผู้เป็นแม่ใส่ใจในเรื่องมิตรภาพของลูกชายแต่เธอกลับเข้าใจไปในทางตรงกันข้ามแทน
เมืองเต๋ เจี้ยจื้อจายตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่ในมือ “เธอหมายความว่ายังไง?”
“คนที่อยู่กับบอสอาจไม่ใช่ลุงหลีก็ได้” หูเหมยพูด
“เธอไม่มีรูปของเขาเหรอ?” เจียจื้อจายถาม “เธอก็เคยเห็นหน้าของเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อาจมีคนปลอมเป็นเขาก็ได้” หูเหมยพูด “ในตอนนั้นมีคนเห็นลุงหลี่กําลังซื้อของอยู่ในซุปเปอร์มาร์เกตที่ห่างไปหลายไมล์เขาไม่มีทางแยกร่างได้หรอก จริงไหม?”
เจียจื้อจายเกาหัว ชายชราปรากฏตัวขึ้นสองสถานที่พร้อมกัน “แล้วคนไหนที่เป็นตัวจริง?”
“นั่นเป็นจุดที่ฉันเจอตอเข้าเหมือนกัน” หูเหมยพด“ฉันไม่มั่นใจเรื่องนี้เท่าไหร่ ฉันไม่รู้มาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเราเลยไม่ได้สั่งให้คนติดตามคนที่เดินอยู่ที่ซุปเปอร์มาร์เกตเราตามแค่คนที่เจอที่แนวหินโสโครกแล้วเขาก็กลับไปที่บ้านของลงหลี่ด้วย”
“แล้วเขาเข้าไปในบ้านรึเปล่า?” เจียจื้อจายถาม
“ฉันไม่แน่ใจ” หูเหมยพูด “พวกเขาเห็นแค่ว่า เขาเดินขึ้นไปบนตึก ส่วนนี้เป็นข้อมูลของเขา”
เจี้ยจื้อจายรับเอกสารมาและอ่านดูอย่างละเอียด มันไม่มีข้อสงสัยตรงจุดไหนเลยลุกหลี่เป็นคนในพื้นที่และลูกๆของเขาก็อยู่ในเมืองเต๋คนแบบเขาไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้แต่หลายอย่างบนโลกนี้ล้วนไม่สมเหตุสมผล
“ตามเขาต่อ” เลี้ยจื้อจายพูด “ให้คนไปเฝ้าที่แนวหินโสโครกด้วย บอสของพวกเราใจเย็นจริงๆเขาทําเพียงหลบซ่อนและไม่ยอมโผล่หัวออกมาทั้งที่บริษัทจะล้มอยู่รอมร่อแล้ว!
“ฉันคิดว่า เขากําลังจะออกมา” หูเหมยพูด
“ทําไม?” เจี่ยจื้อจายถาม
“สัญชาตญาณ” หูเหมยพูด
“สัญชาตญาณอีกแล้วเหรอ?” เจียจื้อจายถาม
ภายในบ้านหลังหนึ่งในเมืองเต๋ชายคนหนึ่งกําลังดูข้อมูลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเขามีข้อมูลมากมายอยู่ในนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันถูกเปิดเผยออกไปมันจะสร้างความปั่นป่วนขึ้นอย่างแน่นอน
เขาคลิกเมาท์สองสามครั้ง หลายรูปปรากฏขึ้นบนหน้าจอ มันเป็นคลิปบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนพร้อมกับเงาของมนุษย์ที่วาบผ่านกล้องไป
ห่างไปไม่กี่กิโล ภายในตึกแห่งหนึ่งที่มืดสนิท มีชายคนหนึ่งแอบเข้าไปด้านในเขามาถึงที่ด้านนอกห้องห้องหนึ่ง เพียงคลิกเดียวประตูก็เปิดออกเขาเดินเข้าไปและเริ่มค้นตามลิ้นชักเงิน?
มีเงินหนึ่งปีกอยู่ในลิ้นชักอันหนึ่ง เขาหยิบมันออกมาและใส่ไว้ในกระเป๋าจากนั้นก็ค้นหาต่อไป
ไม่มีอะไร?
เขาตบไปตามกําแพง เขาหยุดอยู่ที่จุดหนึ่งและตบลงไปซ้ําๆ เขาหยิบรูปภาพออกจากผนังปรากฏเป็นลูกกรงสีดํา
ใช่จริงๆด้วย
เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะแก้รหัสบนกล่องได้ หลังจากเปิดออก ด้านในมีถุงใบเล็กอยู่หนึ่งใบเงินหนึ่งปีก, และซองจดหมายหนึ่งซอง
เขาเก็บเงินเข้ากระเป๋าแล้วเปิดถุงใบเล็กออกด้านในมีเพชรอยู่ เขาจึงโยนมันเข้าไปในกระเป๋าเหลือเพียงซองจดหมายเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดออกด้านในเป็นจดหมายฉบับหนึ่งมีเพียงหนึ่งประโยคเขียนเอาไว้บนนั้น:คุณผิดหวังรึเปล่า?
เกิดเสียงดังคลิก แล้วไฟก็สว่างขึ้น มีคนเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ “แกเป็นใคร?”
ชายสวมหน้ากากวิ่งไปที่หน้าต่าง เกิดเสียงดังฟบ แล้วชายสวมหน้ากากก็เกิดอาการหน้ามืดเขารู้สึกมึนหัวแล้วจากนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้น
เมื่อเขาได้สติ เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่มืดและอับชื่น ตัวเขาถูกมัดติดกับเก้าอี้ตัวหนึ่งเหนือศีรษะของเขามีโคมไฟแขวนอยู่ ชายที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขามีผมยาว,ใบหน้าซีดเซียว,และแววตาคลุมเครือสายตานั้นทําให้เขารู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่าง
ชายใบหน้าซีดเซียวถามเขาด้วยเสียงแหลมสูง “ใครส่งแกมา?”
“หา ใคร? ไม่มีใครส่งฉันมา!” ชายที่ถูกมัดเอาไว้ตกใจ
“แล้วแกมาทําอะไรที่บริษัทของเรา?” ชายใบหน้าซีดเซียวถาม
“ก็มาขโมยของน่ะสิ!” ชายคนนี้เป็นหัวขโมย เมื่อเขาได้เข้าไปแล้ว เขาก็ต้องขโมยของบางอย่างมา
“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าห้องนั้นเป็นห้องเจ้าของบริษัท?” ชายใบหน้าซีดเซียวถาม
“ก็ที่หน้าประตูมันเขียนเอาไว้!” ชายที่ถูกมัดตอบ
เกิดความเงียบขึ้น อยู่ๆชายใบหน้าซีดเซียวก็ชกไปที่บริเวณซี่โครงของเขา
“อ้าก!” ชายที่ถูกมัดกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
มันเจ็บ! มันเจ็บโว้ย!