“วิธีการหายใจคือพื้นฐานของการฝึกฝน” หวังเย้าพูด “คุณจะหยุดฝึกไม่ได้ วิชาหมัดมวยคือ ทักษะการต่อสู้ และจําเป็นต้องฝึกฝนและบ่มเพาะทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้กลายเป็นยอดฝีมือ
“ผมจดจําไว้แล้ว” จงหลิวชวนพูด
อาจารย์และลูกศิษย์เดินเล่นอยู่บนเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะลงจากเขา
จงหลิวชวนกลับไปที่บ้านและเริ่มฝึกหมัดมวยที่หวังเย้าสอนให้เขา นี่ถือว่าเป็นการฝึกฝน, พัฒนา, และจดจําให้ลึกซึ้ง โดยใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เขาเพิ่งได้รับมา
“วิชานี้ลึกซึ้งอย่างมาก!”
เมื่อยอดฝีมือแตกฉาน เขาจะรู้ถึงแก่นแท้ของวิชา เช่นเดียวกัน เมื่อยอดฝีมือพยายามด้วยตัวเอง เขาก็จะเข้าใจวิชานั้นๆได้อย่างลึกซึ้ง
จงหลิวชวนมีเทคนิคการต่อสู้หลากหลายแบบ เขาค่อนข้างเชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่เทคนิคทั้งหมดที่เขาได้ร่ําเรียนมา กลับไม่มีอันไหนที่เหมือนสิ่งนี้ การผสมรวมเข้ากับท่าเท้า, ทักษะ, และการรวมกันของภายในและภายนอก ยิ่งเขาฝึกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งค้นพบว่าลึกลับของมันมากขึ้น
ด้านนอก ท้องฟ้าเริ่มมืดลง จงหลิวชวนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและคิด เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ!
หลังจากฝึกตลอดทั้งบ่ายแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกหิว เขานําปลามาทําอาหาร, หุงข้าวหนึ่งหม้อและทําอาหารจานผักสําหรับมื้อเย็น ที่เขาจัดการกินจนหมด
ที่ปักกิ่ง ซูจือจึงได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จากนั้นเขาก็พักฟื้นอยู่ที่บ้านอีกหลายวัน เขาดูมีสุขภาพดีขึ้น
เขาบอกกับแม่ของเขาว่า เขาจะกลับเข้ากองทัพ ในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่ง เป็นธรรมดาที่เธออยากให้ลูกชายอยู่ที่บ้านนานๆ แถมเขาก็เพิ่งได้รับบาดเจ็บมาและยังไม่หายสนิท
“ลูกจะกลับแล้วจริงๆเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม “ลูกเพิ่งจะหายดีเองนะ!”
“ครับ ผมจะกลับแล้ว” ซูจือฉิงพูด “ผมอยู่แต่บ้านทั้งวันจนทนไม่ไหวแล้ว”
“ก็ได้ ลูกกลับเถอะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ครับ” ซลือจึงหันไปพูดกับน้องสาวของเขา “เสี่ยวซวี ก่อนกลับไปที่กองทัพ พี่จะแวะไปหาน้องเขยก่อน อยากฝากอะไรไปให้เขาด้วยไหม?”
“มีค่ะ!” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างยินดี “ฉันซื้อเสื้อให้เขาตัวหนึ่ง พี่เอาไปให้เขาได้ไหมคะ?
“ได้สิ” ซูจือจึงพูด เขามองดูห่อของที่งดงามและถอนหายใจ “โฮ เสื้อตัวนี้ไม่ใช่ถูกๆเลยใช่ไหม?”
“ฉันใช้เงินจากทุนการศึกษาซื้อเสื้อตัวนี้ แล้วฉันก็คิดว่าเขาต้องชอบมันแน่ๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“นี่ๆ เมื่อไหร่พี่ชายคนนี้จะได้เสื้อแบบนี้บ้างล่ะ?” ซูจือจึงถาม
“พี่ไม่ใช่อยู่แต่ในกองทัพเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูด “ยังไงพี่ก็ใส่เสื้อผ้าแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้อยู่แล้ว
“โถ พี่ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” ซูจือจึงพูด “ไม่ต้องห่วง พี่รับปากว่าจะเอาของไปให้ถึงมือเขา
เลย”
“ขอบคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ถ้าไม่ใช่เพราะตารางเรียนที่แน่นขนัด เธอคงจะเดินทางไปเหลียนชานและนําเสื้อไปมอบให้เขาด้วยตัวเองแล้ว
“พวกเราคือคนในครอบครัวนะ ดังนั้นไม่จําเป็นต้องขอบคุณหรอก” ซูจือจึงพูด “แล้วพี่ก็ต้องไปที่นั่นเพื่อขอบคุณน้องเขยอยู่แล้วด้วย เอ่อ เขาชอบอะไรบ้างเหรอ?”
“เขาชอบของที่เกี่ยวกับการแพทย์และลัทธิเต๋ค่ะ” ซูเสียวซวีพูด
“งานอดิเรกของเขาแปลกจริงๆ” ซูจือจึงพูด
คนธรรมดาทั่วไปมักชื่นชอบของอย่างบุหรี่, เหล้า, ของเก่า, ภาพพู่กันจีน, ภาพวาด, ทองคําหรือไม่ก็เพชรพลอย ส่วนคนที่ชื่นชอบพวกของเกี่ยวกับลัทธิเต๋และการแพทย์นั้นถือเป็นส่วนน้อย
“อ้อ เขาชอบดื่มชาด้วยค่ะ” ซูเสียวซวีพูด
“อ็ม แบบนี้ก็ง่ายหน่อย” ซูจือฉิงพูด “พี่จําได้ว่า พ่อมีชาจากเขาหวยอยู่ด้วย”
“ชาต้าหงเผาน่ะเหรอคะ?” ซูเสียวซวีถาม
“ใช่” ซูจือฉิงตอบ
“แต่ขนาดคุณพ่อยังไม่กล้าเอาออกมาดื่มเลยนะคะ” ซูเสียวซวีพูด
“ชาก็หมายถึงการที่มันมีเอาไว้ดื่มยังไงล่ะ” ซูจือจึงยิ้มและพูดว่า “อีกอย่าง ชาแบบไหนบ้างที่คุณพ่ออยากได้แล้วไม่ได้น่ะ?”
วันต่อมา ซูจือฉิงก็ได้เดินทางออกจากปักกิ่งโดยรถยนต์ พร้อมกับเสื้อหรูหนึ่งตัวและชาอีกหนึ่งกระปุก
“รอยยิ้มพี่ชายของลูกดูเจ้าเล่ห์ยังไงก็ไม่รู้” ซงรุ่ยปิงกระซิบพูดกับลูกสาวของเธอ
“หนูคิดว่า เขาต้องแอบทําอะไรลับหลังคุณแม่แน่เลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“จริงเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปังถาม “เขาคงไม่ได้ขโมยของของคุณพ่ออีกแล้ว ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ใช่ค่ะ ฮาฮา” ซูเสี่ยวซวียิ้มกริ่ม
“เด็กเจ้าเล่ห์ ลูกรู้อะไรมา?” ซงรุ่ยปังถาม
“เปล่านี่คะ” ซูเสี่ยวซวีส่ายหน้า
รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ด้านในมีซูจือจิงและเพื่อนทหารของเขานั่งอยู่
“ดูนายทําสิ นั่งเครื่องบินไปดีดีก็ได้ แต่ดันอยากขับรถไปเอง” เพื่อนของเขาพูด “แผลของนายยังไม่หายสนิทเลยนะ”
“ฉันชินกับการนั่งรถมากกว่านี่นา” ซูจือจึงพูด “นั่งเครื่องบินอยู่บนท้องฟ้าแล้วฉันไม่ชอบ”
“แล้วนายได้คะแนนจากการฝึกบินสูงขนาดนั้นได้ยังไง?” เพื่อนของเขาถาม
“ฉันโดนบังคับน่ะสิ” ซูจือจึงพูด “แล้วตอนนี้ ฉันก็กําลังจะไปหาน้องเขยที่จังหวัดฉี ชีวิตนี้ของฉันถูกช่วยโดยเขา ฉันก็ต้องไปขอบคุณเขาถึงที่”
“น้องสาวนายแต่งงานแล้วเหรอ?” เพื่อนของเขาถาม “แต่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ทําไมฉันถึงไม่รู้เรื่องไปแต่งกันตอนไหนเหรอ?”
“ในอนาคตยังไงล่ะ” ซูจือจึงพูด
“อ๋อ ฉันก็สงสัยอยู่” เพื่อนของเขาพูด
พวกเขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านในตอนบ่ายของวันนั้น
“โอ้ ทําไมถึงมาที่นี่ได้ครับ?” หวังเย้าแปลกใจที่ได้เห็นซูจือฉิง “พี่ยังไม่หายดีเลยใช่ไหมครับ?
“ยังหรอก แต่ฉันเบื่อปักกิ่งแล้วน่ะสิ” ซูจือจึงพูด “กลับไปอยู่ที่กองทัพดีกว่า แล้วเลี้ยวซวีก็ฝากของมาให้นายด้วย ลองดูสิ”
เขาหยิบเสื้อที่ซูเสี่ยวซวีซื้อให้หวังเย้าออกมา มันเป็นเสื้อเชิ้ตใส่ล่าลองที่ดูดีมาก
“เสี่ยวซวีซื้อให้ผมเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ ช่วงนี้ตารางเรียนของเธอแน่นมาก” ซูจือจึงพูด “ถ้าไม่อย่างนั้น เธอคงจะมาเองแล้ว อะนี่ ลองใส่ดูสิ”
หวังเย้าเปิดกล่องและลองสวมดู ทันทีที่สวมเสื้อ เขาก็ดูปราดเปรียวขึ้น และเพราะการฝึกฝนร่างกายเป็นเวลานาน เขาจึงมีรูปร่างที่ดี และเสื้อตัวนี้ก็ช่วยส่งเสริมให้เขาดูดีขึ้นไปอีก
“ดูดีมากเลยครับ” หวังเย้าพูด “คนพึ่งพาเสื้อผ้า ส่วนมาพึ่งการแต่งขน เป็นเรื่องจริง!”
“คนดีดี เหมาะกับเสื้อผ้าดีดี” ซูจือฉิงพูด
“รสนิยมของเสี่ยวซวีดีมากจริงๆ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายชอบรึเปล่า?” ซูจือฉิงถาม
“ชอบครับ” หวังเย้าพูด
“ส่วนนี้เป็นของขวัญจากฉัน” ซูจือจิ้งหยิบกระปุกใส่ชาที่ไม่มียี่ห้อติดอยู่ออกมา มันดูธรรมดาอย่างมาก
“ชา?” หวังเย้าแปลกใจ
“ใช่ ชาดี” ซูจือฉิงพูด
“งั้นเรามาดื่มกันเถอะครับ” หวังเย้าพูด “พี่รีบไหมครับ?”
“ไม่รีบหรอก ให้ฉันนอนค้างคืนหนึ่งก็ยังได้” ซูจือจึงพูด “พูดตามตรง ฉันก็ยังไม่เคยลองชาตัวนี้เหมือนกัน”
“งั้นมาลองกัน” หวังเย้าพูด
เขามีชุดชงชาอย่างดีอยู่ชุดหนึ่ง, น้ําแร่, และชาชั้นดี เมื่อต้มชากับน้ําร้อน กลิ่นหอมของชาก็ลอยเข้าสู่โพรงจมูกของพวกเขา
“นี่คือชาต้าหงเผาจากเขาหวย” หวังเย้าพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“นายรู้จักของดีด้วยสินะ” ซูจือจึงพูด
“พี่คงไม่ได้ขโมยมาจากรัฐมนตรีซูใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ขโมยอะไร? ฉันแค่ยืมดอกไม้มาถวายให้พระพุทธเจ้าก็เท่านั้น” ซูจอฉิงยักไหล่ แล้วยิ้มกริ่ม
“ในแต่ละปี ชาชนิดนี้ทําออกมาได้ไม่มากนี่ครับ” หวังเย้าพูด “แล้วยังได้รับการปกป้องเป็นพิเศษด้วย”
“ก็แค่ชาป่าเท่านั้น” ซูจอฉิงพูด “รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”
“อืมม เพราะมีพลังจากป่าเขาถูกดูดซับเข้าไปด้วย ทําให้มีรสชาติที่ยอดเยี่ยมมาก”
“พลังอะไร?” ซูจือฉิงถาม “อย่ามาทําเป็นมีลับลมคมใน ฉันคิดแค่ว่ามันหอมกว่าชาทั่วไปก็เท่านั้นแหละ”
“ไม่ใช่ว่านายไม่ชอบดื่มชาหรอกเหรอ?” เพื่อนของซจือฉิงยิ้มถาม
“อืม ฉันลองดื่มเป็นบางครั้งน่ะ” ซูจือจึงพูด
“ชาดีไม่ควรดื่มเพียงลําพัง ผมขอเรียกคนมาเพิ่มนะครับ” หวังเย้าโทรหาจงหลิวชวน
เมื่อเขามาถึง หวังเย้าก็เทชาให้เขา “ลองชิมชาต้าหงเผาจากเขาหวยดู มันเป็นชาชั้นดีเลยล่ะ”
“ขอบคุณครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด ถึงเขาจะไม่รู้เรื่องชามากนัก แต่มันก็ไม่ได้ห้ามให้เขาลิ้มลองชาดีแบบนี้ มันเป็นชาชั้นดีมีกลิ่นหอมและรสชาติสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมกับรสชาติยังติดอยู่ไม่จางหาย “ชาดี!”
“คืนนี้พี่อยากนอนที่นี่ไหมครับ?” หวังเย้าถามซูจือฉิง
“นอนสิ ตอนนี้ก็มืดแล้วด้วย” เขาตอบ “ขับรถตอนกลางคืนมันเหนื่อยเกินไป แล้วฉันก็ไม่ได้รีบกลับด้วย”
“หลิวชวน ช่วยจัดการเรื่องที่พักให้พวกเขาที” หวังเย้าพูด “คืนนี้ เราจะไปกินข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารติดกับหมู่บ้าน”
“ครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด
สถานที่ที่พวกเขาจะพักในคืนนี้เป็นบ้านหลังน้อยที่พวกเจิ้งอี้ชวนพักในครั้งก่อน
ในระหว่างมื้ออาหาร ซูจือฉิงเทเหล้าที่หวังเย้านํามาจากบ้านใส่แก้วของตัวเอง
“อย่าดื่มเลยครับ” หวังเย้าพูด “พี่ยังไม่หายดี”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันขอดื่มแค่แก้วเดียวเอง” ซูจือฉิงพูด
หวังเย้าส่ายหน้า
“เหล้าดี เหล้าดี!” ซูจือจึงยิ้ม
ตอนเขาอยู่ที่ปักกิ่ง มักมีคนคอยควบคุมเขาอยู่ตลอดเวลา การที่เขาดื่มเหล้าไม่ได้เป็นเรื่องที่ทรมานมาก แล้วเขาก็เริ่มดื่มอีกแก้ว
“เอาล่ะ เลิกดื่มได้แล้วครับ” หวังเย้าคว้าแก้วที่เขาเตรียมดื่มเป็นแก้วที่สาม “เมื่อไหร่ที่พี่หายดีจะดื่มเท่าไหร่ก็ได้”
“ก็ได้ วันนี้พอแค่นี้ก่อน” ซูจือจึงพูด
หลังมื้อค่า กลุ่มของพวกเขาก็กลับไปที่หมู่บ้าน ซูจอนิ้งและเพื่อนของเขากลับไปนอนที่บ้านหลังน้อย จงหลิวชวนเดินตามหวังเย้าขึ้นไปบนเขาและเดินไปรอบๆก่อนจะกลับบ้าน