“ได้ครับ” หลินจื่อเทาพูด
“พวกเขากล้าดียังไงถึงมาทําเรื่องพวกนี้ในเมืองเต!” ซุนเจิ้งหรงยิ่งกว่าโมโห “ไม่รู้ซะแล้วว่ากําลังเล่นอยู่กับใครพวกเขาคงหาเรื่องตายอยู่สินะ?”
ไกลออกไปหลายพันไมล์ ที่แห่งหนึ่งในเจียงหนาน
“ลุงสาม ผมควรทํายังไงดี?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“นั่นเป็นความต้องการของผู้เฒ่า ยากที่จะไม่เชื่อฟัง!” เจิ้งชื่อฉงจิบชา
เขามีลูกสาวแค่คนเดียวเขาคอยจัดการเรื่องส่วนใหญ่ให้กับหลานชายซึ่งเขามองเป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่งของเขา และกังวลแทนเขาด้วยเช่นกันน่าเสียดายมีบางเรื่องที่เขาไม่สามารถช่วยได้แม้ว่าเขาอยากช่วยไหนก็ตาม
“เขาก็ยังรักพี่ใหญ่มากกว่าอยู่ดี” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของเธอก็ถูกเลี้ยงดูโดยเขาเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะสนิทกัน”เจ๋งชื่อฉงพูด “ถ้าให้พูดอย่างไม่ลําเอียงพี่ชายของเธอก็ถือว่าดูแลเธอไม่เลวเลย”
“ใช่ เขาปฏิบัติกับผม” รอยยิ้มบนใบหน้าของดูขมขื่นเจิ้งเหว่ยจวิน “บางครั้งผมก็อยากให้ตัวเองไม่ได้เกิดในครอบครัวแบบนี้ผมได้เห็นด้านมืดในหัวใจคนเร็วเกินไปต้องต่อสู้เพื่ออํานาจและเงินทอง, ต้องโกหก, หลอกลวง, และวางแผนการมากมาย มันทําให้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ”
การต่อสู้นี้ พี่น้องและญาติมิตรสามารถกลับกลายเป็นศัตรูกันได้ทุกเมื่อ
หลังจากหยุดพูดไปนานเจิ้งเหว่ยจวินก็พูดขึ้นมาว่า“ผมคิดดีแล้วผมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธรรกิจในเจ็ดจังหวัดทางใต้อีกต่อไป!”
“เธอคิดดีแล้วเหรอ?” เจิ้งชื่อฉงถาม
“ครับ ผมแค่อยากทําธุรกิจในจังหวัดฉีเท่านั้น โดยเฉพาะบริษัทเภสัชกรรมหนานชาน” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ผมต้องการหุ้นทั้งหมดของพวกเขามาไว้ในมือ”
“เรื่องนั้นจัดการได้ง่ายกว่ามาก เพราะมันแค่ 1%เท่านั้น” เจิ้งชื่อฉงพูด “ลุงคิดว่า ผู้เฒ่าคงจะ เห็นด้วยพวกเขาอาจยกให้เธอดูแลกิจการทั้งหมดในจังหวัดเลยก็ได้ถึงยังไงพวกเธอก็เป็นพี่น้องกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลงนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ผมต้องรบกวนลงแล้ว”
“ระหว่างพวกเราไม่จําเป็นต้องเกรงใจ” เจิ้งชื่อฉงพูด
ในครอบครัวใหญ่แบบนี้ ทุกคนล้วนมีความทุกข์ของตัวเอง
“ผมว่าจะไปพักผ่อนสักสองสามวัน” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ดีส” เจิ้งชื่อฉงพูด
ภายในวิลล่าที่ตั้งอยู่อีกเขตหนึ่งในตัวเมือง
“ลงรอง ไม่คิดว่าแบบนี้จะไม่ยุติธรรมต่อเหว่ยจวินเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยหงถาม
“เหว่ยหง บนโลกนี้ไม่มีเรื่องยุติธรรมอยู่จริงหรอก”ชายวัยห้าสิบพูด “แล้วนี่ก็เป็นการตัดสินใจของผู้เฒ่าด้วยเธอคิดว่าลุงๆของเธอจะไม่คิดเรื่องพวกนี้เหรอ? เธอกําลังจะได้รับหนึ่งในสามของกิจกาจทั้งหมดของตระกูลเจิ้งมาไว้ในมือมีคนมากมายที่อยากได้เนื้อชิ้นใหญ่ก้อนนี้แม้แต่พ่อของเธอในตอนนั้นก็ยังไม่ได้เนื้อชิ้นนี้มาไว้ในมือ แล้วทําไมถึงเป็นเธอล่ะ?เพราะแค่เธอเป็นหลานที่ผู้เฒ่าเลี้ยงมาอย่างนั้นเหรอ?”
“ลุงก็คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเหมือนกันใช่ไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยหงถาม
“มันก็ไม่ยุติธรรมจริงๆ” ชายวัยกลางคนพูด “ถ้าแม้แต่ฉันยังคิดแบบนี้ แล้วเธอคิดว่าคนอื่นๆจะรู้สึกยังไง?”
หลังจากเขาพูดจบ เขาก็ถอนหายใจอย่างหนักอึ้งแล้วพูดต่อว่า “อย่าคิดหรือกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากจนเกินไปเลย มันไม่สําคัญว่าพวกเขาจะคิดยังไงสิ่งสําคัญคือความคิดของผู้เฒ่าถึง
เธอแล้ว เมื่อถึงตอนที่เธอต้องจัดการลุงคนใดคนหนึ่งเธอก็จะสามารถจัดการกับพายุลูกนี้ได้อยู่แล้วความจริงสุดท้ายความสามารถก็จะเป็นตัวพิสูจน์ทุกอย่างเอง”
“ใช่ ลุงพูดถูก” เจิ้งเหว่ยหงพูด
“ฉันมีอายุมาถึงครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็ยังไม่ประสบความสําเร็จมากเท่าที่ควร” ชายวัยกลางคนพูด “ดังนั้นฉันต้องสนับสนุนเธอทุกทางอยู่แล้วล่ะ”
“พวกเขาก็ถือว่าทําได้ดีนะครับ” เจิ้งเหว่ยหงพูด
“ดี? ดีอะไรกัน?” ชายวัยกลางคนถาม “คนหนึ่งอยากเป็นศิลปิน ส่วนอีกคนอย่างเป็นดาราภาพยนตร์แค่หน้าเห็นพวกเขาฉันก็อยากตบหน้าคนละสองฉาดด้วยซ้ํา!”
เมื่อพูดถึงลูกชายดื้อด้านทั้งสองคนของเขาแล้ว เขาก็โมโหขึ้นมา พวกเขาไม่เพียงทิ้งธุรกิจที่ดําเนินไปด้วยดีของตระกูลทั้งยังไม่คิดจะรับช่วงต่อแถมยังอยากไปทําเรื่องไร้สาระแทนจนถึงขนาดที่เรียกได้ว่าหมกมุ่นกับมันไม่ว่าเขาจะพยายามกล่อมแค่ไหนพวกเขาก็ไม่ฟังเรื่องนี้ทําให้ผมของเขาขาวโพลนเพราะความวิตกกังวล
“อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ทําในสิ่งที่พวกเขาต้องการนะครับ”เจิ้งเหวายหงพูด
“พวกเขาก็แค่เด็กที่ไม่ยอมโตต่างหากล่ะ”ชายวัยกลางคนพูด “ถ้าพวกเขามีความสามารถได้สักครึ่งของเธอกับเหว่ยจวินฉันก็คงวางใจ”
“ในหมู่บ้านกลางเขา ลมสารทฤดพัดผ่าน อากาศเริ่มเย็นลง
หวังเย้านั่งชิมชาอยู่ใต้ต้นจนเหอ ซูจือจิ้งอุตส่าห์เดินทางจากปักกิ่งเพื่อเอาชาต้าหงเผามาให้เขามันเป็นชาดีจริงๆ
ฉันน่าจะปลูกพวกมันไว้ตามรอยแยกของหินบนเนินเขาหนานชานได้ หวังเย้าคิด
ก๊อก! ก๊อก!
มีคนมาเคาะประตู หวังเย้าส่งเสียงออกไป “เชิญเข้ามาครับ”
“เสี่ยวเย้าอยู่ที่นี่นี่เอง” หวังเฟิงหมิงพูด
เมื่อเขาเห็นคนที่มา หวังเย้าก็ลุกขึ้นยืน “คุณลุง”
“ยุ่งอยู่รึเปล่า?” หวังเพิ่งหมิงถาม
“ไม่ครับ วันนี้มีคนไข้แค่นิดหน่อย มานั่งดื่มชาด้วยก่อนสิครับ” หวังเย้าเทชาให้เขา
“โอ้ ขอบคุณ” หวังเฟิงหมงพูด
“ลุงมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม” หวังเฟิงหมิงพูด “ลุงปลูกสมุนไพรบนเขาไม่กี่แปลง แต่ลุงไม่มั่นใจเท่าไหร่เลย”
“ผมขึ้นไปดูมาแล้วครับ มันเติบโตได้ดีเลย” หวังเย้าพูด “ผมอยากให้มันคล้ายกับสมุนไพรป่ามากที่สุดอย่าใส่ปุ๋ยนะครับ”
เขาได้ขึ้นไปบนเนินเขาตงชานเพื่อดูสมุนไพรที่สองสามีภรรยาปลูกเอาไว้บนที่ดินสองแปลงแล้วเขามองเห็นความพยายามในแต่ละวันของทั้งสองได้แต่แน่นอนว่าการเจริญเติบโตของ สมุนไพรนั้นเทียบไม่ได้กับที่ปลูกไว้ในเนินเขาหนานชาน
“โอ้ แบบนี้ก็ดีๆ” หวังเพิ่งหมิงพูด
“ลุงวางใจได้ครับ ผมต้องการสมุนไพรพวกนั้นแน่นอน” หวังเย้าพูด “แถมผมยังอยากเสนอให้ลงปลกมากกว่านี้ด้วยซ้ํา ลุงรู้รึเปล่าครับว่ามีบริษัทเภสัชกรรมตั้งขึ้นมาใหม่อยู่ในเมือง? พวกเขาผลิตยาจีนเป็นหลักสมุนไพรที่ต้องการต้องมาจากธรรมชาติและไม่มีสารเคมีปนเปื้อนและสมุนไพรทั้งหมดของลุงก็จะต้องขายดีในอนาคตแน่นอนครับ”
“จริงเหรอ?” หวังเพิ่งหมิงประหลาดใจเล็กน้อย
“ผมจะโกหกเรื่องนี้ไปทําไมล่ะครับ?” หวังเย้ายิ้มถาม “ขอบอกความจริงกับลุงนะครับเจ้าของบริษัทเภสัชกรรมนั้นเป็นของเพื่อนผมเองแล้วผมก็มีหุ้นอยู่ในนั้นด้วย”
“โอ้ เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังเฟิงหมิงพูด “ถ้าอย่างนั้นลุงจะกลับไปปลูกเพิ่มอีก”
“ดีเลยครับ” หวังเย้าพูด
“ลุงไปก่อนนะ” หวังเพิ่งหมิงพูด
“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ลงดื่มชาให้หมดแล้วค่อยไปก็ได้” หวังเย้าชี้ไปที่ถ้วยชา
หวังเฟิงหมิงยกชาขึ้นดื่มจนหมดถ้วย “โอ้ ชานหอมดีจริงๆ!”
แม้บางคนจะไม่รู้วิธีการดื่มด่าไปกับการดื่มชา แต่พวกเขาก็ยังสามารถแยกแยะได้ระหว่างชาดีและไม่ดี
“ถ้าว่างก็แวะมาได้นะครับ ผมมีชาดีดีอยู่เยอะเลย” หวังเย้าพูดกลัวหัวเราะ
“ได้สิ” หวังเฟิงหมิงจากไปด้วยรอยยิ้มบนหน้า
ช่วงสายของบ่ายวันนั้น หวังเย้าปิดประตูคลินิกและกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ระหว่างทางกลับบ้านมีชายชรานั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ริมแม่น้ํา ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายมาก
หวังเย้าทักทายเขา “คุณลุง”
“อ้าว เสี่ยวเย้ากําลังจะกลับบ้านเหรอ?” ชายชราถาม
“ใช่ครับ ลุงกินข้าวร์ยังครับ?” หวังเย้าถาม”
“ยังเลย ลุงกําลังรอเจ่อเชิงกลับมาอยู่น่ะ” ชายชราตอบ
“อ่อ ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ” หวังเฝ้าพูด
ชายชรายิ้ม แล้วโบกมือให้เขา
“เฮ้อ!” หวังเย้าถอนหายใจเบาๆ ชายชราคนนั้น น่าเสียดายจริงๆ!
ถึงแม้ชายชราจะอยู่ในอารมณ์ดีและทุกอย่างกําลังเป็นไปด้วยดี แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานโรคร้ายภายในร่างกายของเขาได้หวังเจ๋อเชิงรับยาจากหวังเข้าไปให้พ่อของเขาอยู่เสมอแต่มันก็แค่ช่วยยื้อเวลาและบรรเทาความเจ็บปวดเท่านั้นเขายังคงมุ่งหน้าสู่ความตายเร็วกว่าคนปกติอยู่เช่นเดิม
เมื่อเดินมาถึงถนนที่มุ่งหน้าสู่บ้านของเขา เขาก็เห็นหวังเจ๋อเชิงที่เพิ่งกลับมาจากการทํางาน ในโรงงานหวังเย้าไม่เจอหน้าเขามาสักพักแล้วและคิดว่าเขาดูผอมลง
หวังเจ๋อเชิงที่กําลังขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาเอ่ยทักทายเขา “หวังเย้า”
“เพิ่งทํางานเสร็จเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่งานเพิ่งเล็กน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“พี่รีบกลับบ้านเถอะครับ” หวังเย้าพูด “พ่อของพี่กําลังรอพี่กลับไปกินข้าวอยู่”
“ได้ ฉันจะกลับแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด
พระอาทิตย์กําลังลับขอบฟ้า เกิดเป็นแสงสีแดงกระจายทั่วท้องฟ้า หวังเฟิงฮวากําลังสูบหรี่อยู่ที่ลานบ้านหวังเย้าเข้าไปในครัวเพื่อช่วยจัดโต๊ะอาหารใกล้เสร็จแล้ว
“เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลงไปด้วย” จางซิวหยิงพูด “คนอื่นๆก็คงจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกันจนหมด”
หวังเย้าก็สังเกตได้ว่า ช่วงหลังที่เดินกลับบ้าน เขาเห็นคนในหมู่บ้านน้อยลงไปมาก
“พวกเขาอาจะไม่กลับมาแล้ว” เขาพูด
“พวกเขาจะกลับมาทําไมอีกล่ะ?” จางซิวหยิงพูด “บ้านก็เอาไปแลกกับบ้านในเมืองแล้วส่วนที่ดินบนเขาก็ไม่มีใครไปทําตอนนี้ก็รกร้างไปหมด”
นี่เป็นเรื่องปกติของพื้นดิน วัชพืชจะเติบโตเมื่อมีคนเพาะปลูกอยู่ตลอดแต่เมื่อไม่มีใครไปทําอะไรกับมัน มันก็จะแห้งแล้งในเวลาไม่ถึงปี
หวังเข้าไม่ได้พูดอะไร เขาทําเพียงรับฟังอยู่เงียบๆเท่านั้น เขาไม่สนใจอยู่แล้วว่าในหมู่บ้านจะเหลือชาวบ้านอยู่กี่คน
“วันนี้ แม่เจอหวังยี่หลงในหมู่บ้านด้วย” จางซิวหยิงพูด “เขาดูกระฉับกระเฉงมากเลย”
“อาการของเขาไม่เลวเลยครับ” หวังเย้าพูด
“เขาจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนเหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“บอกได้ยากครับ ขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้วก็คนในบ้านด้วย แต่ช่วงนี้หวังเจ๋อเชิงก็เปลี่ยนไปมาก”หวังเย้าพูด“เขากตัญญูต่อพ่อและใส่ใจครอบครัวมากขึ้นคุณลุงก็เลยดูอารมณ์ดี เมื่อมีช่วงเวลาที่ดีก็เป็นการช่วยต่ออายุของเขาได้เหมือนกันนะครับ”