“หรือเขาจะเป็นศิษย์วัดเส้าหลินและมีร่างกายที่คงกระพัน?” เจี่ยจือจายถูคางด้วยความสงสัย
“วิชาแบบนั้นมีอยู่จริงเหรอ?” จงหลิวชวนถาม
“มีส์ ในทีวีไงล่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด แม้จะรู้ว่ามันฟังดูไม่น่าเชื่อถือก็ตามที “เอ่อแต่ฉันบอกได้เลย ว่านายกล้ามาก นายพัฒนาขึ้นมาก”
“ถ้าฉันไม่ลอง แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันยากแค่ไหนที่จะต่อกรกับเขา?” จงหลิวชวนพูด
“แล้วตอนนี้นายรู้รึยังล่ะ?” เจี้ยจื้อจายถาม
“อ็ม” จงหลิวชวนพูด
“ทําไมนายไปกลับไปบอกเรื่องนี้กับหมอหวัง แล้วขอให้เขาช่วยดูล่ะ? คราวก่อนเขาก็มาที่นี่ไม่ใช่เหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม
จงหลิวชวนหันไปมองหน้าเจี้ยจื้อจายเงียบๆ
“โอ้ มีอะไรเหรอ?” เจี้ยจื้อจายจับหน้าตัวเอง “ฉันไม่ได้ล้างหน้า หรือว่าฉันหน้าตาดีขึ้นอีกแล้ว?”
“ฉันแค่คิดว่า เราควรจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง” จงหลิวชวนพูด “ฉันไม่อยากรบกวนเขา เขาเป็ นอาจารย์ของฉัน ฉันที่เป็นลูกศิษย์ควรช่วยคลายกังวลไม่ใช่นําปัญหาไปให้!”
“โว้ว โว้ว นี่มันความคิดแบบไหนกันเนี้ย?” เจี้ยจื้อจายถาม “เวลาแค่ไม่นานนายก็เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้แล้วอยู่ๆฉันก็รู้สึกว่าฉันต้องกลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งไปคุกเข่าที่หน้าประตูและ อ้อนวอนขอให้เขารับฉันเป็นศิษย์
จงหลิวชวนไม่พูดอะไร
“ไม่ว่าเสื้อจะดร้ายแค่ไหน มันก็ควรหวาดกลัวฝูงหมาป่า” เจียจื้อจายพูด“จะต้องหาหลักฐานที่เขามีให้ได้ก่อน”
บ่ายวันนั้น ท้องฟ้ามือครึม ในมุมหนึ่งของเมืองเต๋มีวิลล่าเก่าที่ถูกทิ้งร้างตั้งอยู่ผู้คนแทบไม่เข้ามาในบริเวณนี้เพราะมีจุดอื่นที่เป็นที่นิยมมากกว่า
มีอยู่สองคนภายในวิลล่าหลังนั้น
“นายแน่ใจเหรอ?” ชายคนหนึ่งถาม
“ฉันคิดว่า ครั้งนี้ฉันคงหนีไม่พ้นแล้ว!” จางเหว่ยถอดหมวกแล้วลูบผม
“หลบไม่ได้เหรอ?” ชายคนนั้นประหลาดใจ
“สัญชาตญาณของฉันแม่นยํามากมาตลอด” จางเหว่ยพูด
“ครั้งก่อนยุ่งยากกว่าครั้งนี้ด้วยซ้ํา ไม่ใช่ว่านายก็รอดมาได้โดยไร้รอยขีดข่วนเหรอ?” เขาถาม
“มันไม่เหมือนกัน” จางเหว่ยพูด
“แล้วของที่ให้นายไปล่ะ?” เขาถาม
“ถูกทําลายไปหมดแล้ว” จางเหว่ยตอบ
“ทําลาย? นายแน่ใจนะ?” เขาถาม “นายจะไม่ปล่อยพวกเขาง่ายไปหน่อยเหรอ?”
“จําเอาไว้ ไม่เคยมีคําว่าปล่อยไปง่ายๆ” จางเหว่ยพูด “บางอย่างอนุญาตให้นายเก็บเกี่ยวกําไรจากการเสียสละของคนอื่น มันทําได้ก็จริงแต่บางอย่างแม้คนอื่นต้องเสียสละก็อาจไม่ได้กําไรเลยดังนั้น มันไร้ประโยชน์ที่จะทําแบบนั้นมันก็แค่ทําให้คนที่เกี่ยวข้องบางคนยินดีก็เท่านั้น”
ชายอีกคนกําลังคิดจะปฏิเสธคําพูดของเขา “นั่น…”
“ที่มากไปกว่านั้น มีคนเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ฉันมีมากเกินไป และส่วนใหญ่ก็ไม่มีหลักฐานจริงๆอยู่”จางเหว่ยพูด“ถึงมันจะถูกเปิดเผยออกไปมันก็แค่ทําให้เกิดความวุ่นวายชั่วคราวเท่านั้นมันดีที่สุดแล้วที่ทําลายมันไปซะ”
“ฉันเข้าใจแล้ว” ชายอีกคนพูด
“ส่วนจองทางญี่ปุ่นต้องไม่ถูกทําลายไปด้วย” จางเหว่ยพูด “เก็บมันไว้ให้ฉัน ฉันยังจําเป็นต้องใช้มัน”
“เข้าใจแล้ว” ชายอีกคนพูด
“เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่ฉันไร้อิสระ” จางเหว่ยถอนหายใจ “สําหรับอีก 15 ปีข้างหน้ามันก็คงจะเหมือนกันฉันอยู่กับความกลัวที่ไม่ต่างจากการเดินบนก้อนน้ำแข็งบางๆ”
“นายสร้างอีกตัวตนก็ได้นี่” ชายอีกคนแนะนํา
“ฉันเปลี่ยนไม่ได้” จางเหว่ยพูด “ฉันกลับไปไม่ได้”
ขณะเดียวกัน จงหลิวชวนได้รับสายจากหวังเย้า เขารีบไปที่คลับเพื่อพบกับเขาและซุนหยุนเชิง
“อาจารย์ ทําไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?” เขาถาม
“ผมเห็นข่าวจากในอินเตอร์เนต แล้วรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ผมก็เลยมาดูสักหน่อย” หวังเข้าตอบ “คุณได้เจอผู้ชายคนนั้นรึยัง?”
“ครับ ผมได้ดวลกับเขาด้วย” จงหลิวชวนพูด
“เป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” จงหลิวชวนอธิบายรายละเอียดของการต่อสู้
“น่าสนใจ” หวังเย้าพูด “คุณหาได้ไหมว่าผู้ชายคนนี้อยู่ที่ไหน?”
“ผมจะพยายามครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
ด้วยจํานวนประชากรนับล้าน มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาคนคนหนึ่งในเมืองเชําแห่งนี้แต่ถ้าจ่ายเงินเพื่อค้นหาคนคนหนึ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันทีเมื่อเป็นเงินก้อนใหญ่นับล้านทุกอย่างก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปอีก
คืนนั้น ซุนหยุนเชิงนําข่าวมามอบให้ “เราพบเขาแล้วครับ”
ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับหวังเย้า ทางตระกูลซุนคงไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องน่ากลัวเมื่อมีการใช้งานกองกําลังใต้ดินที่ตระกูลควบคุมอยู่ให้ร่วมมือกับกองกําลังบนพื้นดิน
“เขาอยู่ที่ไหน?” หวังเย้าถาม
“ที่วิลล่าเก่าตรงนี้ครับ” ซุนหยุนเชิงตอบ
“ผมจะลองไปดูสักหน่อย” หวังเย้าพูด
“ตอนนี้เหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงประหลาดใจ
“ใช่ ตอนนี้” หวังเย้าพูด
ตอนกลางคืน เมืองเต่ยังคงคึกครื้น แต่นอกเมืองกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงมีที่ตั้งวิลล่าที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ตรงทางแยกที่นอกเมือง เมื่อเจ้าของขาดสภาพคล่องทางการเงินทําให้การพัฒนาต้องหยุดชะงักลงไม่มีใครคิดเข้ามารับช่วงพัฒนาโครงการต่อมันจึงถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองเตที่อสังหาริมทรัพย์ก่าลังเป็นที่นิยมสภาพของพื้นที่บริเวณนี้จึงกลายเป็นภาพที่หาได้ยากมาก
พื้นที่รอบวิลล่ามืดมิดและเต็มไปด้วยวัชพืช มันดูไม่ต่างจากซีนในภาพยนต์สยองขวัญ
“ที่นี่สินะ” หวังเย้าพูด
“ที่นี่น่ะเหรอ?” จงหลิวชวนถาม
หวังเย้าที่นั่งอยู่บนรถเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “น่าสนใจจริงๆ ทุกคนรออยู่ที่นี่ผมจะไปดูเอง”
“ให้ผมไปด้วยไหมครับ?” จงหลิวชวนถาม
“ผมก็จะไปด้วย” เจี้ยจื้อจายพูด
“ถ้าไปกันหลายคน อาจทําให้พวกเขารู้ตัวก็ได้นะครับ” หวังเย้าพูด
“ถ้าไม่ให้พวกเราตามไปที่นั่นด้วย ผมกลัวว่าอาจารย์จะจําผิดคนได้นะครับ”จงหลิวชวนพูด
“ก็ได้ งั้นไปด้วยกัน” หวังเย้าพูด
ทั้งสามลงจากรถ ทิ้งให้หูเหมยเฝ้ารถคนเดียว พวกเขามุ่งหน้าไปที่วิลล่าร้างมันเงียบมากเสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงลมที่พัดใบหญ้าเท่านั้น
“มันมืดมาก” จงหลิวชวนพูด “มีคนอยู่ที่นั่นจริงเหรอ?”
วิลล่าที่ถูกทิ้งร้างตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเขา
หวังเย้าหยุดเดิน
“มีอะไรครับ?” จงหลิวชวนถาม
“มีคนอยู่ในนั้น” หวังเย้าพูด
เมื่อพูดจบ ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้น จงหลิวชวนและเจียจื้อจายจึงเร่งฝีเท้าตามไป
ภายในวิลล่าร้าง ชายคนหนึ่งยืนยิ่งอยู่ตรงหน้าต่างไร้บาน “มีคนกําลังมา?”
หวังเย้าเดินมาถึงวิลล่าและมองเห็นประธานจางที่หน้าตาดูธรรมดามาก
จางเหว่ยนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ และมองไปที่คนทั้งสามที่เข้ามา ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาว่า “หลิวชวนเลี้ยจื้อจายนายก็มาที่นี่ด้วยแล้วนี่คือ?” เขามองไปที่หวังเย้า
“สวัสดีครับ ผมชื่อ หวังเย้า” หวังเย้ายิ้ม “สวัสดี จางเหว่ย”
“มันดึกมากแล้ว” จางเหว่ยพูด “พวกนายคงไม่ได้มารําลึกความหลังกับฉันหรอกใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ พวกเราเป็นห่วงคุณนิดหน่อย ก็เลยมาที่นี่ยังไงล่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด
“นายไม่ต้องมาเสแสรั้งในเวลาแบบนี้หรอก ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ นายก็คงไม่สบายใจสินะ?”จางเหว่ยหัวเราะกับตัวเอง
“คุณป่วยหนัก” หวังเย้าพูด
“หืม?” จางเหว่ยตกตะลึง
“คุณได้รับพิษ ที่ทําให้ถึงตาย” หวังเย้าพูด
“นายรู้ได้ยังไง?” จางเหว่ยถาม เขาป่วยหนักจริงๆและได้รับผิดรุนแรงด้วย
“คุณทํางานกับคนญี่ปุ่น ก็เพราะคุณต้องการใช้วิทยาการและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของพวกเขาเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด จริงไหม? สิ่งที่เรียกว่าการค้าอวัยวะมนุษย์ก็เพื่อการนี้สินะ”หวังเย้าสรุปกับตัวเอง
“วิเศษ” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จางเหว่ยก็พูดขึ้นมา
เจี้ยจื้อจายและจงหลิวชวนนิ่งอึ้งในความคิดของพวกเขา ประธานที่ในอดีตนั้นไร้เทียมทานและอยู่เหนือทุกคนกลับกลายเป็นคนป่วยหนักใกล้ตายถ้าหากเขาป่วยหนักแล้วยังแข็งแกร่งได้ขนาดนี้แล้วถ้าเขาแข็งแรงความแข็งแกร่งของเขาจะมีมากขนาดไหนกัน?
“พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” จางเหว่ยพูด “ในเมื่อมาอยู่ที่นี่กันแล้ว ก็ลงมือซะ!”
“สภาพร่างกายตอนนี้ของคุณไม่เหมาะที่จะใช้พลังฉี ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเร่งพิษในตัวคุณ”หวังเย้าพูด
“นายมองเห็นถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?” จางเหว่ยถาม “พลังฉี…เขารู้เรื่องพลังฉี!”
“ข้อมูลแบลกเมลของพวกเขาล่ะ?” หวังเย้าชี้ไปที่สองคนด้านหลัง
“มันจะถูกเปิดเผยออกมาหลังจากที่ฉันตาย” จางเหว่ยพูด
บรรยากาศน่ากลัวขึ้นเล็กน้อย
หวังเย้าจ้องมองเขาสักพัก ก่อนจะหันหลังกลับ “ไปกันเถอะ”
“ทําไมล่ะ?” เจี้ยจื้อจายถาม
“เขากําลังจะตาย” หวังเย้าพูด “มีอะไรให้ต้องต่อรองอีก”
“ถ้านายอยากจะไป นายต้องถามฉันก่อน” จางเหว่ยพูด
หวังเย้าหันตัว เขาโผล่พรวดไปตรงหน้าจางเหว่ยและคว้าตัวเขาเอาไว้
จางเหว่ยเข่าทรุดจนเกิดเสียงดังตบ เขาดูราวกับแบกถุงหนักหลายกิโลเอาไว้ เขาไม่สามารถขยับตัวได้ เขากระตุ้นพลังฉีในร่างกาย แต่ทําได้เพียงขยับตัวเล็กน้อยเท่านั้นแววตาของเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้สงบเหมือนเคย
“แกเป็นใคร?” เขาถาม
“ผมก็คือผม” หวังเย้าพูด “เลิกใช้พลังฉีได้แล้ว”
เขายื่นมือออกไปกดตามจุดต่างๆบนร่างกายของจางเหว่ยจากนั้น หวังเย้าก็ยื่นมือไปคว้าแขนของอีกฝ่ายและเล็กแขนเสื้อของเขาขึ้นผิวหนังของเขาเป็นประกายราวกับโลหะมันแข็งแต่ก็ยังไม่มากพอ