“ผิวหนังของคุณถูกเคลือบไว้ด้วยยา” หวังเย้าพูด
จางเหว่ยไม่ได้พูดอะไร แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงเขาคิดคนคนนี้มาจากที่ไห นกัน?
หวังเย้าสามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดายจนถึงจุดที่เขาสูญเสียความสามารถในการต่อต้านครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกไร้กําลังก็คือเมื่อ 15 ปีที่แล้วเขาไม่คิดเลยว่าเขาต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้อีกครั้ง
เหมือนกับแม่น้ําแยงซีที่ที่คลื่นลูกใหม่ตามหลังคลื่นลูกเก่า คนรุ่นใหม่ไล่ทันคนรุ่นเก่า
“เมื่อแช่ตัวในยาสมุนไพรฤทธิ์ของยาสมุนไพรจะซึมเข้าไปในผิวและกล้ามเนื้อทําให้คนคนนั้นไร้เทียมทานและแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา”หวังเย้าพูดนิ่งๆ“ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการรวมฤทธิ์ยาเข้ากับอวัยวะภายในน่าเสียดายที่คุณทําไม่สําเร็จถ้าไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ต้องทรมานเพราะพิษแบบนี้”
ร่างกายของจางเหว่ยสั่นไหวเล็กน้อยค่าพูดของชายคนนี้ตรงทุกจุด
“ไปกันเถอะ” หวังเย้าปล่อยมือเขาและหมุนตัวเดินจากไป
“หา?” เจี้ยจื้อจายยังคงลังเล
เขายืนจ้องจางเหว่ยที่มีท่าทีเหม่อลอยนี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตหลังจากทิ้งโอกาสนี้ไปพวกเขาคงหาโอกาสไม่ได้อีกแล้วมีดของเขาส่องประกาย
“นายคิดจะทําอะไร?” จงหลิวชวนจับมือของเขาเอาไว้
“มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากนะ” เจี้ยจื้อจายพูด
“นายไม่ได้ยินที่อาจารย์บอกเหรอ?” จงหลิวชวนถาม
“เขาใจอ่อนเกินไป! นี่มันไม่ต่างจากปล่อยเสือเข้าป่า!” เจี้ยจื้อจายพูด
คําพูดส่งออกมาจากส่วนลึกในจิตใจเขา เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหวังเย้าจางเหว่ยอาจเป็นคนที่กําลังจะตาย เขาไม่ได้เป็นอันตรายสําหรับหวังเย้าหวังเย้าสามารถควบคุมเขาได้ด้วยมือเดียวแต่สําหรับเขากับจงหลิวชวนนั้นกลายเป็นคนละเรื่องกันจางเหว่ยไม่เพียงมีข้อมูลแบลกเมลพวกเขาอยู่ในมือแต่เขายังมีทักษะการต่อสู้ที่เหนือชั้นเขาไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถต่อกรด้วยได้ง่ายๆ
“ไปได้แล้ว” หวังเย้าพูดอีกครั้ง
หลังจากได้ยินคําพูดนั้นเจี้ยจื้อจายก็ถอนหายใจและเดินตามไปด้วยท่าที่ลังเลหลังจากเดินออกมาจากวิลล่าแล้วเขาก็อดปนออกมาไม่ได้ “เชียนเชิงอาจต้องเสียใจกับความผิดพลาดที่ทําในวันนี้”
“เขาคงอยู่ได้อีกไม่นาน” หวังเย้าพูด
“ที่เขามีจะทําให้พวกเราตายได้เลยนะ” เจี้ยจื้อจายพูด
“ถึงคุณจะฆ่าเขา คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าข้อมูลนั้นจะไม่ถูกเปิดเผยออกมา?”หวังเย้าหยุดเดินและถาม “คุณแค่ต้องการจับเขาและทรมานเขาจนพอใจแค่นั้นเหรอ?”
“ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดว่าการปล่อยเขาเป็นเรื่องที่เหมาะสมเหมือนกัน”เจียจื้อจายพูด“นี่เป็นกา รปล่อยเสือกลับภูเขา ปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไปก็มีแต่จะนําปัญหามาให้
หวังเย้ายิ้มและพูดว่า“เมื่อกี้เขาโกหก”
“เขาโกหกเรื่องอะไร?” เจี้ยจื้อจายถาม
“ก็เรื่องที่เขาบอกว่าถ้าเขาตายข้อมูลทั้งหมดจะถูกเปิดเผยออกไปน่ะสิ”หวังเย้าพูด“เขาไม่ได้คิดจะทําหรอก”
“เชียนเชิงแน่ใจเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม
“ผมมั่นใจมากกว่า 60%” หวังเย้าพูด
“ยังไงเขาก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาอยู่ดีระเบิดที่ยังไม่ได้ปลดสลักออก”เจี้ยจื้อจายพูด
เขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่กับความหวาดกลัว และต้องกังวลว่าระเบิดลูกนี้จะระเบิดขึ้นและส่งผลกับชีวิตของเขาเมื่อไหร่
หลังจากพวกเขาขึ้นนั่งบนรถแล้ว หูเหมยก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
“เขาอยู่ที่นั่นจริงๆ” เจี้ยจื้อจายพูดแล้วจุดบุหรี่สูบ
“เรียบร้อยแล้วเหรอ?” หูเหมยถาม
“อ้อ ไม่หรอก หมอหวังปล่อยเขาไปน่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด
“ปล่อยเขาไป?” หูเหมยตกตะลึงและถาม “หมอปล่อยเขาไปได้ยังไงกัน?”
“เขามีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว” จงหลิวชวนตอบ
“เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเหรอ? เขาป่วยเหรอ?” หูเหมยถาม
“เขาถูกพิษ” จงหลิวชวนพูด
“แบบนั้นก็เข้าใจได้” หูเหมยพูด “เขามาที่บริษัททีไร เขาก็จะอยู่แต่ในห้องทํางานของตัวเองครั้งหนึ่งมีคนได้กลิ่นเลือดจากห้องของเขาด้วยกลายเป็นว่าเขาถูกพิษนี่เอง!ฉันเคยคิดว่าเขาเพิ่งไปฆ่าใครมาซะอีก”
“เฮ้อ!” เจี้ยจื้อจายถอนหายใจ เขาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นท่าทางของเขา หูเหมยก็ไม่ได้ถามมากไปกว่านี้อีก เธอขับรถออกไปและส่งหวังเย้ากับจงหลิวชวนที่โรงแรมที่พวกเขาพักอยู่
เมื่อพวกเขาลงจากรถและเข้าโรงแรมไปแล้ว หูเหมยก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า“เป็นอะไรไป?”
เจี้ยจื้อจายชกลิ้นชักหน้าที่นั่งคนขับและกระชากมันออกมา “จ เฮ้อกลับบ้านแล้งค่อยคุยกัน!”
หูเหมยมองเขา ก่อนจะขับออกไป ไม่นานพวกเขาก็กลับมาถึงบ้านของพวกเขา
หลังเข้ามาในบ้านแล้ว เจี้ยจื้อจายก็จุดบุหรี่ เขาหยิบเหล้าออกมาหนึ่งขวดมาเปิดแล้วดื่มจากปากขวด
“เป็นอะไรไป?” หูเหมยถาม
“เขาปล่อยจางเหว่ยไปน่ะสิ! เขากําลังปล่อยเสื้อกลับภูเขา!” เจี้ยจื้อจายโมโหมาก
“เขาพูดเรื่องนี้ในรถแล้วนี่” หูเหมยพูด “ทําไมล่ะ?”
“มันเป็นเพราะเขาเห็นว่า จางเหว่ยได้รับพิษและอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” เจี้ยจื้อจายพูด“นั่นก็แค่ความเมตตาเล็กๆน้อยๆเท่านั้น!”
เขากระแทกขวดเหล้ากับโต๊ะดังปัง
“เขาควบคุมจางเหว่ยได้รึเปล่า?” หูเหมยถาม
“ง่ายมากเลยล่ะ แทบไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ํา” เจี้ยจื้อจายพุด “แค่เขาลงมือจางเหว่ยก็ต่อต้านไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!”
“แล้วหมอหวังทําร้ายเขารึเปล่า?” หูเหมยถาม
“ถ้าเขาจัดการจางเหว่ยจนบาดเจ็บสาหัสล่ะก็ ถึงหมอหวังจะไม่ลงมือ พวกเราก็สามารถกลับไปฆ่าเขาได้เอง”หูเหมยพูด “เราสามารถจัดการจบทุกอย่างเองได้!”
“ไม่หรอก เขาใช้วิธีการเดียวกับที่ใช้จัดการฉัน” เจี่ยจือจายพูด “เพียงแค่โบกมือมันก็เหมือนมีภูเขาทั้งลูกทับตัวฉันอยู่ ฉันต่อต้านไม่ได้แต่มันก็ไม่ทําร้ายร่างกายฉัน”
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่” หูเหมยพูด
“แน่อยู่แล้ว ความคิดของเขาไม่เหมือนกับพวกเรา” เจียจื้อจายพูด “ถึงยังไงก็ไม่มีใครที่มีข้อมูลเอาไว้แบลูกเมลเขาอยู่ในมือ”
หูเหมยเงียบไปก่อนจะพูดว่า “เขาไม่มี แต่จงหลิงชวนมี ไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของหมอหวังเหรอ?”
“มีแค่ปีศาจเท่านั้นที่จะรู้ความคิดของเขาได้ใ” เจี้ยจื้อจายหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มไปสองอีก
ในโรงแรม หวังเย้าแล้วจงหลิวชวนก่าลังคุยกันอยู่
“คุณเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้รึเปล่า?”
“ไม่มีอะไรที่ผมไม่เข้าใจครับ” จงหลิวชวนพูด “ความจริง ผมก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดชังเขาผมแค่กังวลถึงเรื่องที่มันอาจกระทบกับการใช้ชีวิตในอนาคตของผมก็เท่านั้น
“เมื่อคนกําลังจะตาย แม้แต่คําพูดของเขาก็กลายเป็นเรื่องดีได้” หวังเย้าพูด
บางคนก็คิดจะทําเรื่องดีหลังจากทําเรื่องเลวร้ายมาตลอดทั้งชีวิตโชคร้ายที่พวกเขามักจะพบว่ามันสายเกินไป
“คุณคิดว่า เขาจะรู้รึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ความจริง คุณก็ทําถูก” จงหลิวชวนพูด “ถึงเราจะฆ่าเขา เราก็หยุดเขาไม่ได้ถ้าเขาคิดจะเปิดเผยข้อมูลพวกนั้นออกไป”
“คุณยังลังเลอยู่ใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ผมลังเลอยู่บ้างจริงๆ” จงหลิวชวนพูด
หวังเฝ้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง มันจะไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นผมจะช่วยคุณเอง”
“บอกตามตรง ผมไม่ได้คิดจะรบกวนคุณในเรื่องนี้เลย” จงหลิวชวนพูด
ไม่ว่าหวังเย้าจะจัดการยังไง จงหลิวชวนก็ไม่คิดจะโทษเขา หวังเย้าจะไม่สนใจเลยก็ยังได้
“ไม่ต้องพูดเกรงใจกันแบบนี้หรอก” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมจะกลับพรุ่งนี้แล้วครับ” จงหลิวชวนพูด
“งั้นผมก็จะกลับด้วย” หวังเย้าพูด
คืนนั้นเงียบสงัด ภายในวิลล่าร้าง จางเหว่ยที่มองดูท้องฟ้าเงียบๆกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เขายังเด็กมาก!เขามีการบ่มเพาะสูงขนาดนั้นได้ยังไง?เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เช้าวันต่อมา หวังเป้าไปที่บ้านตระกูลซุน เขาทักทายซุนเจิ้งหรงและเชิญสองพ่อลูกทานอาหารกลางวันด้วยกัน เรื่องครั้งนี้ได้ตระกูลซุนช่วยเอาไว้มาก
“ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือนะครับ” หวังเข้าพูด
“ยินดีครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ความจริง ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องด้วย”
“เรื่องอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ผมอยากเรียนกังฟูกับเชียนเชิงครับ” ซุนหยุนเชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้สิ ตราบใดที่คุณพยายามอย่างหนัก” หวังเข้าตอบ
“จริงเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงประหลาดใจกับค่าตอบที่เขาได้รับ
เขาแค่ลองถามโดยไม่คาดหวังก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าหวังเย้าจะตกลง
“ผมจะไม่เป็นอาจารย์ของคุณ แต่ผมจะสอนกังฟูให้” หวังเย้าพูด
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงครับ?” ซุนหยุนเชิงพูด “แค่ผมได้ติดตามและเรียนจากเชียนเชิงก็นับได้ว่าเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว!”
“ใช่ เขาต้องคํานับเขียนเชิงเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการด้วย” ซุนเจิ้งหรงพูดอยู่ข้างๆเขายังหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะพัฒนาขึ้นด้วย
“ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่” หวังเย้าพูด “แล้วคุณก็ยังงานอีกมาก ผมกลัวว่าคุณจะไม่มีเวลาฝึกฝนมากเท่าไหร่นัก”
“ผมจะพยายามหาเวลาให้ได้” ซุนหยุนเชิงพูด
“เอาเถอะ แค่คุณมาที่หมู่บ้าน คุณก็มาเรียนได้ตลอดเวลา” หวังเย้าพูด “ถ้าผมไม่อยู่คุณก็ถามจากหลิวชวนได้”
“ครับ ผมคงต้องเปลี่ยนวิธีการเรียกเขาด้วย” ซุนหยุนเชิงหันไปพูดกับจงหลิวชวน “สวัสดีศิษย์พี่”
“สวัสดี ศิษย์น้อง” จงหลิวชวนเปลี่ยนการเรียกได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ซุนเจิ้งหรงลุกขึ้นและพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่น่ายินดี เรามาชนแก้วกัน”
“ผมไม่กล้า นั่งเถอะครับ” หวังเย้าพูด
“ครั้งนี้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองเต่ไม่ใช่น้อยๆเลย”ซุนเจิ้งหรงพูด“ไม่ใช่แค่ทางจังหวัดเท่านั้นแต่เบื้องบนก็ยังถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองสําคัญเมืองหนึ่ง”