อาจารย์และศิษย์ฝึกการหมัดมวยอยู่บนเขาการเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกันพวกเขาขยับตัวไม่เร็วมากและสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนมันไม่ได้ดูแปลกใหม่เลยแม้ แต่น้อย
การเคลื่อนไหวของหวังเย้าเป็นธรรมชาติมากกว่าจงหลิวชวนดูติดขัดเล็กน้อย คล้ายกับรถที่กระตุกเวลาเหยียบคลัชเพื่อเปลี่ยนเกียร์ มันไม่ได้ดูราบรื่นแต่ไม่นานมันก็ผ่านไป
หลังจากฝึกหมัดมวยจบไปสองรอบ หวังเย้าก็หยุดและยืนมองการฝึกของจงหลิวชวนหลังจากฝึกเสร็จไปอีกรอบหวังเย้าก็ชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดจงหลิวชวนฝึกต่อไปอีก10 รอบ
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณครับเชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด
พวกเขาลงจากเขาพร้อมกันที่ตีนเขามีต้นไม้ที่เพิ่งถูกขนส่งมาด้วยรถบรรทุกหลายคันและนําไปปลูกได้ไม่นานพวกมันกําาลังงอกใบใหม่ขึ้นมาซึ่งผิดหลักธรรมชาติอย่างมาก
“เชียนเชิง เขาลูกนี้วิเศษมาก” จงหลิวชวนพูดกลั้วหัวเราะ“มันเป็นฤดูใบไม้ร่วงแต่ต้นไม้กลับงอกใบใหม่และแมลงกําลังร้องเพลง
“อืมมม มันอาจจะเป็นเพราะพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นก็ได้” หวังเย้าพูด
ความจริง บนเนินเขาหนานชานนั้นเขียวขจีตลอดทั้งปี เรื่องแบบนั้นสามารถเห็นได้บ้างในทางใต้ของประเทศแต่ทางเหนืออย่างเขตเหลียนชานนั้นเป็นเรื่องที่ผิดแปลก
ที่ตีนเขา ทั้งสองแยกกันไปคนละทาง จงหลิวชวนกลับไปที่บ้าน และหวังเย้าเดินไปเปิดคลนิก
ตอนเที่ยง ซุนหยุนเชิงเดินทางจากเมืองเต่มาที่หมู่บ้านกลางเขา เขามาที่นี่เพื่อเรียนการต่อสู้กับหวังเย้า
“อาจารย์” ซุนหยุนเชิงพูด
“อย่างเรียกผมแบบนั้น ได้ยินแล้วผมรู้สึกไม่ค่อยดี” หวังเย้าพูดกลัวหัวเราะ
“ให้ผมเรียกว่าเชียนเชิงเหมือนอย่างศิษย์พี่ดีไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
ในตอนที่เขาพูดอยู่นั้น ก็มีคนไข้คนหนึ่งเดินเข้ามา
“รอสักเดียวนะ” หวังเย้าพูด
“ครับ เชียนเชิง ไม่มีปัญหา” หลังจากพูดเสร็จ ซุนหยุนเชิงก็นั่งมองหวังเข้ารักษาคนไข้อยู่เงียบๆ
อาการป่วยของคนไข้ค่อนข้างรักษาได้ง่าย เขามีอาการเคล็ดขัดยอกที่เอวในระหว่างทํางานหลังจากที่หวังเย้านวดให้ อาการปวดก็ลดลงไปมาก
“กลับไปพักให้มากนะครับ และพยายามอย่าไปทํางานในแปลงสักสองสามวัน”หวังเย้าพูด
“มันยังเหลือถั่วอีกตั้งหลายแปลงน่ะสิ” เขาพูด
ทุกคนที่ทําการเพาะปลูกดูดีว่า การเก็บเกี่ยวถั่วเป็นงานหนัก พวกเขาต้องก้มๆเงยๆคนธรรมดามักทนไม่ไหว
“ขอให้คนอื่นมาช่วยด้วยสิ” หวังเย้าพูด “ร่างกายเราสําคัญกว่านะครับ”
“ได้ๆ ฉันเข้าใจแล้ว” ชายวัยหลางคนพูด
ถึงเขาจะพูดไปแบบนั้น แต่เมื่อกลับไป เขาก็ยังต้องลงแปลงเก็บถั่วอยู่ดี ในฤดูกาลนี้เขาสามารถหาเงินได้จากแปลงถั่วเหล่านี้เท่านั้น
เมื่อคนไข้จากไปแล้ว หวังเย้าก็โทรหาเรียกจงหลิวชวน“ผมอยากให้คุณสอนซุนหยุนเชิงสอนการวิธีการหายใจก่อน”
“ได้ครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนตอบรับ ไม่นานเขาก็มาถึงคลินิก “เอาล่ะถามฉันมา”
จงหลิวชวนพาซุนหยุนเชิงไปที่บ้านของเขา เขาสอนวิธีการหายใจที่หวังเย้าเคยสอนเขามาก่อน
ถึงซุนหยุนเชิงจะรู้เรื่องการต่อสู้มาบ้าง แต่เขาก็มักยุ่งอยู่กับโลกธุรกิจมากกว่าเขามีการจัดระเบียบที่ดีกว่าจงหลิวชวนแต่ไม่ได้เก่งกาจเท่าเขาจิตใจของเขายากที่จะทําให้สงบวิธีการหายใจจะต้องทําจิตใจให้สงบถึงจะเชี่ยวชาญได้
“สงบใจ แล้วหายใจ” จงหลิวชวนแนะนํา
จากการฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง การบ่มเพาะพลังฉีของจงหลิวชวนจึงก้าวหน้าไปมากเขาฝึกฝนทุกวันและท่องคัมภีร์เต่เป็นประจํา ทําให้การฝึกฝนของเขาก้าวหน้าในทุกๆวัน
“ศิษย์พี่ ผมขอตั้งสติก่อนนะครับ” ซุนหยุนเชิงที่ยังไม่สามารถเก้าวข้ามประตูนั้นได้จึงหยุดการฝึก“ได้”
ซุนหยุนเชิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเดินไปที่อีกด้านของห้องและหลับตา
แกร็ก…
ประตูเปิดออก หวังเย้าเดินเข้ามาจากด้านนอก เขาถาม “เป็นยังไงบ้าง?”
“ผมหาทางไม่เจอเลยครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ไม่ต้องรีบ” หวังเย้าพูด “ค่อยๆทําไป”
เขาแนะนําซุนหยุนเชิง หวังเฝ้ามองดูสีหน้าที่เป็นกังวลของเขาและตบไปที่ไหล่
“คุณต้องตั้งจิตให้สงบ” หวังเย้าพูด “มันคือการฝึกฝน ไม่ใช่การแข่งขันคุณจะรีบไม่ได้”
“ครับ” ซุนหยุนเชิงพยักหน้ารับ
หลังจากฝึกตลอดทั้งบ่าย เขาก็ยังไม่สามารถทําความเข้าใจได้
“คืนนี้จะค้างที่นี่รีเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ครับ ผมตั้งใจจะพักที่นี่” ซุนหยุนเชิงพูด
“งั้นคืนนี้ไปกินข้าวด้วยกัน” หวังเย้าพูด “ชวนอาหาวไปด้วยนะ”
“ครับ เขียนเชิง” ซุนหยุนเชิงพูด
หลังออกมาจากบ้านของจงหลิวชวนแล้ว ซุนหยุนเชิงก็กลับไปที่บ้านของเขาอาหาวและคนที่ตามมาด้วยอีกสองคนได้จัดเตรียมห้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“เรียนเป็นยังไงบ้างครับ คุณชาย?” อาหาวถาม
“ไม่ดีเลย” ซุนหยุนเชิงส่ายหน้า “เชียนเชิงสอนวิธีการหายใจให้ฉัน แต่ไม่ว่าจะทํายังไงฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี นายคิดว่าฉันพลาดที่ตรงไหน?”
“วิธีการหายใจเหรอครับ?” อาหาวถาม
“ใช่ ขอโทษที่ฉันสอนให้นายไม่ได้” ซุนหยุนเชิงพูด
“ผมรู้ครับ คุณชายไม่ต้องเกรงใจ” อาหาวพูด
“วิธีการหายใจก็เหมือนกับกําลังภายในและวิธีการกําหนดจิตใจอย่างในนิยายกําลังภายในซุนหยุนเชิงพูด“มันเป็นความลับของสํานักและไม่ง่ายที่จะสอนคนนอก”
“แล้วเชียนเชิงว่ายังไงบ้างครับ?” อาหาวถาม
“เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าการฝึกจะรีบทําให้สําเร็จไม่ได้ ส่วนศิษย์พี่บอกว่าจิตใจของฉันยังไม่สงบมากพอ”ซุนหยุนเชิงพูด
“นั่นน่าจะเป็นสาเหตุจริงๆ” อาหาวพูด “ช่วงหลังมานี้ คุณชายมีเรื่องให้ทําตั้งมากมายและเดินทางตลอดสองวันที่ผ่านมามันไม่แปลกที่จะเหนื่อยล้าลองพักผ่อนสักหน่อยบางทีพรุ่งนี้อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นก็ได้ครับ”
“อืม ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น” ซุนหยุนเชิงพูด “เชียนเชิงเชิญพวกเราไปกินข้าวด้วยกัน จะไปกับเราไหม?”
“ครับ” อาหาวพูด
พวกเขาไปเจอกันที่ร้านอาหารเล็กๆไม่ไกลจากหมู่บ้าน
“โอ้ อาหารพวกนี้รสชาติดีกว่าในร้านอาหารดังๆด้วยซ้ํา” ซุนหยุนเชิงพูด
“คุณเคยกินแต่อาหารจานเนื้อและทะเลมาเยอะ”หวังเย้าพูด“เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกแปลกใหม่ตอนที่ได้กินอาหารพวกนี้คุณจะอยู่ที่นี่กี่วันเหรอ?”
“หนึ่งอาทิตย์ครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“อืม อาทิตย์นี้ก็อยู่กับศิษย์พี่ของคุณไป” หวังเย้าพูด “หลิวชวน ใส่ใจเขาให้มากหน่อยนะ”
“ครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด
“การสอนคนอื่นก็เป็นการฝึกอย่างหนึ่งเหมือนกัน” หวังเย้าพูด “เวลาที่ผมอธิบายให้คุณฟังผมก็ได้ทําความเข้าใจมากขึ้นด้วยมันเป็นการทบทวนสิ่งที่ผมเคยเรียนมาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆด้วย”
ในตอนที่พวกเขากําลังทานอาหารกันอยู่นั้น มือถือของเขาก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล พี่ใหญ่” หวังเย้าพูด
ที่ปลายสายเป็นซูจือฉิง “นายสะดวกคุยรึเปล่า?”
“ครับ พี่พูดมาได้เลย” หวังเย้าพูด
“นายช่วยมาที่ฐานทัพของพวกเราได้ไหม?” ซูจือฉิงถาม
“มีคนได้รับบาดเจ็บเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ อีกทีมหนึ่งน่ะ” ซูจือจึงพูด“พวกเขามีการต่อสู้ที่ชายแดน ต้องเสียทหารไปหลายนายเจ็บหนักอีกสอง”
“ผมจะไปพรุ่งนี้ครับ” หลังจากคิดอยู่สักพัก หวังเย้าก็พูดขึ้นมา
“โอเค ขอบคุณมาก” ซูจองพูด
หลังจากวางสาย หวังเย้าก็กลับเข้าไปในห้องอาหาร
“หยุนเชิง ผมต้องขอโทษด้วย พรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปยูนนานใต้” หวังเย้าพูด
หวังเย้ารู้สึกผิดต่อซุนหยุนเชิงที่มาเพื่อเรียนกับเขา แต่เขากลับต้องรีบเดินทางไปที่อื่น
“เชียนเชิง ไปทําสิ่งที่ต้องทําเถอะครับ” ซุนหยุนเชิงรีบพูด “ผมถามคําถามกับศิษย์ได้”
“ได้ หลิวชวน ผมคงต้องรบกวนคุณแล้ว” หวังเย้าพูด
“ไม่ต้องห่วงครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด
“ดี ผมกลัวว่า ผมคงต้องไปหลายอาทิตย์”หวังเย้าพูด“ผมคงต้องรบกวนคุณเรื่องหมู่บ้านกับเนินเขาแล้ว!”
“ครับ” จงหลิวชวนพูด
หลังจากกินดื่มเสร็จแล้ว ทั้งสี่ก็เดินกลับกันอย่างช้าๆ หวังเย้าเงยหน้ามองท้องฟ้าเป็นครั้งคราวการเดินทางไปทางใต้คงมีแต่เรื่องยุ่ง
“เชียนเชิง คุณต้องเดินทางไปรักษาคนเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม
“ใช่ มันเป็นสายจากพี่ชายของซูเสี่ยวซวีน่ะ” หวังเย้าพูด เขาไม่จําเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้กับคนอื่น “ผมต้องไปช่วยพวกเขา”
“ในกองทัพเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม
“อม” หวังเย้าพยักหน้า
“ใช่ เชียนเชิงควรไป” ซุนหยุนเชิงพูด
“พอกลับไปแล้ว อย่าเพิ่งคิดเรื่องฝึก” หวังเย้าพูด “นอนให้พอ ตื่นแต่เช้าแล้วขึ้นไปบนเขากับหลิวชวน”
“ครับ ผมเข้าใจแล้วเชียนเชิง” ซุนหยุนเชิงพูด
พวกเขากลับไปยังที่พักของตัวเอง ส่วนหวังเย้าก็กลับขึ้นไปบนเขาเพียงลําพัง
ภายในห้อง ซุนหยุนเชิงหันไปพูดกับอาหาว “ดูเหมือนจะเป็นไปได้ว่า เชียนเชิงจะไปหาเจ้าหญิงของตระกูลซู”
อาหาวไม่ได้รีบพูดออกมา เขาก้มหน้าเหมือนกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“นายก่าลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“คุณชย ผมขอพูดอะไรสักหน่อย แต่อย่าเก็บไปคิดมากนะครับ” อาหาวพูด
“พูดมาสิ” ซุนหยุนเชิงพูด “ยังไงเราก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน!”