“เปล่าค่ะ แต่สายตาของเธอโกหกไม่ได้หรอก” ซูเสี่ยวซวีพูด “เชียนเชิงบอกว่าพวกเขาเป็นพวกมีเรื่องราวเบื้องหลังเหรอคะ?”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องธรรมทั่วไปหรอก” หวังเย้าตอบ “มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่เดียวถ้ามันถูกเอาไปเขียนเป็นนิยายหรือทําหนัง มันอาจจะดังก็ได้”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม “เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิคะ”
“ความจริงแล้ว สองคนนั้นเป็นนักฆ่า” หวังเข้าพูด
“อะไรนะคะ?” ซูเสี่ยวซวีตกตะลึง “พูดจริงเหรอคะ เชียนเชิง?”
“ผมพูดจริงๆ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมเดาว่าเธอคงจะไม่เชื่อ งั้นฟังผมเล่าก่อนดีกว่า”
เขาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขาและบริษัทที่พวกเขาเคยทํางานให้
“พระเจ้า!” ดวงตาของซูเสี่ยวซวีเบิกกว้าง เธอไม่คิดว่าเรื่องแบบนั้นหรือองค์กรแบบนั้นจะมีอยู่บนโลกใบนี้เธอคิดว่ามันมีแค่ในนิยายหรือในหนังที่เกิดขึ้นมาจากจินตนาการเท่านั้น
“มันน่าสนใจใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“พวกเขาฆ่าคนจริงๆเหรอคะ?” เธอถาม
“จริงสิ แล้วก็อาจจะมากกว่าหนึ่งคนด้วย” หวังเย้าตอบ
เขาได้รู้เรื่องการบริหารงานของบริษัทนั้นมาจากจงหลิวชวนกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่ากรรมการบริหารคือคนที่ครอบครองความสามารถที่เหนือกว่าคนอื่น แล้วพวกเขาตัดสินความสามารถของแต่ละคนได้ยังไง? บรรทัดฐานสําคัญอาจดูจาก“ผลงาน”ในการสังหารเป้าหมาย
“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นอาชญากรน่ะสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “พวกเขาก่ออาชญากรรมเอาไว้มากมาย ที่แค่การยิงเป้าไม่อาจเพียงพอต่อความผิดที่พวกเขากระทําลงไปได้”
ไม่มีใครบอกได้ว่า คนที่พวกเขาสังหารไปจะเป็นคนไม่ดีที่ต้องถูกกําจัดหรือไม่ แต่จะต้องมีผู้บริสุทธิ์ที่อาจโดนลูกหลงจากพวกเขาได้เช่นซูเสี่ยวซวีเป็นต้นดังนั้นสิ่งที่พวกเขาได้ทําลงไปจึงเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้
“พวกเขาดูไม่เหมือนคนแบบนั้นเลยนะคะ” หลังจากที่เงียบไปนาน ซูเสี่ยวซวีก็พูดขึ้นมา
บอกตามตรง ความประทับใจแรกที่เธอมีต่อเลี้ยจื้อจายและหูเหมยคือพวกเขาเป็นคนดีเธอไม่คิดเลยว่ามือของพวกเขาจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด
“ตัวร้ายไม่เคยทําสัญลักษณ์บนใบหน้าของพวกเขา เพื่อบอกให้รู้ว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดีหรอกนะ” หวังเย้าพูด“ตรงกันข้ามพวกเขาส่วนใหญ่มักดูเหมือนคนธรรมดาหรือไม่ก็อ่อนโยนเพราะมันง่ายที่จะทําให้คนอื่นสับสน”
“เชียนเชิงรู้เรื่องนี้มาจากพวกเขาใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ใช่” หวังเย้าพูด
“เชียนเชิงคิดจะโทรแจ้งตํารวจไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
ตั้งแต่เด็ก เธอเป็นเหมือนกับดอกไม้ในเรือนกระจก เธอคือลูกแอปเปิ้ลในสายตาของทุกคนในบ้านที่ต้องการการปกป้องและความรัก อยู่ในหอคอยที่เป็นดั่งสถานไร้มลทินที่ความมืดของสังคมไม่อาจกล่กลายมาถึงตัวเธอได้มันไม่ต่างจากความนึกคิดของเธอ เธอไม่เคยได้เข้าไปสัมผัสกับความมืดจนกระทั่งตอนนี้
“โทรหาตํารวจเพื่อเปิดโปงพวกเขาน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ฮาฮา บอกตามตรง ผมคิดเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ผมคิดว่าไม่ทําดีกว่า” หวังเย้าพูด
“ทําไมล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เธอคิดว่า หลิวชวนเป็นคนยังไง?” หวังเย้าถาม
“ดีค่ะ เขาเป็นคนดีมาก” ซูเสียวซวีพูด
เธอเคยพูดคุยกับชายวัยประมาณสามสิบคนนั้นอยู่สองครั้ง เขาอ่อนโยนมากเขาเป็นเหมือนกับพี่ชายข้างบ้านและมีบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเธอยังรู้ด้วยว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของหวังเย้าเพื่อเรียนกังฟูและนับได้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์คนที่สองของหวังเย้า
“เขาก็เป็นหนึ่งในนั้นเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“แปลกใจไหม?” หวังเย้าถาม
“มากๆเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “เขาเคยฆ่าคนมาก่อนเหมือนกันเหรอคะ?”
“ใช่ เขายอมรับออกมาเอง แต่โดยธรรมชาติของเขานั้นต่างจากเจี่ยจื้อจายกับหูเหมย” หวังเย้าพูด
“เราปล่อยเรื่องนี้ไปดีไหมคะ เชียนเชิง?” ซูเสี่ยวซวีเสนอขึ้นมา
“ปล่อยไปโดยไม่ทําอะไรเลยแบบนั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ต้องไล่ตามพวกเขาอีกต่อไป” ซูเสี่ยวซวีพูด “ตอนนี้ ฉันมีความสุขมากแล้ว ฉันไม่อยากคิดถึงเรื่องไม่ดีพวกนั้นอีกแล้ว”
“ก็ได้ ผมจะฟังเธอ” หวังเย้าพูด
ถึงเธอจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขารู้ว่า ซูเสี่ยวซวียังคงสนใจเรื่องนั้นอยู่เธอแค่ไม่ต้องการให้มันมีผลกระทบกับชีวิตของเขาก็เท่านั้น เขาสามารถปล่อยหูเหมยไปได้ชั่วคราวแต่เขาไม่มีทางป ล่อยชายที่ถูกเรียกว่าหมอพิษคนนั้นไปเด็ดขาด
“เชียนเชิง?” เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากด้านนอก
“เข้ามาข้างในได้เลยครับ” หวังเย้าพูด
โจวฉงเดินเข้ามาจากด้านนอก
“ผมมาเอายาครับ เชียนเชิง” เขาพูด
“โอ้ ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย” หวังเย้าพูด
เมื่อเห็นว่า ซูเสี่ยวซวีที่เข้าไปในคลินิกยังไม่ออกมา โจวฉงจึงรออยู่ด้านนอกสักพักก่อนที่จะเข้าไป
“วิธีกินยาตัวนี้เหมือนกันกับซุปเป่ยหยวน แล้วก็กินซุปเป่ยหยวนควบคู่กันไปได้เลย”หวังเย้าพูด
เข้าสู่เดือนตุลาคม ลมฤดูใบไม้ผลิจึงหนาวเย็น
มันเป็นวันสําคัญ และนั่นก็คือวันที่พี่สาวของหวังเย้าแต่งงาน
ทั้งครอบครัวตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่พวกเขาต่างพร้อมแล้วชาวบ้านหลายคนมาช่วยงานเมื่อมีงานแบบนี้ขึ้นมา ชาวบ้านล้วนยินดีมาร่วมงานเพื่อสังสรรค์และรับโชคหวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงต่างมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่บ้านชาวบ้านหลายคนจึงยินดีมาช่วยงานชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนไปรักษากับหวังเย้าการที่เขามักไม่รับเงินค่ารักษาจากชาวบ้าน ก็ยิ่งทําให้ชื่อเสียงของครอบครัวพวกเขาดียิ่งขึ้นไปอีก
มันเป็นวันมงคลที่ท้องฟ้าสว่างสดใส
เสียงประทัดดังขึ้น
ขบวนรับเจ้าสาวมาถึงหมู่บ้าน
มีการเอ่ยคําอวยพรเพื่อส่งเจ้าสาวกันอย่างล้นหลาม
ตู้หมิงหยางมีความสุขอย่างมาก
แก้วแล้วแก้วเล่าถูกดื่มให้กับพ่อแม่เจ้าสาวที่เลี้ยงดูและสั่งสอนเจ้าสาวจนเติบใหญ่
หวังเย้าและซูเสี่ยวซวียืนจับมือกันและกันอยู่ข้างๆ
ซูเสียวซวีมอบของขวัญให้กับหวังรุ่ย
มันเป็นสร้อยคอไพลินที่งดงามและล้ําค่า
ตามแผนจะมีการส่งเจ้าสาวในตอนเช้าและจัดงานเลี้ยงฉลองในตอนกลางวัน
หวังเข้าไม่ได้บอกเรื่องงานแต่งกับเพื่อนๆของเขา แต่พวกเขากลับได้รับข่าวและเดินทางมาร่วมงาน
หวังหมิงเปา,เว่ยห่าย,เทียนหยวนถู,พันจวิน, หลี่เม่าชวง, และซุนหยุนเชิงต่างพากันมาร่วมงาน ภายในหมู่บ้านไม่เคยมีรถเข้ามาจอดมากมายขนาดนี้แถมยังเป็นรถราคาแพงทั้งนั้นภายใน หมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยความคึกคัก
“เฮ้อ บ้านเฟิงฮวาแต่งลูกสาวออกไปได้ดีจริงๆ!
ชาวบ้านล้วนให้ความสําคัญกับเรื่องหน้าตา
“ใช่ ฉันสงสัยจริงๆว่าจะหมดไปเท่าไหร่!”
“พวกเขามีลูกสาวแค่คนเดียว จะเท่าไหร่พวกเขาก็คงยอมจ่าย!”
“เราไปกินอาหารในงานเลี้ยงกันดีกว่า”
ตอนเที่ยง ทั้งครอบครัวเดินทางเข้าตัวเมืองเหลียนชานเพื่อร่วมงานฉลองมงคลสมรสเพื่อนของหวังเย้าต่างก็ตามมาด้วย มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะรวมตัวกันได้สักครั้งหวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีต่างวิ่งวุ่นช่วยงานพวกเขาไม่มีเวลาได้นั่งกินดื่มกับเพื่อนของหวังเย้าเลย
“นายก็ก่าลังจะแต่งงานเหมือนกันใช่ไหม เชียนเชิง?” เว่ยหายถาม
“ใช่ครับ คงอีกไม่นาน” หวังเย้าตอบ
“ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้ข่าว เราจะต้องบอกให้รู้กันทุกคนด้วยนะ” เว่ยห่ายพูด
“ใช่ๆ อย่าลืมล่ะ” เพื่อนคนอื่นๆต่างเห็นด้วย
พวกเขาบางคนแลกเปลี่ยนเบอร์โทรติดต่อกันไว้ ส่วนคนที่มีอยู่แล้วก็ทําการยืนยันเพื่อให้แน่ใจ
งานแต่งครั้งนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและคลื่นเครง ทุกคนต่างก็มีความสุข
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
บ่ายวันนั้น หลังจากหวังเย้าช่วยงานเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้มีเวลามาอยู่กับเพื่อนของเขาพวกเขาไปรวมตัวดื่มชากันที่ใต้ต้นจนเหอที่คลินิกของหวังเย้า
“ต้าหงเผา!” ซุนหยุนเชิงคือคนที่รู้จักแต่ของดี เพราะเขาเคยดื่มชาชนิดนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
“ใช่แล้วครับ” หวังเย้าพูด
“ต้นชาไม่กี่ต้นบนเขาหวยน่ะเหรอ?” เทียนหยวนถูถาม
“ใช่ ผมได้มาจากพี่ชายของเสี่ยวซวีน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“โอ้ ของดีนี่” เว่ยห่ายพูด “ถึงจะมีเงิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อมันมาได้”
ต้นชามีจํานวนน้อย ในแต่ละปีจึงผลิตชาออกมาได้น้อย ไม่ว่าใครอยากได้มากแค่ไหนแต่ชาก็ยังคงมีปริมาณเท่าเดิม
“บ้านของเชียนเชิงเต็มไปด้วยสมบัติจริงๆ!”
“เชียนเชิง คิดจะแต่งงานเมื่อไหร่เหรอ?”
“ผมสัญญากับเสี่ยวซวีเอาไว้แล้ว่า เราจะแต่งงานกันหลังจากที่เสียวซวีเรียนจบครับ”หวังเย้าพูด
“เธอเรียอยู่ปีอะไรแล้ว?”
“ปีนี้ เธอเรียนอยู่ปีสามครับ” หวังเย้าพูด “การเรียนของเธอต้องล่าช้าออกไปเพราะอาการป่วยของเธอ
“ถ้าอย่างนั้น เธอก็จะเรียนจบหลังจากปีหน้าอีกปีหนึ่งใช่รึเปล่า?”
“ใช่ครับ” หวังเข้าตอบ
“อย่าลืมบอกพวกเราด้วยล่ะ
“ได้ครับ” หวังเย้าพูด
บ้านตระกูลซูที่ไกลออกไปหลายพันไมล์
“คุณป้า” ผู้หญิงคนหนึ่งพูด เธอมีหน้าตาที่ดีแต่ดูซีดเล็กน้อย เธอมีรูปร่างที่สง่างามพร้อมกับหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยแสดงให้รู้ว่าเธอกําลังตั้งครรภ์อยู่
“ท้องได้กี่เดือนแล้ว?” ซงรุ่ยปิงถาม
“สี่เดือนแล้วค่ะ” เธอพูด
“ทําไมถึงไม่ยอมฟังกันบ้าง?” ซงรุ่ยปังถามสีหน้าไม่พอใจ
“คุณป้า ฉันอยากลองอีกครั้ง ฉันอยากมีลูก” น้ําเสียงของเธออ่อนโยนราวสายลมในเดือนพฤษภาคม
“เธออยากลองอีกครั้ง? เธอไม่รู้สภาพร่างกายของตัวเองเลยรึยังไง?” ซงจุ้ยปิงมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความสงสาร
“ฉันมาเพื่อขอร้องคุณป้าค่ะ”เธอพูด
“เธอต้องการอะไร?” ซงรุ่ยปิงถาม
“คุณป้า ฉันได้ยินมาว่า คุณป้ารู้จักกับหมอฝีมือดีคนหนึ่ง แล้วเขาก็ยังสามารถรักษาอาการป่วยของเสี่ยวซวีได้ด้วย”เธอพูด“คุณป้าคิดว่าพอจะแนะนําฉันให้เขาได้ไหมคะ?”
“ก็ได้ ป้าจะลองถามเขาให้” ซงรุ่ยปังรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่ายดี
“ขอบคุณมากนะคะ” เธอพูด
“ป้าจะถามเขาให้ แต่ว่าเขาจะตกลงรึเปล่านั้นก็อีกเรื่อง” ซงรุ่ยปิงพูด “ฝีมือการรักษาของเขายอดเยี่ยมมากแต่เขาก็มีความคิดที่ค่อนข้างประหลาด”
“ฉันรู้ค่ะ” เธอพูด “ไม่ว่ายังไง ขอแค่เขาตกลง จะให้ฉันไปหาเขาที่นั่นก็ยังได้”