ทันทีที่ออกมาจากบ้าน จงหลิวชวนก็เจอเข้ากับเจี้ยจื้อจาย
“จะขึ้นไปฝึกบนเขาเหรอ?” เจี่ยจื้อจายถาม
“ใช่”
“เราไปด้วยกันได้ไหม?”
เมื่อเห็นสีหน้าลังเลของจงหลิวชวน เจี้ยจื้อจายก็ยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องห่วงฉันไม่ขึ้นไปบนเขาตงชานหรอก ฉันแค่อยากลุกขึ้นมาวิ่งและฝึกฝนเท่านั้น
“ก็ได้ ไปกันเถอะ”
ทั้งสองวิ่งเคียงข้างกันไปเมื่อพวกเขามาถึงตีนเขาเจี้ยจื้อจายก็หมุนตัววิ่งย้อนกลับไปจงหลิวชวนขึ้นไปบนเขาเพียงล่าพังส่วนหวังเย้าก็รออยู่บนเขาแล้ว
“อรุณสวัสดิ์ครับ เชียนเชิง”
“อรุณสวัสดิ์นั่นเจี้ยจื้อจายเหรอครับ?”แม้หวังเย้าจะยืนอยู่บนเขา แต่เขาก็สามารถมองเห็นได้ไกลดังนั้นเขาจึงเห็นสองคนวิ่งมาด้วยกัน
“ใช่ครับ”
“อ่อ”
“เขายังอยากให้เขียนเชิงเป็นอาจารย์ของเขาอยู่น่ะครับ” จงหลิวชวนพูด
“รอไปก่อน” หวังเย้าตอบ
ทั้งสองเริ่มฝึกอยู่บนเขาฝึกฝน, ทําสมาธิ, และเคลื่อนพลังฉีในร่าง
ที่ตีนเขา เจี้ยจื้อจายที่วิ่งกลับบ้านเพียงลําพังดูเซื่องซึมเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเขา หูเหมยก็ยิ้มถาม “เป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร”
“เรากินข้าวกันดีไหม?”
“อ้อ ดี”
อาหารเช้ร้อนๆถูกนําขึ้นโต๊ะ มันส่งกลิ่นหอมและอบอุ่นใจ
“มา กินข้าวสิ”
“ขอบคุณ ภรรยาสุดที่รักของฉัน”
“ไม่ต้องมาอ่อนฉัน ยังอยากเป็นเรียนกับเชียนเชิงอยู่อีกเหรอ?”
“อืม แต่ตอนนี้ฉันยังไม่คิด ฉันต้องกินก่อน”ตรงหน้าเขามีบะหมีชามโตและไข่ทอดหนึ่งจานเขาก้มหน้ากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ไม่นานเจี่ยจื้อจายก็จัดการกินอาหารตรงหน้าจนหมด
“อื้มมม อร่อย”
หลังจากกินเสร็จ เขาก็จุดบุหรี่ สําหรับเขาแล้ว การสูบบุหรี่หลังมื้ออาหารทําให้รู้สึกดีไม่ต่างจากการเป็นเซียน
“วันนี้ครบสามวันแล้ว” หูเหมยพูดเสียงเบา
“หา? โอ้!” เจียจื้อจายที่ได้สติกลับมา ก็เข้าใจความหมายในค่าพูดของเธอ
หมอพิษควรจะต้องตายแล้ว
“ฉันไปลองไปดูหน่อย” เจี้ยจื้อจายคาบบุหรี่เดินออกไปจากบ้าน
บ้านหลังน้อยดูเงียบเป็นพิเศษ มีต้นแอปริคอทที่ใบแห้งเหี่ยวยืนต้นอยู่ตรงประตูบ้านใบเกือบครึ่งของมันร่วงหล่นลงมากองกันอยู่ที่พื้นบานประตูดูกระดํากระด่างเต็มไปด้วยเศษฝุ่นผงตัวล็อกอยู่ในสภาพใกล้พัง
เขาผลักประตูให้เปิดออก แอ็ด! เสียงเปิดประตูดังให้ได้ยินอย่างชัดเจน
“เฮ้อ!”
หลังจากเปิดประตู เจี้ยจื้อจายก็หยุดชะงัก บุหรี่ในมือของเขาไหม้จนหมดมวน เขาหยุดบุหรี่อีกมวนขึ้นมาจุดสูบเขาผลักประตูแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านชายคนหนึ่งนอนอยู่ที่พื้นเขาไม่หายใจอีกต่อไปแล้วดวงตาของเขาปิดสนิทและใบหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ
หมอพิษที่มีชื่อเสียง ตัวร้ายที่ฆ่าคนไปนับไม่ถ้วนและสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขาได้ตายลงเช่นนี้ตายอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆกลางเขาไม่มีใครรู้หรือสงสารเขา
“ลาก่อน”
“ตายแล้วเหรอ?” หูเหมยเดินเข้ามาจากด้านนอก
“ตายแล้ว”
ทั้งสองยืนเคียงข้างกัน
“นายว่า เวลาที่เราสองคนตายจะมีสภาพแบบไหน?” อยู่ๆหูเหมยก็ถามขึ้นมา
“อยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยลูกหลานยังไงล่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด มันดูเหมือนนอกเรื่องแต่กลับเต็มไปด้วยความใส่ใจ
“ฉันก็หวังไว้แบบนั้น” หูเหมยพูดเสียงเบา ราวกับว่าเธอกําลังกังวลเรื่องบางอย่าง
“มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เรายังต้องขยันให้มากด้วย”
“น่าเกลียด!”
หลังจากพวกเขาปิดประตู ก็มีเพียงร่างเย็นเฉียบของหมอพิษนอนอยู่ที่พื้นเพียงลำพัง
“ฉันจะไปบอกเรื่องนี้กับเซียนเชิง
“อิม”
เจียจื้อจายเดินไปที่คลินิกคนเดียว มีคนไข้กําลังรักษากับหวังเย้าอยู่ เขาจึงต้องรอก่อน
“มีอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร ผมรอได้ เขียนเชิงทํางานก่อนเถอะ” เจี้ยจื้อจายพูด
“ได้ เทชาดื่มเองได้เลยนะครับ”หวังเย้าพูด
“อ้อ”
คนไข้ไม่ได้ป่วยหนักเขาเพียงเป็นไข้เท่านั้น หวังเย้าจ่ายยาและบอกให้เขากลับไปหลังจากให้คําแนะนําเรียบร้อยแล้ว
“เอาล่ะ คนไข้กลับไปแล้ว มีเรื่องอะไรก็บอกมาได้เลยครับ”
“หมอพิษตายแล้ว” เลี้ยจื้อจายพูด
หวังเย้าเงียบไปนาน เขาจ้องมองโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าเขา นี่คือชายที่เขาลงมือฆ่าเขาทําให้อีกฝ่ายเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนอยู่ไม่สู้ตาย
“ผมรู้แล้ว”
“แล้วจะจัดการกับร่างของเขายังไง?”
–
“เรื่องนั้นผมคงต้องรบกวนพวกคุณแล้ว” หวังเย้าพูด
เขารักษาโรค,ฆ่าคน,และรู้เรื่องฮวงจุ้ยแต่เรื่องแบบนี้เขายังต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเป็นคนจัดการให้เขาจะจัดการด้วยวิธีปกติไม่ได้ ในเวลานี้เจียจื้อจายก็คือคนที่เชี่ยวชาญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ได้”
“ตัวเขาเต็มไปด้วยพิษ ถึงเขาจะตายไปแล้วพิษจะไม่ทํางาน แต่ก็ต้องระวังตอนกลางวันให้มาที่นี่ผมจะเอายาแก้พิษให้
“ได้” เจียจื้อจายพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ”
“มันเป็นเรื่องที่ผมควรทําอยู่แล้ว มันคือการชดเชยให้” เจียจื้อจายพูด
เมื่อเห็นว่าหวังเข้าไม่อยากพูดอะไรมาก เจี้ยจื้อจายก็ออกมาจากคลินิกเขากลับไปที่บ้านเพื่อปรึกษาวิธีที่จะจัดการกับศพกับหูเหมย พวกเขาเชียวชาญในการจัดการกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้วแต่พวกเขาก็ต้องคิดให้มาก พวกเขาไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตในหมู่บ้านหรือเขตแดนอื่นๆถึงหมอพิษจะตายไปแล้วแต่ร่างของเขาก็ไม่ต่างไปจากระเบิดเวลาถ้าพวกเขาไม่จัดการให้ดีก็อาจจะเกิดเรื่องผิดพลาดตามมาได้
ไกลออกไปหลายพันไมล์ ในปักกิ่ง
หลิวเจิ้งเพิ่งมองดูใบหน้าแดงระเรื่อของภรรยาอย่างมีความสุข พวกเขาเพิ่งไปตรวจที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในปักกิ่งมาหมอบอกกับพวกเขาว่าเด็กในครรภ์ปลอดภัยดีเรื่องนี้ยังทําให้หมอที่คุ้นเคยกับเฟิงเจียเหอต้องประหลาดใจหมอเคยรักษาเธอมาก่อนทั้งการตรวจสุขภาพและตอนแท้งทั้งสองครั้งมันจึงเป็นธรรมดาที่หมอจะ เข้าใจสภาพร่างกายของเฟิงเจียเหอดีเมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่เธอมาตรวจร่างกายตัวอ่อนในครรภ์เริ่มส่งสัญญาณถึงปัญหาในตอนนั้น หมอเองก็เป็นกังวลอย่างมากแต่ตอนนี้เด็กในครรภ์กลับปกติดี สภาพร่างกายของคนเป็นแม่ก็ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด โดยที่ไม่จําเป็นต้องตรวจเลย
“พวกคุณทําได้ยังไง?” สูตินารีแพทย์ ผู้อานวยการหลี่ถาม
“อ่อ ผู้อํานวยการหลี่ พวกเราไปหาแพทย์แผนจีนคนหนึ่ง แล้วก็ได้ทําการปรับเปลี่ยนบางอย่างมาน่ะค่ะ”เฟิงเจียเหอพูด
“โอ้ เป็นหมอจากที่ไหนเหรอคะ?” ผู้อํานวยการหลี่ถาม “เอ่อ อย่าเข้าใจฉันผิดนะคะฉันแค่สงสัยมากเท่านั้นความจริงถึงอาการที่คุณเป็นอยู่จะพบเจอได้ยากแต่ในแต่ละปีก็ยังเจออยู่เรื่อยๆวิธีการรักษาของเขาเห็นผลดีมากถ้ามันถูกใช้ได้อย่างแพร่หลายมันคงจะมีประโยชน์มาก”
“เอ่อ ผมคงต้องขอโทษด้วย”หลิวเจิ้งเฟิงพูด“เราไม่รู้รายละเอียดของหมอมากนักแล้วเขาก็ไม่ใช่คนปักกิ่งเราได้รู้จักเขาผ่านคนรู้จักนะครับ”
เขาจําได้ว่า หมอหวังมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่แปลกประหลาด หนึ่งในนั้นก็คือหากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา พวกเขาก็ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเขาให้คนรู้ได้ สาเหตุที่พวกเขาสามารถรักษากับหวังเย้าได้ก็เพราะญาติของฝั่งภรรยาหลายคนในปักกิ่งต่างพยายามติดต่อหมอหวังด้วยวิธีการต่างๆแต่มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ทําสําเร็จ
“จริงเหรอคะ? น่าเสียดายจริงๆ”ผู้อานวยการหลี่พูด“ถ้าในอนาคต พวกคุณได้มีโอกาสติดต่อกับเขาช่วยบอกเรื่องที่ฉันพูดให้เขาฟังด้วยนะคะ”
“ได้ครับ ผมจะจ่าเอาไว้” หลิวเจิ้งเฟิงพูด
พวกเขาออกมาจากโรงพยาบาลและกลับบ้าน
“เฮ้อ ในที่สุดเราก็เบาใจได้บ้างแล้ว” เพิ่งเจียเหอพูด พวกเขายังวางใจทั้งหมดไม่ได้เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าที่เด็กจะคลอดไม่มีใครรับประกันได้ว่าในระหว่างนั้นจะไม่เกิดอะไรขึ้น
“อีกไม่กี่วัน ผมจะไปที่หมู่บ้านกลางเขา” หลิวเจิ้งเฟิงพูด
“ให้ฉันไปด้วยไหมคะ?”
“ไม่ต้องหรอก” หลิวเจิ้งเฟิงพูด “มันห่างจากที่นี่ไหมไกลมากเราต้องนั่งเครื่องบินและนั่งรถเพื่อไปที่นั่นมันเหนื่อยเกินไปอาการของเธอเพิ่งจะดีขึ้นดังนั้นอยู่พักผ่อนที่บ้านดีกว่านะ”
“แบบนั้นก็ได้ค่ะ”
ในตอนนี้ หัวใจที่แกว่งไกวอยู่ในอากาศของคนทั้งสองก็วางลงได้ในที่สุดถึงแม้จะแค่ชั่วคราวแต่ก็ยังถือว่าดี
ในตัวเมืองเหลียนชานหนึ่งชายและหนึ่งหญิงกําลังซื้อของด้วยกันอยู่
เมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่คุ้นเคยสําหรับพวกเขา มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขามาที่นี่เทียบกับเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่แล้ว เมืองนี้ทั้งเล็กและล้าหลัง
“เล็กมาก!”
“ใช่ มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกับเมืองที่พวกเราอยู่ด้วย” เขาพูด
ทั้งสองเดินไปบนถนนอย่างเชื่องช้าและไร้จุดหมายพวกเขาหยุดอยู่ที่หน้าโรงหนังแห่งหนึ่งมันเป็นโรงหนังเพียงแห่งเดียวในเมืองเล็กๆนี้ราคาตั๋วหนังถือว่าแพงที่สุดในเมืองและเขตที่อยู่รอบๆแต่ทุกวันก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนนอกจากโรงหนังแห่งนี้แล้วโรงหนังที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากที่นี่ไปถึง 40 กว่ากิโลเมตร