อากาศเริ่มเย็นลง เย็นจนหายใจออกมาเป็นไอ
เมื่อพวกเขาเห็นหวังเย้าทั้งสองก็รีบเข้ามาทักทายเขา “สวัสดีครับ เขียนเชิง”
“พวกคุณกําลังจะขึ้นไปบนเขากันเหรอ?”หวังเย้าถาม
“ครับ”
“ดี พวกคุณไปเถอะ”
หวังเย้าเดินกลับไปที่บ้านของเขาในตอนที่เขากําลังจะยื่นมือไปเปิดประตูเขาก็เห็นรถคันหนึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน
เขาคิด หรือพวกเขาจะมาหาหมอ?
เมื่อรถหยุดลง ชายคนหนึ่งก็กระโดดลงจากรถ จากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กลงมาสีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลหวังเข้าจึงรีบเดินกลับไปถึงการก้าวเดินของเขาจะไม่เร็วแต่ใช้เวลาไม่นานเขาก็ไปถึงที่คลินิก
“ทําไมถึงปิดได้ล่ะเนี้ย?”
ทั้งสองคนต่างหลั่งเหงื่อเย็น
“เด็กเป็นอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม สีหน้าของเด็กเริ่มคล้ํา
“เขาส่าลักตอนกินข้าว”
“ผมขอดูหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
เขาตรวจดูอาการของเด็กและตบหลังเด็กไปสองครั้ง จากนั้น เด็กก็สําลักเอาก้อนอาหารออกมาและเริ่มร้องไห้
หวังเย้าก้มลงมองและพบว่าสิ่งที่เด็กกินเข้าไปเป็นถั่ว เขาพูด “เด็กเล็กแบบนี้ยังไม่เหมาะที่จะกินอาหารประเภทนี้นะครับ”
“เฮ้อ เราไม่ได้อยากให้เขากินหรอก แต่เขาหยิบเข้าปากตอนที่เราเผลอพอดี”
หวังเข้าตรวจดูอาการของเด็กอีกครั้ง หลังจากยืนยันแล้วว่าเด็กไม่มีปัญหาอะไรอีกเขาก็พูดกับสองสามีภรรยาว่า“ไม่เป็นไรแล้วครับพวกคุณกลับบ้านได้เลย”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด “คราวหน้าระวังให้มากกว่านี้ด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ ทั้งหมดเท่าไหร่?”
“ไม่คิดเงินครับ” หวังเย้าโบกมือปฏิเสธ แล้วจึงหันหน้าเดินกลับบ้าน
ชายคนนั้นขับรถผ่านมาทางเขาและหยุดรถเพื่อเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง“ขอบคุณนะครับ”
“ยินดีครับ” หวังเย้าตอบ “เดินทางปลอดภัยนะครับ!”
เขาเดินกลับบ้านช้าๆ
“ลูกกลับมาแล้ว” จางซิวหยิงกําลังเตรียมมื้อค่ำอยู่
“แม่ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่เป็นไรจ๊ะ กลับไปที่ห้องเถอะ” แม่ของเขาพูด “คืนนี้ มีแค่เราสองคนเท่านั้นนะ”
“แล้วพ่อไปไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เขาออกไปดื่มข้างนอกน่ะสิ” แม่ของเขาพูด
พวกเขาทานอาหารค่ำและนั่งดูทีวีไปจนกระทั่งถึงสองทุ่มหวังเฟิงฮวาก็กลับมาทั่วทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่และแอลกอฮอล
“พ่อดื่มไปเท่าไหร่ครับ?” หวังเย้าถาม
“เกินสามแก้ว อาจจะเป็นขวดเลยก็ได้” หวังเฟิงฮวาหัวเราะ
“รอเดี๋ยวนะครับ ผมจะไปเอาน้ำมาให้” หลังจากพ่อของเขาทานอาหารแล้วหวังเย้าก็ทําซุปแก้เมาค้างมาให้เขาดื่มมันจะช่วยปกป้องกระเพาะและตับได้
“พ่อได้ยินมาว่า มีคนย้ายออกจากหมู่บ้านไปอีกสองคน” หวังเฟิงฮวาพูดในขณะที่ดื่มซุป
“ใครเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ครอบครัวของเม่าเชิง” หวังเฟิงฮวาพูด
“เฮ้อ” จางซิ่วหยิ่งถอนหายใจ
“มีคนซื้อบ้านไปสองหลัง แล้วพวกเขาก็ปรับปรุงบ้านเสร็จแล้วด้วย” หวังเฟิงฮวาพูด “เสียวเย้าลูกรู้จักพวกเขารึเปล่า?”
“ครับ เป็นเจิ้งเหว่ยจวินที่ทําโรงงานผลิตยากับผมยังไงล่ะครับ พ่อก็เคยเจอเขาแล้ว”หวังเย้าพูด
“เป็นเขานี้เอง เขารวยมากเลยเหรอ?” พ่อของเขาถาม
“รวยสิครับ เขาไม่ใช่แค่รวยธรรมดานะครับ แต่รวยมาก” หวังเย้าพูด
“ความคิดของคนรวยไม่เหมือนกับคนอย่างเราสักนิด” จางซิวหยิงพูด “ชาวบ้านต่างอยากย้ายออกแต่คนอื่นกลับอยากย้ายเข้า”
“อีกหน่อยก็จะมีคนย้ายเข้ามาอยู่อีก แต่ก็มีบางคนที่มาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ถึงพวกเขาอยากจะมาอยู่ก็ตามที”หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใครอยากมาอยู่ที่นี่เหรอจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม
“บอกไม่ได้ครับ” หวังเย้าพูด
ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้สร้างบ้านขึ้นบนที่ดินเปล่า จากข้อตกลงเดิมพวกเขาทําได้แค่ปรับปรุงบ้านเดิมที่มีอยู่เท่านั้นจํานวนบ้านหลังใหม่จึงมีอยู่น้อย
เขาอยู่คุยกับพ่อแม่จนถึงสามทุ่ม แล้วถึงกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น
ตอนเช้า พ่อของเด็กที่หวังเข้ารักษาให้เมื่อวานได้มาที่คลินิกอีกครั้งเขามาพร้อมกับป้ายประกาศที่เขียนติดเอาไว้ว่า“หมอฮัวโต่ผู้มีมือและหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์”
เขาได้สั่งทําป้ายเป็นพิเศษเพื่อแสดงความขอบคุณต่อหวังเย้า
“ขอบคุณนะครับ”
หวังเย้ายิ้มและรับป้ายมา
ตอนเช้า อยู่ๆจงหลิวชวนก็มาหาที่คลินิก
“เชียนเชิง ผมเจอปัญหาตอนที่ฝึกอยู่ครับ” เขาพูด
“ปัญหาอะไร?” หวังเย้าถาม
จงหลิวชวนบอกเล่าความสับสนที่เขาได้เผชิญมาสองสามวันนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงคอขวดไม่ว่าเขาจะฝึกอย่างไรก็ไม่มีทีท่าที่จะพัฒนาขึ้นไปได้อีก
“คุณรีบเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมไม่ได้รีบเลยครับ” จงหลิวชวนเข้าใจความหมายของหวังเย้าทันที “เชียนเชิงขอโทษที่มารบกวนนะครับ”
“อ่านคัมภีร์เต่ให้มาก” หวังเย้าพูด
“ผมเข้าใจแล้วครับ” จงหลิวชวนพูด
ยูนนานใต้ ที่ไกลออกไปหลายพันไมล์
“ทําไมถึงหาข่าวมาได้เร็วแบบนี้ล่ะครับ?!”
“ผมไม่อยากให้คุณชายต้องเป็นกังวล ผมก็เลยรีบมาบอกข่าวก่อน” เสวี่ยซินหยวนมองชายหนุ่มหน้าใสที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขาไม่เข้าใจว่าทําไมชายหนุ่มต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
“ดีครับ เชิญบอกมาได้เลย” กั่วเจิ้งเหอพูด
“สถานที่แห่งนั้นมีอยู่จริงครับ” เสวี่ยซินหยวนพูด“มันตั้งอยู่ที่ยูนนานใต้ แต่มันอยู่ในป่าที่ห่างไกลมากถนนหนทางไม่ราบรื่นและยังเป็นหมู่บ้านแบบปิดด้วยพวกเขาไม่ต้อนรับคนนอกเราพยายามเข้าไปใกล้แล้วแต่ก็พบว่าพวกเขามีกองกําลังที่คอยจับตามองอยู่รอบนอกของป่าด้วย”
“พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องพิษ ใช่ไหมครับ?” กั่วเจิ้งเหอถาม
“จากที่ผมรู้มา พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องพิษ แล้วยังเลี้ยงแมลงพิษด้วยครับ”เสวี่ยซินหยวนพูด
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมไม่อยากให้คุณชายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเพราะพวกเขาอันตรายเกินไป”
จากข้อมูลที่สืบได้ในหลายวันนี้หมู่บ้านแห่งนี้มีอยู่มานานหลายร้อยปีหรืออาจจะนานกว่านั้นก็เป็นได้พวกเขาถึงกับมีตํานานมาถึงคนรุ่นหลังส่วนโรงเรียนหรือหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่นั้นเขารู้สึกลังเลที่จะเข้าไปสืบหาข้อมูลในนั้น
พวกเขาอยู่มานานดังนั้นพวกเขาจึงมีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของตัวเองอยู่
“ผมก็ไม่ได้อยาก แต่พวกเขามาหาผมก่อน” กั่วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผลการชันสูตรล่าสุดที่ออกมา แสดงให้เห็นว่าพบพิษไร้ที่มาอยู่บนตัวของทั้ง 11 คนมันมีปริมาณน้อยมากแต่ก็มีอยู่” เขาพูด สาเหตุที่ก่อนหน้านั้นตรวจไม่พบเป็นเพราะวิธีการตรวจสอบและอุปกรณ์ที่มีอยู่อย่างจํากัด
“แล้วคุณชายคิดจะทํายังไงครับ?” เสวี่ยซินหยวนถาม
“มีคนของพวกเขาอยู่ข้างนอกบ้างไหมครับ?” กั่วเจิ้งเหอถาม
“ผมกําลังสืบเรื่องนี้อยู่แต่ก็เข้าใกล้มากแล้ว” เสวี่ยซินหยวนพูด
“ถ้าคุณรู้จักพวกเขาคนใดคนหนึ่ง ช่วยติดต่อพวกเขาให้ทีนะครับ” กั่วเจิ้งเหอพูด
“ได้ครับ”
หลังจากดื่มชาหมดไปหนึ่งถ้วย เสวี่ยซินหยวนก็จากไป
หุบเขาพันโอสถ…โลกที่ถูกซ่อนเร้น…หืม..กั่วเจิ้งเหอหรี่ตาด้วยกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร
พระอาทิตย์โรยตัวลงเป็นภาพยามเย็นที่งดงาม
เย็นวันนั้นรถป้ายทะเบียนต่างเมืองได้ขับเข้ามาในหมู่บ้าน
“ที่นี่เหรอ?”
“ใช่ ที่นี่แหละ”
ชายในชุดสูทสวมแว่นตาได้เดินไปเคาะประตูคลินิก
เมื่อรู้ความต้องการของอีกฝ่าย หวังเย้าก็พูดว่า “ขอโทษด้วย ผมไม่รักษาคนไข้นอกสถานที่ครับ”
“ถ้าคุณไม่พอใจ เราสามารถตกลงเรื่องค่ารักษาก่อนได้” เขาพูด “สถานการณ์ของคนไข้คนนี้ค่อนข้างพิเศษแล้วเราก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเขาได้ด้วย”
“ผมบอกแล้วว่าไม่ได้ครับ” หวังเย้าพูดนิ่งๆ
“ถ้าคุณมีความต้องการอะไร บอกผมได้เลยนะครับ” เขาพูด “ตราบใดที่ผมทําได้ผมจะพยายามถึงที่สุด”
หวังเย้าทําเพียงนิ่งเงียบและโบกมือปฏิเสธ
เขาเดินออกจากคลินิกด้วยความผิดหวังและขึ้นไปนั่งบนรถ
“เป็นยังไง?” ชายวัยสี่สิบที่นั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยถาม
“ขอโทษด้วยครับ เขาไม่ยินดีที่จะไปรักษาข้างนอก” ชายสวมแว่นพูด
“ฉันไม่โทษนายหรอก ฉันรู้ดีว่านิสัยของเขาออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย”ชายวัยกลางคนพูด
“พอจะมีทางอื่นอีกไหมครับ?” ชายสวมแว่นถาม
“ฉันได้ยินมาว่า พ่อแม่กับเพื่อนบางคนของเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้” ชายวัยกลางคนพูด“บางทีเราอาจจะเริ่มจากคนพวกนี้ก่อน”
“อย่างเพิ่งไปรบกวนครอบครัวของเขา เริ่มจากเพื่อนของเขาก่อน” ชายวัยกลางคนกล่าวเสริม
“ได้ครับ”
“เสี่ยวเหอ เธออยู่ที่นี่จัดการเรื่องนี้ทีนะ” ชายวัยกลางคนพูด
“ได้ครับ”
รถขับออกไปจากหมู่บ้าน
เช้าตรู่วันต่อมา จงหลิวชวนกับเจียจื้อจายกําลังวิ่งออกกําลังกายอยู่ พวกเขาวิ่งไปทางทิศตะวันออกของภูเขา
“ขึ้นมา” พวกเขาได้ยินเสียงหนึ่ง มันเสียงนั้นดังมากและเสียงนั้นเดินทางมาไกลกว่าหนึ่งกิโลเมตรแต่กลับส่งมาถึงหูพวกเขาได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เจี่ยจื้อจายก็อึ้งไปพักหนึ่ง เขามองไปรอบๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็มองเห็นหวังเย้ายืนอยู่บนเขา
“เชียนเชิงอยู่ตรงนั้นเหรอ?” เขาตะโกนขึ้นไปบนเขา แต่แล้วเสียงของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“ใช่ ผมเอง ขึ้นมาบนเขาสิ” หวังเย้าพูด
“ได้ครับ!” เจียจื้อจายพูดอย่างยินดี เขารู้ว่ามันหมายถึงอะไร
เขารีบวิ่งขึ้นไปบนเขา เขาถึงขนาดล้มไปสองสามครั้งเพราะความตื่นเต้น
“เชียนเชิง”
“คุณจะได้เริ่มเรียนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” หวังเย้าพูด “คุณจะเรียนรู้จากจงหลิวชวน”
“ได้ครับ เชียนเชิง”เจี้ยจื้อจายพูดอย่างมีความสุข
ความตั้งใจของเขาไม่เสียเปล่าแล้วในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง
“ศิษย์พี่”
จงหลิวชวนยิ้มและพยักหน้าให้