“ไม่ ไม่ ฉันไม่รู้เลย!” หมิงหยางพูดติดๆขัดๆเพราะความยินดี เขาอยากมีลูกมาตลอด
“ลูกว่าอะไรนะ?” จางซิวหยิ่งเดินเข้ามาในห้องหลังจากที่ได้ยินคําพูดของหวังเย้า
“พี่สาวของลูกท้องท้องแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ”
เมื่อได้ยินข่าวดี ทั้งครอบครัวต่างพากันยินดี มันเป็นเรื่องน่ายินดีที่พวกเขาไม่คาดคิด
“เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?” ตู้หมิงหยางไม่ได้ถาม แต่เป็นแม่ของหวังเย้าที่ถาม
“เอ่อ ผมไม่ได้มีสายตาเอ็กซ์เรย์นะครับถึงจะมองออก คงมีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้”หวังเย้าพูดกลั้นหัวเราะ
“แม่ จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงผมก็รักทั้งนั้นครับ” ตู้หมิงหยางรีบพูด เขาไม่ได้มีความคิดล้าหลังแบบนั้น
“ผมขอตรวจดูหน่อยนะ ว่าพี่ต้องบํารุงอะไรบ้าง” หวังเย้าพูด
“โอเค พี่นั่งตรงนี้เลย”
หวังเข้าจับชีพจรของพี่สาว
“ไม่มีปัญหาอะไร ร่างกายของพี่สมบูรณ์ดี แล้วเด็กก็ไม่มีอะไรผิดปกติ พี่สบายใจได้”
“แล้วฉันต้องใส่ใจอะไรเป็นพิเศษไหม?”
“ลองหาข้อมูลดูในอินเตอร์เนตก็ได้ ในนั้นมีข้อมูลเยอะมาก” หวังเย้าพูด แต่เขาก็ยังแนะนําบางเรื่องที่พี่สาวของเขาต้องระวัง
“ไม่ต้องทํากับข้าวแล้ว แม่จะทําเอง” จางซิวหยิงพูด
“แม่ เสี่ยวเย้าเพิ่งบอกไม่ใช่เหรอว่ามันยังไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ํา แล้วกิจกรรมเล็กๆน้อยๆก็ยังทําได้อยู่?” หวังรุ่ยพูด
“ไม่ได้
“ผมช่วยเอง” หวังเย้าพูด “พี่ไปนั่งพักเถอะ”
หวังรุ่ยทําตามที่เขาบอก เธอรู้สึกว่าตัวเองกําลังถูกปกป้องราวกับตัวเองเป็นแพนด้ายักษ์อย่างไรอย่างนั้น แม้แต่นําอาหารขึ้นโต๊ะเธอก็ยังถูกห้ามไม่ให้ทํา
“คุณกําลังทําอะไรน่ะ?” เธอรู้สึกหงุดหงิด ทั้งที่เธอยังท้องได้ไม่ถึงสองเดือน
“ไม่ได้นะที่รัก ฟังผมเถอะ” ตู้หมิงหยางพูด “ช่วงตั้งครรภในสามเดือนแรกคุณต้องคอยระวังไม่ให้เกิดอันตรายเด็ดขาด”
“จะให้ฉันลางานสามเดือนเลยไหม? ไม่สิ หรือต้องลาเก้าเดือนเพื่อดูแลตัวเองกับลูกอยู่ที่บ้านดีล่ะ?”
“ไหนๆพี่ก็พูดขึ้นมาแล้ว ผมว่าก็ดีเหมือนกันนะ อาทิตย์หน้าพี่ก็ไปลางานกับเจ้านายเลยสิ”หวังเย้าเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่ต์หมิงหยางกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง
“ตูหมิงหยาง คุณกําลังคิดอะไรอยู่?” หวังรุ่ยหน้าเปลี่ยนสี เธอทนอยู่แต่ในบ้านโดยที่ไม่ทํางานไม่ได้หรอกแล้วการออกกําลังเบาๆก็ส่งผลดีต่อพัฒนาการและการเติบโตของเด็กในครรภด้วย
“ไม่ว่าคุณต้องการอะไร ผมก็จะตามใจคุณ” เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของภรรยาตู้หมิงหยางก็รีบรับปากทันที
“เอาล่ะ มากินข้าวกันดีกว่านะ หมิงหยางพูดแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นห่วงลูกนะ”จางซิวหยิงพูด
ทั้งครอบครัวต่างยินดี หวังเฟิงฮวาดื่มเหล้ามากขึ้นอีกสองแก้ว และตูหมิงหยางก็ดื่มเป็นเพื่อนเขาอย่างกระตือรือร้น
พวกเขาจะนอนค้างคืนที่นี่และกลับบ้านวันพรุ่งนี้ อีกอย่างมันก็เป็นวันอาทิตย์ด้วย
อีกหนึ่งอาทิตย์ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หวังเย้าคิด
หลังมื้ออาหาร เขาก็โทรหาซูเสี่ยวซวี เขาคิดถึงเธอมาก
มันเป็นความรู้สึกพิเศษ เมื่อมีใครคนหนึ่งให้เราได้คิดถึง
ในหมู่บ้าน เจี้ยจื้อจายกับหูเหมยก็มีความสุขเช่นเดียวกัน พวกเขาดื่มเหล้าหมดไปสองขวดเพื่อเป็นการฉลอง
เมื่อค่ามาเยือน เจี้ยจื้อจายก็ออกไปวิ่งกับจงหลิวชวน จงหลิวชวนยังสอนวิธีการหายใจที่เรียนรู้มาจากหวังเย้าให้เขาด้วย
เจี้ยจื้อจายเป็นคนฉลาดเขารู้ว่าสิ่งที่ดูผิดแปลกมักเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆอย่างเช่นตํานานเซียนในลัทธิเต๋ก็เริ่มต้นจากการฝึกการหายใจเช่นเดียวกันเขาฟังอย่างตั้งใจเพื่อจดจําทุกคําพูดเอาไว้ในใจ
เมื่อเห็นเขาจุดบุหรี่อีกมวน จงหลิวชวนก็พูดว่า “เชียนเชิงไม่สูบบุหรี่ฉันอยากแนะนําให้นายสูบน้อยลงเวลาที่เขาอยู่ด้วย”
“ได้สิ ฉันจะจําเอาไว้” เจี้ยจื้อจายเก็บบุหรี่ใส่กลับลงไปในซอง เขาค่อนข้างเสพติดการสูบบุหรี่เป็นเพราะงานที่เขาเคยทําก่อนหน้านี้ และการสูบบุหรี่ก็ช่วยลดความกดดันไปได้มาก
“เย็นนี้นายว่างมากินข้าวที่บ้านฉันไหม?” เขาถาม
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ อันซินจะกลับมาวันนี้ ฉันต้องอยู่เป็นเพื่อนเธอ” จงหลิวชวนพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ชวนเธอมากับนายสิ” เจี้ยจื้อจายพูด “หูเหมยจะเป็นคนทําอาหารให้เราเอง”
“เอ่อ…”
“จะมาเอ่อทําไมอีก เป็นอันว่าตกลงแล้วนะ”
“ก็ได้ ขอบคุณ”
“เฮ้ย เราอยู่หมู่บ้านเดียวกันนะ ไม่จําเป็นต้องเกรงใจกันหรอก”
พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ท้องฟ้าเริ่มมืด พระจันทร์ดวงโตส่องสว่าง
หลังสามทุ่ม หวังเย้าก็ออกจากบ้านเพื่อกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานระหว่างทางที่เขาเดินขึ้นเขานั้นเงียบสงัดแม้แต่เสียงของแมลงก็ยังไม่มีหลังอากาศหนาวเย็นลงก็มีแมลงที่ยังออก หากินอยู่ไม่มาก
เพียงพริบตาเดียว เขาก็ไปได้ไกลกว่า 20 เมตร มันเป็นเหมือนความสามารถในตํานานที่ก้าวข้ามแผ่นดินด้วยหนึ่งฝ่าเท้า หลังจากนั้นสักพักเขาก็มาถึงบนเนินเขาหนานชาน
“ซานเซียน?”
ซานเซียนหมอบอยู่ในบ้านสุนัข มันกําลังมองท้องฟ้า ใคร่ครวญถึงบางสิ่ง แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร
“นายกําลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”
โฮ่ง!
หา?
ดาวตกวาดผ่านท้องฟ้าไป
“ขอพรอยู่สินะ” หวังเย้ายิ้มแล้วลูบหัวของมัน
โฮ่ง!
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะเป็นวันที่แดดออก” หวังเย้าหัวเราะ ซานเซียนยังคงมองท้องฟ้าอยู่เช่นเดิมราวกับไม่ได้ยินที่หวังเย้าพูด
“นี่ ซานเซียน หรือว่านายก็มองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าออกเหมือนกัน?” หวังเย้าที่เดินไปถึงประตูอยู่ๆก็หยุดชะงักแล้วหันไปถามซานเซียน
“นี่มันจะไม่พิลึกเกินไปหน่อยเหรอ?”
หวังเย้าเดินกลับไปหาซานเซียนและมองดูมัน
“ซานเซียน นายเห็นอะไรเหรอ?”
โฮ่ง!โฮ่ง! ซานเซียนเฮ้าสองครั้ง มันยกองเท้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นายเข้าใจจริงๆเหรอ?”
“เอาล่ะ อยากทําอะไรก็ทํา ราตรีสวัสดิ์”หลังนั่งอยู่กับเจ้าสุนัขโตเร็วของเขาได้สักพักหวังเย้าก็กลับเข้าบ้านและอ่านคัมภีร์เต๋หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ปิดไฟแล้วเข้านอน
ในหมู่บ้าน ที่บ้านของหวังเย้า
“ที่รัก คุณคิดเรื่องชื่อของลูกเอาบ้างแล้วรึยัง?”
“มันสามทุ่มครึ่งแล้วนะ นอนได้แล้ว”
“ชื่อ ตู้จ่อเถิง เป็นยังไง?” (ตู้จ่อเถิง มีเสียงคล่องจองกับคําว่า ปวดท้อง ในภาษาจีน)
“ไม่ดี คุณดื่มเยอะแค่ไหนเนี้ย? ถ้าจะตั้งชื่อว่าผู้จอเถิง ทําไมไม่ตั้งว่า ตู้จอพ่างไปเลยล่ะ?”(ต้ชื่อพ่างมีเสียงคล่องจองกับค่าว่า อ้วน ในภาษาจีน)
“ผมชอบเด็กผู้หญิง ถ้าลูกคนแรกของเราเป็นผู้หญิงคงจะดี แล้วจากนั้นก็มีลูกคนที่สองต่อ”
“แล้วถ้าลูกคนที่สองเป็นผู้หญิงอีกล่ะ?”
“ผมยังไงก็ได้ เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงก็ไม่ต่างกัน”
พวกเขานอนคุยกันอยู่บนเตียงไปจนกระทั่งสี่ทุ่ม หวังรุ่ยทนง่วงไม่ไหวและต้องการนอน
“ผู้หญิงท้องจําเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอนะ”
“ได้ๆ ผมไม่พูดแล้ว คุณพักผ่อนเถอะ” คําพูดของเธอได้ผลเป็นอย่างดีแล้วดูหมิงหยางก็รีบหุบปากทันที
ค่ําคืนผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบ
ตอนเช้า มีคนมาที่คลินิกไม่มาก เวลาประมาณ 11 โมงใกล้ถึงเวลาพักทานอาหารกลางวันมีรถป้ายทะเบียนต่างเมืองขับเข้ามาในหมู่บ้านและจอดที่ด้านนอกคลินิก
“พ่อ ถึงแล้วครับ”
มีสามคนลงมาจากรถ สองคนเคยมาที่คลินิกแล้วสองครั้ง หนึ่งในพวกเขายังเคยเดินไปรอบหมู่บ้านพร้อมกับของขวัญ และพยายามซื้อให้หวังเข้าไปรักษาคนไข้ที่บ้านคนที่สามเป็นชายชราที่สีหน้าย่าแย่เขาสวมเสื้อผ้าหลายชั้นรวมไปถึงเสื้อคลุมตัวใหญ่และหมวกไหมพรมเขาดูหวาดกลัวกับความหนาวแต่ละย่างก้าวไม่สม่ําเสมอและจําเป็นต้องมีคนคอยช่วยพยุง
“ช้าๆครับ”
ทั้งสองคนคอยช่วยพยุงชายชราให้เดินเข้าไปด้านในคลินิก เป็นความบังเอิญที่ด้านในไม่มีคนไข้อยู่เลยทําให้พวกเขาไม่จําเป็นต้องรอคิว
“สวัสดีครับ หมอหวังขอโทษที่ต้องมารบกวนอีกครั้งนะครับ” ชายวัยกลางคนพูด
“ช่วยตรวจพ่อของผมที เขามักจะปวดหัวอยู่ตลอด อาการของเขาเริ่มแย่ลงเรื่อยๆโดยเฉพาะช่วงที่อากาศหนาวแบบนี้ มันเจ็บจนทําให้เขากินข้าวหรือนอนหลับไม่ได้เลย”
อยู่ๆชายชราก็ตัวสั่นขึ้นมา ราวกับจะยืนยันคําพูดของลูกชาย เขาใช้มือทั้งสองข้างกุมศีรษะสีหน้าของเขาดูเจ็บปวดอย่างมากเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นตามกรอบหน้าของเขา
“พ่อ” ชายวัยกลางคนรีบเข้าไปพยุงให้พ่อของเขานั่งลง
“ขออนุญาตนะครับ”
หวังเย้าหยิบเข็มเงินออกมาจากกระเป๋า และแทงลงไปบนศีรษะของชายชราอย่างแม่นยําและมั่นคงเข็มหนึ่งเล่มทําให้อาการปวดศีรษะของชายชราหายไปในทันทีรวมทั้งอาการตัวสั่นของเขาก็หายไปด้วยเช่นกัน
“มันไม่เจ็บแล้ว!” ชายชราประหลาดใจ
“จริงเหรอครับ?” ชายวัยกลางคนประหลาดใจเช่นเดียวกัน หลังจากแทงเข็มลงไปเพียงเล่มเดียวความเจ็บปวดก็หายไปในทันที มันน่าอัศจรรย์ใจมาก
“แค่ชั่วคราวเท่านั้นครับ” หวังเย้าพูด
สมองของชายชราถูกความเย็นเข้าเล่นงาน เข็มเงินสามารถหยุดความเจ็บปวดไว้เพียงชั่วคราวแต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
“หมอรักษาได้ไหมครับ?”
“ได้ครับ” หวังเย้าพูด
มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะรักษาอาการป่วยของชายชรา ซึ่งนั่นก็คือการขับความเย็นออกจากสมองของเขา
“เยี่ยมไปเลย! ได้โปรดช่วยรักษาพ่อของผมด้วย”
“เขาจําเป็นต้องกินยา แล้วยาก็ไม่ใช่ถูกๆด้วย!”