903 แม้แต่หนูก็ยังแสดงสีหน้าได้
“ลุงคิดวิธีอะไรได้เหรอครับ?”
“สํามะโนครัวครับ”เสวี่ยซินหยวนพูด“ผมตรวจสอบดูแล้วการเก็บข้อมูลสํามะโนครัวในหุบเขาพันโอสถครั้งสุดท้ายเป็นเมื่อ 15 ปีที่แล้วด้วยสาเหตุบางอย่างทําให้หลังจากนั้นไม่มีการเก็บข้อมูลสํามะโนครัวอีกเลยมันเหมือนกับว่าหุบเขาพันโอสถหายไปเฉยๆจนเมื่อเกิดคดีขึ้นหุบเขาพันโอสถถึงได้กลับมาอยู่ในสายตาของคนภายนอกอีกครั้ง”
“สํามะโนครัว วิธีนี้ถือว่าใช้ได้แต่เขตเหอไม่ได้มีหน้าที่จัดการเรื่องพวกนี้”กั๋วเจิ้งเหอพูด “เราคงต้องหาวิธีเอาข้อมูลนี้มาจากทางจังหวัด”
“คุณชายลองถามเรื่องนี้ดูสิครับ”เสวี่ยซินหยวนพูด“ช่วงนี้ ทางจังหวัดกําลังให้การสนับสนุนให้การแพทย์เข้าถึงหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลมันจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายใน
การส่งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้าไปในหมู่บ้านและเมืองขนาดเล็กโดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ตาม
ป่าเขา เพื่อให้บริการทางการแพทย์และเก็บข้อมูลประวัติการรักษาของคนในพื้นที่ห่างไกลสิ่งนี้
นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากสําหรับพวกเราเลยนะครับ”
“ใช่ นี่เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ”กั๋วเจิ้งเหอเห็นด้วย
อย่างน้อยๆพวกเขาก็จะสามารถหาได้ว่าภายในหมู่บ้านของพวกเขามีกันอยู่กี่คนและคนพวกนี้อายุเท่าไหร่กันแล้วจากนั้นก็นําข้อมูลนั้นมาเทียบกับข้อมูลสํามะโนครัวครั้งหลังสุดเท่านี้พวกเขาก็สามารถรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ได้แล้วแต่ก็มีปัญหาอยู่ที่นี่คือยูนนานใต้ตระกูลของพวกเขาไม่ได้มีเส้นสายอยู่ที่นี่มากนักเพราะระยะทางที่ห่างไกลจึงทําให้อํานาจของพวกเขามาไม่ถึงที่นี่
“ตอนนี้ ขอผมคิดดูก่อนนะครับ”กั๋วเจิ้งเหอพูด“ลุงติดตามข่าวของพวกเขาต่อได้เลยแต่ลุงต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วยนะครับ”
“ได้ครับ”
“ลุงเสวี่ยคงต้องลําบากลุงแล้วนะครับ”กั่วเจิ้งเหอพูดออกมาจากใจจริงตลอดระยะเวลาที่ติดต่อและร่วมมือกันมาเขาพบว่าเสวี่ยซินหยวนมีพรสวรรค์อย่างหาได้ยากเขามีทั้งมันสมองและความสามารถหลากหลายเขาไม่ใช่คนบุ่มบ่ามที่รู้แค่เรื่องใช้แรงเขาช่วยงานกั๋วเจิ้งเหอที่แทบจะตัวคนเดียวได้มากอีกทั้งเวลาก็ยังกระชั้นชิดมากด้วย
“คุณชายก็เหมือนกันครับ” เสวี่ยซินหยวนพูด
คนแบบเขาก็เหมือนกับคนที่ถูกเลี้ยงดูโดยเหล่าตระกูลใหญ่ ถ้าพวกเขาใช้เงินเพื่อเลี้ยงดูใคร สักคน คนเหล่านั้นก็จะสามารถช่วยเหลือพวกเขาในยามวิกฤตได้
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ คุณชาย”
“ครับ ลุงไปเถอะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ถ้ามีเรื่องอะไรก็มาหาผมได้เสมอนะครับ” “ครับ”
หลังจากที่เสวี่ยซินหยวนไปแล้ว กั๋วเจิ้งเหอก็ยังคงอยู่ต่อ เขาดื่มชาไปสองถ้วยในระหว่างที่กําลังใช้ความคิดอยู่
อายุมากกว่า 200 ปี? เป็นไปได้ยังไงกัน?
ถั่วเจิ้งเหอสงสัยว่าจะมีคนที่สามารถอยู่มาอย่างยาวนานขนาดนั้นได้ยังไงเมื่อดูเวลาแล้วเขาก็ออกจากร้านน้าชาและกลับไปที่ที่ทํางานของเขา เขาโทรหาพ่อของเขาและบอกเล่า
สถานการณ์คร่าวๆให้อีกฝ่ายฟัง
“เข้าใจแล้ว” ปลายสายตอบกลับมาง่ายๆแค่สามค่า
“อยู่ทางนั้นก็ระวังตัวด้วยรีบถอนตัวออกมาทันทีที่รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย”“ครับผมเข้าใจแล้วครับพ่อ” กั๋วเจิ้งเหอพูด“พ่อก็ระวังเรื่องสุขภาพด้วยนะครับ”“อืมแค่นี้นะพ่อยังมีประชุมต่ออยู่”
“ครับ”
บทสนทนาระหว่างพ่อลูกสั้นกระชับ แค่พูดกันเข้าใจก็เพียงพอแล้ว
เขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม!ถั่วเจิ้งเหอหัวเราะ
พ่อของเขาเป็นคนเข้มงวดและน่ากลัว แต่กลับห่วงใยเขาอยู่เสมอ เพียงแต่วิธีการแสดงออกถึงความใส่ใจของเขาออกจะแปลกอยู่บ้าง
เรื่องแรกก็คือการยืนยันถึงความน่าอัศจรรย์ของสูตรยาลับในหุบเขาพันโอสถหากมันสามารถทําให้คนมีอายุได้ถึง 200 ปีจริง เขาจะต้องได้มันมาไม่ว่าต้องใช้วิธีการใดก็ตาม!ดวงตาของกั๋วเจิ้งเหอฉายแววโหดเหี้ยมวูบหนึ่ง
ตั้งแต่ในสมัยโบราณ ตั้งแต่จักรพรรดิลงไปจนถึงสามัญชน แทบจะทุกคนที่มีความฝันในการมี ชีวิตยืนยาวพวกเขาปรารถนาความเป็นอมตะโดยเฉพาะจักรพรรดิผู้ที่มีอํานาจยิ่งใหญ่อยู่ในกํามือพวกเขาครอบครองโลกทั้งใบเอาไว้แล้วต่อจากนั้นก็คือการคิดหาวิธีที่พวกเขาจะสามารถอยู่กับอานาจนี้ไปนานนับพันปีมันจะเป็นการดีที่สุด หากพวกเขาสามารถอยู่กับอํานาจได้ตราบนานเท่านานสิ่งสําคัญของทุกสิ่งอย่างก็คือสุขภาพร่างกายของพวกเขาและนั่นก็เป็นสาเหตุของเรื่องราวที่จักรพรรดิฉินได้ส่งเสวี่ยฟูตงให้ออกไปตามหาน้ําอมฤตแห่งชีวิตในเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่จักรพรรดิองค์เดียวเท่านั้นแต่เป็นจักรพรรดิเกือบทุกคนที่ทําแบบนั้นเพียงแต่เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เท่านั้น
ความเป็นอมตะ!กั๋วเจิ้งเหอถอนหายใจ
ใครบ้างที่จะไม่หวั่นไหว?
ในตัวจังหวัดของยูนนานใต้
“อะไรนะ? ต้องไปอีกแล้วเหรอครับ?”หยางกวนเฟิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“คุณไม่ต้องเกาหัวหรอก”ชายวัยกลางคนหัวล้านครึ่งศีรษะพูด “ทางเบื้องบนเจาะจงให้เป็นคุณโดยเฉพาะเลย”
“ไม่นะ เดี๋ยวก่อนสิหัวหน้า ทําไมล่ะ?”
“คุณไม่รู้เหรอ? นี่มันเรื่องใหญ่มากมีคนตายไปถึง 19 คนแล้วถ้ามันเกิดขึ้นอีกล่ะ?หรือต้องให้ทางกระทรวงส่งคนมาที่นี่ก่อน?”
“พวกเขา?”
“หึม ทําสีหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง? คุณคิดว่าไม่มีใครเทียบคุณได้งั้นเหรอ?”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“เอาล่ะ คุณรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุดคราวนี้พาเสี่ยวหลู่ไปด้วย ยังไงพวกคุณก็นับได้ว่าเคยร่วมงานกันมาก่อน”
“เขากลับมาแล้วเหรอครับ?”
“เขาเพิ่งกลับมาไม่นานนี้เอง”
“ได้ครับ กลับไปที่นั่นอีกรอบแล้วกัน” หยางกวนเฟิงพูด
เขาไม่ชอบหุบเขาพันโอสถเลยครั้งล่าสุดที่ไปที่นั่นมันทําให้เขารู้สึกแบบนั้นพวกเขาทั้งสองถูกพิษจนเกือบตายที่มากไปกว่านั้น เดี๋ยวซีเหอที่ภายนอกดูเหมือนจะคอยช่วยเหลือพวกเขามันกลับทําให้พวกเขารู้สึกรังเกียจหยางกวนเฟิงไม่อยากจะคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยสักนิด
ในสถานที่ที่ปลีกตัวออกจากโลกภายนอก ที่ที่เขาเป็น “ผู้ปกครอง” มีใครบ้างที่กล้าต่อว่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าเขายิ่งไม่ต้องพูดถึงคนจากด้านนอกเลย?ถึงตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่ที่นั่นและเขตเหอแล้วแต่เขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆเขาทุ่มแรงกายไปกับการตรวจสอบคดีที่เกิดขึ้นและตรวจสอบเรื่องหุบเขาพันโอสถอยู่ตลอดแต่ข้อมูลของสถานที่แห่งนั้นกลับมีอยู่น้อยนิดแม้แต่ข้อมูลสํามะโนครัวที่เก็บครั้งล่าสุดก็นานกว่าสิบปีแล้วข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากคนอื่นเขาเดินทางไปสอบถามตามหมู่บ้านต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง
กับหุบเขาพันโอสถ แต่คนส่วนใหญ่กลับพยายามเก็บเรื่องสถานที่แห่งนั้นเป็นความลับ
ท้ายที่สุด ทุกอย่างก็ตอบแทนให้กับคนที่พยายามอย่างหนักเขาได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์จาก
คนแก่บางคนที่ใกล้ลงโลงแล้ว
คนในหุบเขามีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้ยารักษาและยาพิษ ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว
สถานที่แห่งนั้นส่งต่อความรู้กันจากรุ่นสู่รุ่น หุบเขาพันโอสถเป็นเหมือนกับหุบเขาราชาโอสถที่ถูกเขียนไว้ในนิยายผู้นํามักเป็นคนที่มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดนั่นก็หมายความว่าเมี่ยวซีเหอที่เขาพบหน้าหลายครั้งในหุบเขาพันโอสถก็คือคนที่มีความสามารถในการรักษาที่เหนือชั้นจากข้อมูลที่เขาได้รับมาคนในหมู่บ้านสามารถรักษาโรคที่รักษาได้ยากและโรคระยะสุดท้ายหรือแม้แต่โรคที่รักษาไม่ได้แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมของพวกเขาด้วย ฝีมือการรักษาของเมี่ยวซีเหอถือได้ว่าสูงที่สุดในหุบเขาและความสามารถในการใช้พิษของเขาก็ยังแข็งแกร่งที่สุดด้วย
คนแบบนั้นกลับยินยอมหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ เขาอาจเป็นฤๅษีจริงๆหรือไม่ก็
มีแผนการใหญ่อยู่ในใจ ด้วยภาพลักษณ์ของเขาที่ดูไม่เหมือนฤๅษีแม้แต่น้อย
“ฉันไม่อยากไปเลยจริงๆ” หยางกวนเฟิงถอนหายใจ
“ทําไมคุณถึงไม่อยากไปล่ะ?” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องทํางานเขาอยู่ในวัยสามสิบเขาดู
มอซอและคาบบุหรี่เอาไว้ที่ปาก
“คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”
“ผมกลับมาได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว” เขาพูด “ทําไมคุณถึงไม่อยากไปหุบเขาพันโอสถเหรอ?”
“ผมแค่ไม่อยากไปก็เท่านั้น” หยางกวนเฟิงพูด
“ผมได้ยินมาว่าทิวทัศน์ที่นั่นสวยใช่ได้เลย” เขาพูด “มีสาวๆสวยๆบ้างไหม?”
“เฮ้อ ผมไม่อยากคุยกับคุณเลยคุณพูดทีไรก็มีแต่เรื่องผู้หญิงตลอด!”หยางกวนเฟิงเอามือปิดหน้าในตอนที่พูด
“เราต้องขับรถกันหลายชั่วโมงจนกระดูกแทบแตกสลาย พอไปถึงที่นั่นมันก็ทําให้เรารู้สึกแปลกๆด้วย”
“แล้วสาวๆล่ะ?” เพื่อนร่วมงานของเขาถามด้วยน้ําเสียงจริงจัง
“เอ่อ ผมไปสืบเรื่องคดี เลยไม่ได้สนใจเรื่องนั้นน่ะ” หยางกวนเฟิงตอบ
“อะไรกัน? แม้แต่จะดูว่าสาวๆที่นั่นสวยหรือไม่สวยก็ยังไม่ได้ดูเลยเหรอ? คุณไม่คิดว่าแบบนั้น
มันไม่เท่ากับเป็นความล้มเหลวเหรอ?”
“หลู่ซิ่วเฟิง เลิกเล่นได้แล้ว” หยางกวนเฟิงพูด “ถ้าคุณชอบพวกหล่อนจริงๆ ทําไมถึงยังไม่แต่งงานสักทีล่ะ?”
“ดอกไม้งามมีมากเกินไป แล้วผมจะเลือกดอกใดดอกหนึ่งได้ยังไง?”
“พอเถอะ ถึงยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก” หยางกวนเฟิงจุดบุหรี่ “เฮ้อ ผมไม่อยากคุยกับคุณแล้ว”หลู่ซิ่วเฟิงพูดแล้วถอนหายใจ“คุณไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลยแล้วยังชอบพูดจี้จุดคนอื่นด้วย”“คุณหาเรื่องเองต่างหาก”หยางกวนเฟิงพูด
“เฮ้อ พูดตามตรง ผมอยากลองไปดูที่นั่นสักครั้ง” หลู่ซิ่วเฟิงหรี่ตา “ท้ายที่สุดแล้วแซ่ของพวกเขาทุกคนก็คือเดี่ยว”
ในหมู่บ้านกลางเขาที่ไกลออกไปหลายพันไมล์
ด้านในคลินิก
“ทําไมถึงมีเวลาแวะมาที่นี่ได้ล่ะครับ? เรื่องการขายยาเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม“ในเมื่อตัวยาถูกผลิตออกมาได้และเขียนเชิงยังบอกว่ามันมีประสิทธิภาพดีการขายไม่มีปัญหา
แน่นอนครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”
การผลิตยาชุดแรกประสบความสําเร็จด้วยดี ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี งานที่ตามมาก็คือการเตรียมการสําหรับการขายสินค้า อย่างที่เขาพูดไปเรื่องพวกนั้นไม่จําเป็นต้องกังวลเลยเพราะนี่คือสูตรยาที่ได้มาจากหวังเย้าในเรื่องนั้นเขาเชื่ออย่างหมดใจ
“เชียนเชิง ได้คิดเอาไว้รึยังครับว่าจะทํายาอะไรเป็นสินค้าตัวต่อไป?” นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาเยี่ยมเยือนของเจิ้งเหว่ยจวินเดียว
โรงงานผลิตยาที่มีการลงทุนด้วยเงินจํานวนมหาศาล ไม่มีทางที่จะผลิตยาออกมาแค่ชนิด“ผมขอคิดดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
เขามีสูตรยาอยู่สองตัวในใจแล้ว เขาแค่ต้องเลือกอันใดอันหนึ่งมา ตัวหนึ่งมีฤทธิ์ขับความร้อนและบรรเทาอาการเจ็บปวดส่วนอีกตัวมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดการอุดตันของ
เส้นเลือด ทั้งสองล้วนอยู่ในรูปแบบของของเหลว
“อ๋อ ได้ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพยักหน้า
หลังจากพูดคุยได้สักพัก เขาก็กลับไป เขายังมีงานสําคัญที่ต้องทํา มันจําเป็นต้องใช้เส้นสายของเขาเพื่อเร่งการโฆษณาตัวยาให้กระจายออกไปได้เร็วขึ้น
“ไม่รีบ ไม่รีบ” หวังเย้าพูดเสียงเบา
ที่บ้านของเจี๋ยจื้อจาย
“นี่ ภรรยา ดูสิ ยาที่เชียนเชิงให้พวกเรามามันได้ผลล่ะ” เจี๋ยจื้อจายพูด “นายทําอะไรน่ะ?แล้วไปเอาหนูมาจากที่ไหน?” เมื่อหูเหมยเดินเข้ามาในห้องเธอก็พบว่า
สามีของเธอกําลังจ้องกรงที่วางอยู่บนโต๊ะ ภายในกรงมีหนูอยู่ตัวหนึ่ง
“ฉันจับมันมา ฉันต้องลงแรงไปเยอะเลยนะ”
“ที่วันนี้ออกไปข้างนอกก็เพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ?” หูเหมยถาม “นายคงไม่ได้โดนมันกัดใช่ไหม?”
“เปล่า แต่ถึงจะโดนกัดก็ไม่เป็นไรหรอก” เจี๋ยจื้อจายตอบ “เชียนเชิงบอกว่า ตอนนี้พวกเราแข็งแกร่งแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แต่หนูตัวนั้นมันอาจเป็นพาหะของโรคระบาดได้ มันไม่นับว่าเป็นพิษใช่ไหม?”“พูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่?”เจี๋ยจื้อจายถาม“หนูมันกลัวคนขนาดฉันยืนอยู่ตรงนี้ มันยังกลัวฉัน
เลย!” หูเหมยกรอกตาใส่เขา
“ไม่ มันต่างกัน เธอมองดูตาของมันสิทั้งท่าทางและสีหน้าของมันด้วย”เจี๋ยจื้อจายชี้ไปที่หนูในกรง
“ตา? ท่าทาง? หนูมันแสดงสีหน้าได้ด้วยเหรอ?”
“สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแสดงสีหน้าได้ทั้งนั้นแหละ”เจี๋ยจื้อจายพูด “ฉันเคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญพูดตอนที่ฉันดูรายการ‘มนุษย์และธรรมชาติมาสิลองมานั่งดูใกล้ๆ”หูเหมยยอมแพ้และเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นก็นั่งดูหนูที่อยู่ในกรง
เขาพูดถูก หนูตัวน้อยเอาแค่วิ่งไปมาอยู่ในกรง เห็นได้ชัดว่ามันต้องการหนีเธอยังสังเกตเห็นสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อยของมันด้วย