928 ฝึกฝนท่ามกลางหิมะ
“ก็แค่ยาบํารุงกําลังก็เท่านั้น”เหล่าหลี่ตอบ“มันเป็นยาที่มีฤทธิ์บํารุงเหมือนกับพวกโสมแต่ผมว่ามันดีกว่านั้นมาก
“แล้วผมจะไปซื้อได้จากที่ไหนเหรอ?” ชายชราอีกคนถาม
“ที่เหรินเหอคลินิกที่เสี่ยวพันทํางานอยู่ ยาตัวนี้ชื่อ ซุปเสี่ยวเผยหยวน”
“ดี ช่วงนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่”ชายชราอีกคนพูด“แค่ออกแรงนิดๆหน่อยๆก็หอบแล้วผมจะลองซื้อมากินดูสักขวดแล้วดูว่ามันจะได้ผลดีรึเปล่า”
“ลองดูเลย ลองได้กินไปสักขวดก็จะรู้เอง”เหล่าหลี่พูด“ทําไมเหมือนคุณกําลังโฆษณาให้คนอื่นอยู่เลยล่ะ?”ชายชราอีกคนล้อ
“ไฮ้ ระวังคําพูดด้วย คุณไม่รู้เหรอว่าผมเป็นคนยังไง?”เหล่าหลี่ไม่พอใจที่ได้ยินแบบนั้น“ผมเป็นคนที่พูดเรื่องที่ผมเชื่อเท่านั้น”
“นั่นก็จริงพี่หลี่ของพวกเราเคยหลอกลวงใครซะที่ไหนล่ะ?แล้วลูกชายกับลูกสาวของเขาก็มีหน้าที่การงานดีดีทั้งนั้นเขาไม่ขาดเงินทองอยู่แล้ว”
เหล่าคนชราทั้งหลายล้วนเป็นคนที่เกษียณจากการเป็นข้าราชการ ด้วยกฎหมายที่ดีทําให้พวกเขาได้รับเงินบํานาญค่อนข้างสูงในแต่ละเดือนพวกเขาจะได้รับเงินจํานวน 5,000 – 6,000 หยวน พวกเขาใช้เงินไปกับอาหารการกินและเสื้อผ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนแบบพวกเขาต่างก็ชอบซื้อของบํารุงร่างกายมาเพื่อบํารุงสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อที่จะได้ลดภาระให้กับลูกๆ
ของพวกเขา
หลังจากออกกําลังกายนอกบ้านได้สักพัก เหล่าหลี่ก็กลับบ้านและเห็นข้าวของวางอยู่ที่โต๊ะ
“ใครมากัน?”
“ลูกชายของคุณน่ะสิ” ภรรยาของเขาเดินออกมาจากห้อง “เขามารอคุณอยู่นานแล้วเพิ่งจะกลับไปไม่นาน”
“แล้วนี่อะไรเหรอ?”
“ยาบํารุง เขาบอกว่าเอาไว้ให้คุณบํารุงร่างกาย”
“ไม่เห็นจําาเป็นเลย” เหล่าหลี่โบกมือปฏิเสธ “ตอนนี้ พอมีเงินแล้วเขาก็ไม่รู้แม้กระทั่งรากเง้าของตัวเอง!”
“จิ๊ นี่เป็นการแสดงความกตัญญูของลูกนะแล้วเขาก็เป็นห่วงคุณด้วย ทําไมถึงไม่รู้สึกขอบคุณกันบ้าง!”ภรรยาของเขาไม่พอใจกับท่าทีของเขา“เขาแค่ถามว่าคุณกินยาไปแล้วเป็นยังไงบ้างเท่านั้น คุณต้องเปลี่ยนนิสัยขี้โมโหของตัวเองได้แล้วนะ!”
“ก็ได้ๆ ผมรู้แล้ว”เหล่าหลี่โบกมือไล่เธอ
ค่ำคืนเงียบสงัด
บนเนินเขาหนานชานหวังเย้ายืนอยู่ตรงแปลงสมุนไพรและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“พรุ่งนี้หิมะจะตก”เขาพูดพึมพํากับตัวเอง
สุนัขตัวโตยืนอยู่ข้างเขาและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่เช่นเดียวกัน
“ซานเซียน นายเห็นอะไรไหม?”
โฮ่ง! ซานเซียนเห่าตอบเขา
ฮาฮา หวังเย้ายิ้มและตบหัวของมัน
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาในช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่เริ่มแรกมันไม่ได้ตกลงมามากนัก แต่เมื่อถึงเวลา 7 โมงเช้าเกล็ดหิมะหนาๆก็เริ่มโปรยลงมาเป็นสัญญาณของหิมะที่เริ่มตกหนักมากขึ้น“เฮ้อหิมะตกอีกแล้ว!” เจี๋ยจื้อจายตื่นขึ้นมาแต่เช้าการตื่นแต่เช้าเพื่อไปฝึกฝนกลายเป็นนิสัยที่พวกเขาทําเป็นประจําตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้าน ไว้ว่าจะเป็นวันฝนตกหรือแดดออกก็ตามที“ไปกันเถอะภรรยา”เขาส่งเสียงตะโกนเรียก
“มาแล้ว”
ทั้งสองเดินออกจากประตูบ้าน เพื่อเผชิญกับลมหนาวและหิมะ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เจอกับจงหลิวชวนทั้งสามคล้ายนัดกันมาก่อนล่วงหน้า
“การที่หิมะตกก็หมายความว่า ปีนี้ผลผลิตจะดี” จงหลิวชวนพูด “ปีหน้าก็จะดีเหมือนกัน”“ใช่ฉันเห็นด้วย”เจี๋ยจื้อจายพยักหน้า
ทั้งสามเดินฝ่าหิมะกับลมเย็น และพากันขึ้นไปบนเนินเขาตงชาน
“หิมะเยอะมาก!”
เมื่อยืนอยู่บนเนินเขาตงชานพวกเขาก็เห็นแต่หิมะขาวโพลน
โลกได้กลายเป็นที่ขาวและราวกับถูกสตัฟฟ์ไว้
“นี่มันเป็นภาพที่งดงาม เหมาะกับเหล้าต้มสักกาจริงๆ” เจี๋ยจื้อจายปรบมือ
“คิดได้แต่เรื่องดื่ม” หูเหมยกรอกตาใส่เขา
“มาเริ่มกันเถอะ” จงหลิวชวนพูด
ทั้งสามฝึกฝนอยู่ท่ามกลางลมและหิมะ
หิมะตกลงใส่ศีรษะและร่างกายของพวกเขาและยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสามนั่งนิ่งอยู่ที่พื้นโดยไม่สนใจหรือมองสิ่งรอบข้าง
รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงของหิมะที่ตกลงมาเท่านั้น
หลังจากผ่านไปนาน ร่างหนึ่งก็เห็นตัวผ่านหิมะที่อยู่บนเนินเขาหนานชาน
มันดูคล้ายกับเขากําลังบินอยู่เขาลอยตัวอยู่ในอากาศสองสามครั้ง ก่อนที่จะทะยานมาหยุดอยู่ตรงจุดที่ทั้งสามอยู่ด้านหลังไม่มีรอยเท้าของเขาฝังอยู่บนหิมะเลย
เขาสามารถวิ่งบนน้ำและเดินบนหิมะได๋โดยไร้ร่องรอย
เมื่อหวังเข้ามาถึงพวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนคนทั้งสามเขายืนมองพวกเขานิ่งๆ
หิมะตกเยอะมาก!
เขามองไปรอบๆ แล้วถอนหายใจกับตัวเอง
หลังจากนั้นสักพัก เจี๋ยจื้อจายก็เป็นคนแรกที่ลืมตา
ฮู้…..เขาหายใจออกเบาๆ
เมื่อครู่ ฟ้าดินเงียบสงัดและเขาก็สามารถเข้าสู่สมาธิได้อย่างง่ายดายเขารู้สึกว่าการฝึกฝนของเขาราบรื่นขึ้นมากพลังในกายของเขาหมุนวนและมีสัญญาณของการเพิ่มพูน
หูเหมยเป็นคนที่สองที่ลืมตาและจงหลิวชวนเป็นคนสุดท้าย
“เชียนเชิง”
“ดูเหมือนว่าวันนี้พวกคุณจะได้อะไรเยอะเลยนะครับ”หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ครับ วันนี้พวกเราได้อะไรเยอะเลย” เจี๋ยจื้อจายพูด
หลังจากบ่มเพาะอยู่ท่ามกลางหิมะ พวกเขาก็รู้สึกสบายกายและมีพลังขึ้นหลังจากที่ลืมตานี่อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่มีอยู่ในตํานานการบ่มเพาะหนึ่งวันเทียบได้กับการฝึกปกติถึง 10 วัน แต่สภาวะนี้ไม่สามารถคงอยู่ได้นานนักแต่เป็นโอกาสที่ไม่ได้มาง่ายๆ
“หิมะเยอะมาก!” เจี๋ยจื้อจายถอนหายใจ
“ลงเขากันเถอะครับ” หวังเย้าพูด
“เชียนเชิงสามารถเดินบนหิมะโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ได้ไหมครับ?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“เดินบนหิมะโดยไร้ร่องรอย?” หวังเย้ายิ้ม
“จริงสิ หลิวชวน คุณจะลองดูหน่อยไหม?”
“ผมเหรอ?” จงหลิวชวนตกตะลึงเมื่อได้ยินคําพูดของเขา
หวังเย้าสอนพวกเขาถึงวิธีการบ่มเพาะพลังฉีท่าเท้าและหมัดมวย ทั้งหมดนั้นล้วนมาจากตําราหมัดมวยโบราณเมื่อเชี่ยวชาญแล้ว พวกเขาก็ถือว่าไร้ขีดจํากัด
“ผมจะลองดูครับ” ร่างของจงหลิวชวนกลายเป็นภาพที่พล่ามัวครู่ต่อมาเขาก็โผล่ไปไกลถึง 3 เมตรบนหิมะยังคงมีรอยเท้าของเขาอยู่แต่เมื่อเขาขยับตัวเรื่อยๆรอยเท้าก็เริ่มจางลงราวกับว่าเขาตัวเบาขึ้น
“มันเป็นไปได้จริงๆด้วย!” เจี๋ยจื้อจายอุทาน
เขาไม่คิดว่า จงหลิวชวนจะสามารถเชี่ยวชาญความสามารถนี้ได้ เขาติดตามเชียนเชิงมานานแค่ไหนแล้ว?มันยังไม่ถึงหนึ่งปีเลยด้วยซ้ํา
“ไม่คิดเลย ว่าศิษย์พี่จะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้!” เขาถอนหายใจ
“เชียนเชิง?”
“ฮาฮา ไปกันเถอะ” หวังเย้าเคลื่อนไหวร่างกายของเขาลอยตัวราวกับใบไม้หรือเกล็ดหิมะแล้วอยู่ๆเขาก็ไปโผล่ในจุดที่ห่างออกไปไกลถึง 10 เมตร
“สมแล้วที่เป็นเชียนเชิง!”เจี๋ยจื้อจายอุทาน
ลูกศิษย์และอาจารย์พากันลงจากเขา หวังเย้าเดินไปที่คลินิก ส่วนลูกศิษย์ทั้งสามก็กลับบ้านของแต่ละคน
หิมะยังคงตกลงมาไม่หยุดในเวลานี้ที่หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งภาคเหนือ ในยูนนานใต้กลับสว่างเจิดจ้าด้วยแสงแดดอากาศอุ่นสบาย
อากาศดีแต่อารมณ์ของกั๋วเจิ้งเหอกลับไม่ได้ดีตามไปด้วยมีหลายเรื่องที่ยังไปไม่ถึงไหนแม้แต่ความช่วยเหลือที่ได้รับจากคนทั้งสองของหุบเขาพันโอสถพวกเขาก็ทําได้แค่บอกส่วนผสมของพิษได้แค่หนึ่งอย่างเท่านั้นถึงแม้จะไม่ได้มีการใช้พิษชนิดนี้ทั่วไปในยูนนานใต้แต่มันก็ไม่ใช่สมุนไพรที่หาได้ยากมันไม่ได้ยากหากเข้าไปหาดูตามในป่าเขา
“คุณชายครับให้ผมลองกลับไปดูที่หุบเขาพันโอสถอีกครั้งดีไหมครับเผื่อจะได้อะไรกลับมาบ้าง?”เสวี่ยซินหยวนถาม
“มันอันตรายเกินไปครับ”กั๋วเจิ้งเหอตอบ“จากบทเรียนที่เกิดขึ้นครั้งก่อนพวกเขาคงจะเตรียมพร้อมรับมือไว้ดีกว่าเดิมแน่แล้วหยางกวนเฟิงกับคู่หูของเขาก็เพิ่งกลับมาหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นคนในหมู่บ้านก็คงตื่นตัวกันมากอย่าไปเลยครับลองดูว่าจะได้ข้อมูลอะไรจากคนพวกนั้นก่อนดีกว่า”
“ได้ครับ”
ปัง!
หลังจากที่เสวี่ยซินหยวนออกไปแล้วกั๋วเจิ้งเหอก็ใช้ฝ่ามือทุบโต๊ะแรงๆหนึ่งครั้งความโกรธแสดงออกให้เห็นจากสีหน้าของเขา คนในปักกิ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แล้วตระกูลกั๋วนั้นเป็นตระกูลใหญ่ และแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่การงานที่มีหน้ามีตาคนที่อยู่ในตําแหน่งสูงล้วนคอยมองหาโอกาสที่จะโจมตีและการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องมีศัตรูทางการเมืองอยู่แล้วหลังจากที่รู้เรื่องคดีที่เกิดขึ้นศัตรูของเขาก็กระพือข่าวให้ใหญ่ขึ้นเขาถูกตั้งแง่มาตั้งแต่ที่เขาได้ตําแหน่งนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่แล้วดังนั้นเมื่อเขาได้รับตําแหน่งมาเขาจึงลงมือทําในหลายๆเรื่องซึ่งนับว่าเป็นความสําเร็จอย่างหนึ่งจึงทําให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาลงไปได้เพราะการจะหาเรื่องใครสักคนก็ต้องมีเหตุผลมากพอด้วยเขาได้แต่หวังว่าเขาจะสามารถไขคดีนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อลดแรงสะท้อนที่จะถูกส่งมาหาตัวเขาแต่คดีเก่ายังไม่คืบคดีใหม่ก็เกิดขึ้นอีกแล้วทันทีที่ศัตรูของเขารู้เรื่องนี้พวกเขาต้องไม่ปล่อยเอาไว้แน่
เขายังอายุน้อยเกินไป เขาไม่มีอํานาจมากพอในการควบคุมคน โดยเฉพาะอํานาจในการต่อต้านผลลบที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขาเมื่อเกิดความประทับใจที่ไม่ดีขึ้นครั้งหนึ่งก็ยากที่จะลบล้างมันออกไป
แต่การเดินในเส้นทางนี้ไม่มีทางให้ถอย ถ้าเขาถอยหนึ่งก้าวเขาก็จะถูกผลักให้ถอยไปอีกพันก้าวเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วพอ”
กรีก! เขาจุดบุหรี่
มันเป็นยามค่าคืนในจินเหมิน
“คุณเสงี่ย”
“นายไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหรอก”เสวี่ยซินหยวนพูด“เรียกฉันว่าเหล่าเสวี่ยหรือเรียกชื่อฉันก็
“ผมจะทําแบบนั้นได้ยังไงกันครับ? ถึงยังไงคุณก็คือคนที่ช่วยผมเอาไว้
“ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายสักหน่อย”
“เชิญถามมาได้เลยครับ”“นายรู้จักคนที่ชื่อ เมี่ยวชิงเฟิงกับเมี่ยวฉางหงรึเปล่า?”
“รู้จักครับ ผมยังรู้อีกด้วยว่า เดี๋ยวชิงเฟิงเป็นลูกศิษย์ของเมี่ยวซีเหอ ผู้นําคนปัจจุบันของหุบเขา แล้วยังเป็นหลานของเขาด้วย”
“หลาน?”
“ใช่ครับ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองค่อนข้างใกล้ชิดมาก เมี่ยวชิงเฟิงมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบดูแลเรื่องภายนอกหุบเขา พูดได้ว่าถ้ามีเรื่องให้ต้องไปจัดการข้างนอกเขามักจะเป็นคนที่ต้องออกไปจัดการอยู่เสมอส่วนเมี่ยวฉางหงเขาเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษของหุบเขาครับ” “ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษ?”เสวี่ยซินหยวนที่กําลังยกแก้วน้ำขึ้นมาต้องชะงักเมื่อได้ยินคําพูดของอีกฝ่าย
“ใช่ครับ ในหุบเขามีทั้งคนที่ศึกษาเรื่องการรักษาและการทําร้ายคนอยู่ ในหมู่คนเหล่านี้เดี๋ยวซีเหอก็คือคนที่ยอดเยี่ยมทั้งในด้านการรักษาและทําร้ายคนถึงผมจะมีเรื่องบาดหมางกับเขา แต่ ผมก็ต้องยอมรับว่าเขามีทั้งพรสวรรค์และมันสมองที่น่าทึ่งถ้าเป็นในเรื่องของยารักษาและยาพิษ แล้วเขาก็คือคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของคนทั้งหมดคนอื่นๆในหุบเขายังห่างไกลจากเขาไปหลายขั้นครั้งหนึ่ง เมี่ยวฉางหงเคยขอคําชี้แนะเรื่องการใช้พิษจากเขาและได้รับคําชื่นชมจากเขาด้วย
ในหุบเขามีคนอยู่ไม่มากที่ได้รับค่าชมจากเขา”
“ในหมู่พวกนาย ใครที่แข็งแกร่งที่สุด?” “บอกตามตรงนะครับ พวกเราไม่มีใครเก่งด้านใดด้านหนึ่งเลย”เขาส่ายหน้า“การเรียนรู้เรื่องการรักษาต้องการพรสวรรค์และไม่ใช่แค่การฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น”
อืมมมม…เสวี่ยซินหยวนพยักหน้า
“โอ้ พอคุณพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้พอดี มีอยู่คนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากครับ”
“ใครเหรอ?” “เขามีชื่อว่า เดี่ยวเทียนชวนเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่งและเคยเป็นลูกศิษย์ของผู้น่าคนก่อนแต่เขาก็หนีออกไปจากหุบเขาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเพราะเรื่องบางอย่างครับ”“เมี่ยวเทียนชวน?”เสวี่ยซินหยวนจดจําชื่อนี้เอาไว้ในใจ