944 เคราะห์ร้ายไปทางทิศตะวันออก
“ถ้าลุงไม่เลิกดื่มเลิกสูบ ไม่ว่าจะกินยาไปเท่าไหร่ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะครับ”หวังเย้าพูดชายชราเป็นคนในหมู่บ้านและถือเป็นผู้อาวุโสเขาจึงไม่อยากใช้คําพูดที่รุนแรงกับอีกฝ่ายหากเป็นคนอื่น เขาคงไล่ให้กลับไปนานแล้ว
“เอายามาให้ฉันเถอะนะ”ชายชราดูไม่พอใจที่เห็นหวังเย้าพูดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนี้ในความคิดของเขาการที่หมอไม่ยอมจ่ายยาให้คนไข้ดูเป็นเรื่องที่แปลก“ลุงกลับบ้านไปเถอะครับ”หวังเย้าพูด“แล้วผมก็ไม่จ่ายยาให้ลุงด้วย”
ไอ้เด็กนี่! ชายชราลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางหงุดหงิดเขาสะบัดชายเสื้อเดินจากไปด้วยความโมโหเมื่อเดินเข้ามาในคลินิก เจี๋ยจื้อจายก็เดินสวนกับชายชราพอดี “เอ่อเขาเป็นอะไรเหรอครับ?ทําไมถึงได้ดูอารมณ์เสียขนาดนั้น!”
“เขาป่วย ก็เลยมาขอยา แต่ผมไม่ให้”หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทําไมล่ะครับ?”
“ถ้าเขาไม่ยอมเลิกนิสัยเดิมๆ ก็ไม่มียาตัวไหนช่วยรักษาเขาได้หรอก” หวังเย้าตอบ“กินไปก็ไร้ประโยชน์”
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“อ่อ เกิดเรื่องขึ้นครับ” เจี๋ยจื้อจายพูดแล้วหยิบมือถือของเขาขึ้นมา
“ลองดูนี่สิครับ”
บนหน้าจอเป็นข่าวจากแหล่งข่าวของเขา
“หุบเขาพันโอสถ?”
“ใช่ครับ ที่นี่ตั้งอยู่ในยูนนานใต้เขียนเชิงเคยพูดถึงที่นี่ให้ผมฟังผมก็เลยให้คนลองไปสืบดูช่วงนี้เกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นเยอะเลยล่ะครับ มีคนตายไปทั้งหมด 20 คนพวกเขาตายติดต่อกันในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนเรื่องดังไปถึงหูของพวกเบื้องบนเรียบร้อยแล้ว”
“เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวกับหุบเขาพันโอสถงั้นเหรอ?”หวังเย้าถาม
“เหยื่อทุกคนเสียชีวิตจากพิษครับ”เจี๋ยจื้อจายพูด“แล้วผู้ต้องสงสัยก็มาจากที่นั่นด้วย”
“อืมผมเข้าใจแล้วบอกเพื่อนของคุณที่อยู่ที่นั่นให้คอยตามข่าวด้วยถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้แจ้งมาทางนี้”
“ได้ครับ แต่อาจารย์ หุบเขาพันโอสถอยู่ที่ทางใต้ไกลจากที่นี้นับพันไมล์ทําไมอาจารย์ถึงได้สนใจเรื่องที่นั่นด้วย?”
“มีคนที่เดินทางไกลหลายพันไมล์เพื่อมารักษากับผมที่นี่ยังไงล่ะครับ” หวังเย้าพูด “คนที่รับผิดชอบเขตนั้นคือผู้ว่าเขตกั่วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ เป็นถั่วเจิ้งเหอ รุ่นที่สามที่ทั้งพยายามและมีความสามารถ พ่อของเขายังเป็นผู้ว่าจังหวัดด้วย”
“ผมเคยรักษาให้เขามาก่อน แล้วเราก็เคยติดต่อกันบ้าง”หวังเย้าพูด“ถึงเลขากั๋วจะอายุยังน้อยแต่เขาก็คนละเอียดเขาถึงขนาดแนะนําให้คนเดินทางมารักษาถึงที่นี่ได้ก็ไม่รู้ว่าต่อไปเขายังจะหาอะไรได้อีกบ้าง”
เขาต้องคอยจับตาดูความเป็นไปของเรื่องนี้
“เข้าใจแล้วครับ” เจี๋ยจื้อจายพอจะเข้าใจสิ่งที่หวังเย้าพูดอยู่บ้าง
พวกเขาพูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนที่เจี๋ยจื้อจายจะกลับออกไปเขารีบติดต่อเพื่อนของเขาที่อยู่ที่ยูนนานใต้บอกอีกฝ่ายให้คอยจับตาดูข่าวคราวในเขตเหอและหุบเขาพันโอสถ
เมื่อหวังเย้ากลับมาเพื่อทานอาหารกลางวันที่บ้านจางซิวหยิงก็ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า
ชายชราคนนั้นมาที่บ้านของพวกเขาและพูดไม่ดีเรื่องหวังเย้ากับจางซิวหยิง
“อย่าไปอารมณ์เสียกับเรื่องแบบนั้นเลยครับแม่”
จางซิวหยิงยิ้มและพูด“โมโห?แม่น่ะเหรอ?แม่ไม่ได้สนิทกับเขาสักหน่อยเขารู้จักแต่กับพ่อของลูกแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันบ่อย”
หวังเย้าพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก
“แล้วเขาเป็นอะไรเหรอ?”
“เขาป่วยหนักมากครับถ้าเขายังทําตัวแบบนี้ต่อไปผมคิดว่าเขาจะเหลือเวลามีชีวิตอยู่ต่อไปได้แค่สามปีกว่าเท่านั้น”
“มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?” จางซิวหยิงประหลาดใจ
“เรื่องป่วยก็เรื่องหนึ่ง”หวังเย้าพูด“เรื่องสําคัญก็คือเขารู้ว่าตัวเองป่วยแต่กลับยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่แย่ไปกว่านั้นเขายังปฏิเสธคําแนะนําจากคนอื่นด้วยคนที่ไม่สนใจที่จะรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองก็มีแต่จะป่วยหนักกว่าเดิมเท่านั้น”
“พ่ออยู่ไหนครับ?”
“มีคนในหมู่บ้านมาบอกว่าจะเลี้ยงข้าว พ่อของลูกก็เลยไปที่นั่น”
“ใครเลี้ยงเหรอครับ?”
“หวังยี่เจี๋ย”
“เขา? เขาสนิทกับบ้านเราด้วยเหรอครับ? ทําไมอยู่ๆถึงได้ทําแบบนี้?”หวังเย้าถามด้วยความสงสัย
“เฮ้อ แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”แม่ของเขาตอบ“พ่อของลูกก็ไม่ได้อยากไปหรอกแต่เขามาหาที่บ้านตั้งห้าหกครั้งแล้วเราเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันถ้ายังปฏิเสธเขาอยู่แบบนี้มันจะดูไม่ดีได้พ่อของลูกก็เลยต้องไปแต่เขาก็ไม่ได้ไปมือเปล่าหรอกนะเขาเอาบุหรี่ไปด้วยสองห่อ”“ดีแล้วครับถึงยังไงเราก็ไม่มีทางจัดการของพวกจนหมดอยู่แล้ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้มพวกเทียนหยวนถูกับซุนหยุนเชิงต่างก็ชอบเอาใบชา,เหล้า,กับบุหรี่มาให้ตอนที่พวกเขามาเยี่ยมทุกครั้ง ของขวัญที่ได้จึงเริ่มกองเป็นตั้งตามจํานวนครั้งที่พวกเขามาเยี่ยม ในบ้านของเขาเต็มไปด้วยของฝากเขาได้เอาบางส่วนแบ่งให้กับพี่เขยของเขาแต่เขาก็ยังไม่สามารถจัดการกับของเหล่านั้นให้หมดไปได้ในยูนนานใต้ที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ภายในหมู่บ้านราชายา
มันเป็นสถานที่ที่ราชายามาตั้งรกรากอยู่จึงทําให้มันถูกเรียกตามชื่อของเขาไปด้วย
ผ่านไปหนึ่งวัน เมี่ยวเฉิงถางก็สามารถลุกออกจากเตียงได้แล้วเขาเห็นแผลที่หน้าอกของเขาตอนที่เปลี่ยนผ้าพันแผลในตอนเช้ามันดูคล้ายกับเส้นไหมสีแดงที่ยาวประมาณสองนิ้ว
เขาสงสัย ราชายาผ่าเปิดหน้าอกฉันเหรอ?
คนที่ทําหน้าที่เปลี่ยนผ่าพันแผลคืออาเฉิง ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของราชายา
“ยังเจ็บหน้าอกอยู่รึเปล่า?”
“ไม่เจ็บแล้ว”เมี่ยวเฉิงถางพูด“ฉันแค่รู้สึกไม่ค่อยมีแรงฉันขอถามหน่อยสิราชายารักษาฉันยังไงเหรอ? เขาผ่าเปิดหน้าอกของฉันใช่ไหม?”
“ฉันไม่รู้” อีกฝ่ายส่ายหน้า
“อ่อ ถึงยังไงก็ขอบใจนะ”เมี่ยวเฉิงถางยิ้มกระอักกระอ่วนหลังจาที่ได้ยินแบบนั้น
หลังจากเปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จ อาเฉิงก็กลับออกไป ไม่นาน เดี่ยวเทียนชวนก็เข้ามาในห้อง
“เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่มีแรงเลย หน้าอกก็ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่อย่างอื่นก็ปกติดี” เมี่ยวเฉิงถางพูด
“ดี ชิงชานไปถามราชายามาแล้ว เขาบอกว่ากู่ถูกกําจัดออกไปแล้ว”เดี่ยวเทียนชวนพูด“นาย หายดีเมื่อไหร่เราก็จะไปจากที่นี่กัน”
“ได้”
การอยู่ที่นี่ทําให้พวกเขาไม่กล้าวางใจ พวกเขายังคงอยู่ในยูนนานใต้ซึ่งอยู่ห่างจากหุบเขาพันโอสถไปไม่ไกล ระยะห่างนั้นไม่ใกล้ไม่ไกล
“พักผ่อนเถอะ แล้วฉันจะบอกให้ชิงชานมาดูแล” เมี่ยวเทียนชวนพูด“วันนี้ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย แล้วพรุ่งนี้เช้าก็จะกลับมา”
“ออกไปข้างนอก? ไปหาอะไรเหรอ?”
“เพื่อให้นายได้พักอย่างสบายใจ และทําให้เมี่ยวซีเหอยุ่งไปอีกสักพัก”เมี่ยวเทียนชวนตอบ
“อย่าบอกนะว่านายจะกลับไปที่หุบเขาน่ะ อย่ากลับไปที่นั่นเลย!”
“ฉันไม่กลับไปที่นั่นหรอก ฉันไม่ได้โง่นะ นายพักให้เต็มที่เถอะ”
เมี่ยวเทียนชวนออกไปจากหมู่บ้านและมุ่งหน้าไปยังสถานที่หนึ่ง ปล่อยสองคนที่เหลือได้แต่เป็นกังวลอยู่อย่างนั้น
เขตอู่ซานที่อยู่ห่างจากที่ที่พวกเขาอยู่ไปหลายร้อยไมล์แต่อยู่ห่างจากหุบเขาพันโอสถไปแค่ไม่กี่สิบไมล์เท่านั้นมันเป็นเขตที่อยู่ใกล้หุบเขามากที่สุด
เกิดเรื่องร้ายขึ้นในเขตอู่ซานมีคนสิบสองคนถูกพิษอยู่ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งและพวกเขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากโรงพยาบาลประจําเขตไม่สามารถทําอะไรได้เลยพวกเขาจึงถูกส่ง
ไปที่โรงพยาบาลประจําเมือง มีสองคนที่เสียชีวิตในระหว่างการส่งตัวทําให้เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากทั้งทางเขตและเมือง ทุกคนต่างนึกไปถึงคดีที่เกิดขึ้นในเขตเหอ
“เวรแล้ว! ทําไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นที่นี่ได้?”
คนที่รับผิดชอบดูแลเขตนี้โกรธเกรี้ยว เขาใช้กําปั้นทุบโต๊ะพร้อมกับสบถด่า
“อะไรนะ? เขตอู่ซาน?” หลู่ซิ่วเฟิงกับหยางกวนเฟิงที่อยู่ในสถานการณ์ยากฆ่บากต่างตกใจกับข่าวที่ได้รับ
“นี่มันเกินจะรับมือได้แล้ว!”
พวกเขาเดินทางไปที่เขตอู่ซานทันทีที่ได้รับข่าว เมื่อไปถึง เจ้าหน้าที่ของเขตอู่ซานก็เริ่มทํางานกันไปแล้ว พวกเขายกระดับของเขตในอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินจากบทเรียนที่พวกเขาได้จากเขตข้างเคียง ทําให้พวกเขาใส่ใจเรื่องนี้อย่างเต็มที่โดยเฉพาะในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยทุกคนต่างคอยจับตามองสถานการณ์ทุกฝีก้าว พวกเขาไม่ได้ขอให้ไขคดีได้ภายในระยะเวลาสั้นๆแต่พวกเขากังวลว่าจะเกิดเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ตามมามากกว่าสถานการณ์ยิ่งเลวร้าย
ลงเมื่อมีหนึ่งในผู้ที่ได้รับพิษเสียชีวิตลงในระหว่างการส่งตัว
“เวรเอ้ย!”
หยางกวนเฟิงทุบโต๊ะหลังจากที่ได้รู้ข่าว เขาสูบบุหรี่หมดไปถึงห้ามวนติดต่อกัน
“ดูรายงานสิ เราพบผู้ต้องสงสัยแล้ว”
“อะไร? ที่ไหน?” หลู่ซิ่วเฟิงลุกออกจากเก้าอี้
พวกเขาเร่งเดินทางมาโดยขับฝ่าไฟแดงมาตลอดทาง แล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุที่ถูกเจ้าหน้าที่ติดอาวุธล้อมเอาไว้
“คนของเราอยู่ข้างในเหรอ?”
“ใช่”
“แล้วเจอเขาได้ยังไง?”
“คนที่เดินอยู่แถวนั้นเห็นคนอยู่ข้างในก็เลยแอบมองเข้าไป พวกเขาเห็นมีคนตายที่เลือดยังไหลไม่หยุดกับอีกคนที่ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นคนที่โทรเรียกตำรวจ”
“คนตายกับคนที่ได้รับบาดเจ็บ?”
“ใช่”
“เยี่ยม นี่อาจเป็นโอกาสของพวกเราแล้ว”
“เตรียมจู่โจม และเป็นไปได้ให้จับเป็น”
เจ้าหน้าที่ตํารวจได้บุกเข้าไปในตัวบ้านและเห็นคนนอนอยู่ที่พื้นโดยไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย
คนหนึ่งนอนจมกองเลือด ส่วนอีกคนนอนไม่ได้สติอยู่
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”
อันตรายที่พวกเขาคิดว่าจะต้องกลับไม่มีอยู่เลย
“เรียกหมอนิติเวชมา เร็วเข้า!”
แพทย์นิติเวชมาถึงในเวลาไม่นานแพทย์คนนี้ตามยางกวรเฟิงกับคนอื่นๆมาถึงจะทํางานอยู่
ในเขตเล็กๆ แต่เขาก็มีประสบการณ์สูง
“คนนี้เสียชีวิตแล้ว แต่อีกคนยังมีชีวิตอยู่ระวังของที่อยู่บนตัวพวกเขาด้วยถ้าไม่จําเป็นอย่าแตะต้องเด็ดขาด”