“ผู้เชียวชาญด้านการสืบสวนของจังหวัดจะมาถึงบ่ายวันนี้”กัวเจิ้งเหอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง“พวกเขาขอให้ทางเราให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่คอยอ่านวยความสะดวกแก่พวกเขาในทุกๆด้านเพื่อที่พวกเขาจะได้จัดการคดีนี้ให้จบโดยเร็วที่สุดและรายงานเรื่องการตายของทั้ง 11 คนให้ทั้งทางเมืองและจังหวัดเข้าใจใช่ไหมครับ?”
“ครับ!” ผู้กํากับยืนขึ้นและทําความเคารพ
หลังออกมาจากห้องทํางานแล้ว ผู้กํากับถึงกับต้องเอามือปาดเหงื่อ ผู้ว่าเขตที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีและเป็นผู้นําของเขตนี้กลับสร้างความกดดันให้เขาอย่างมากคดีนี้มีความสําคัญมากมีคนตายถึง 11 คนภายในเวลาไม่ถึงสามวันเรื่องนี้จึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ พวกเขาต้องหาสาเหตุให้ได้ในระยะเวลาจํากัดและให้คําอธิบายที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เฮ้อ! ผู้กํากับถอนหายใจ
เขาอยู่ภายใต้ความกดดันที่หนักอึ้ง
ในห้องทํางานกั่วเจิ้งเหอจุดบุหรี่สูบ เขานั่งพิงพนักเก้าอี้และเงยหน้าขึ้นมองเพ
เขาใจเย็นเกินไปถึงเขาจะมีเส้นสายของตระกูลที่ทําให้จัดการเรื่องต่างๆได้ง่ายแต่กับสถานการณ์นี้มันต่างออกไปผู้น่าที่อยู่เหนือเขาได้ให้ความช่วยเหลือเพราะเห็นแก่ตระกูลของเขาไปมากแล้ว ท่าที่ของพวกเขาถือได้ว่าอ่อนให้แล้วถ้าหากเขาเป็นคนอื่นคงเลี่ยงไม่ให้โดนก่นด่าได้ยากเรื่องนี้ส่งผลร้ายแรงกับอนาคตทางการเมืองของเขาอย่างมาก
เกิดอะไรขึ้น?
กรึก! มีเสียงดังขึ้นที่ด้านหลังเขา
หม?
เขาหันกลับไปมอง ด้านหลังของเขาเป็นบานกระจกใส
“เสียงอะไร?”
เขาลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองออกไปด้านนอก ที่นี่เป็นตึกที่ทําการของเขตมันค่อนข้างเก่า ด้านนอกอยู่ติดกับถนนที่มีรถผ่านไปมาแค่ไม่กี่คัน
มันไม่มีอะไรที่ดูผิดแปลกไปจากปกติ
“หรือฉันจะหูฝาด?”
กั่วเจิ้งเหอมองออกไปด้านนอกครู่หนึ่ง เขาไม่เห็นอะไรผิดปกติ ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินเสียงดังมาจากทางนี้ก็ตาม
เขาเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา
นี่มัน…
เขาตกตะลึง
มีซองเอกสารที่ไม่ระบุที่มาที่ไปวางอยู่บนโต๊ะเขาจําได้ว่าก่อนที่เขาจะลุกออกไปบนโต๊ะไม่มีเอกสารอะไรวางอยู่เลยไม่มีใครเข้ามาที่นี่เพราะในห้องนี้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นเขาคือผู้นําสูงสุดของเขตนี้คนด้านนอกต้องเคาะประตูทุกครั้งเพื่อเข้ามาในห้องนี้และต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อนเท่านั้น
เสี่ยวซึ่ง!”
เขาตะโกนไปทางประตู ชายคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา เขาแก่กว่ากั่วเจิ้งเหอเล็กน้อย
“เลขากั่ว เรียกผมเหรอครับ?”
“เมื่อกี้มีใครเข้ามาในห้องของผมรึเปล่า?”
“เอ่อ นอกจากผู้กํากับหลิวแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาอีกครับ”
“เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้วคุณออกไปได้” กั่วเจิ้งเหอพูดและโบกมือไล่อีกฝ่าย
เลขาของเขาผลักประตูแล้วเดินออกไป
กั่วเจิ้งเหอมองดูซองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะของเขามันไม่ได้มีเครื่องหมายอะไรติดอยู่และถูกวางนิ่งไว้ตรงนั้นเขาจ้องมองมันอยู่นานก่อนที่สุดท้ายจะเอื้อมมือออกไปหยิบมันด้านในมีกระดาษอยู่หลายแผ่น
เขาเปิดมันออก ด้านในมีเอกสารหนึ่งปีกเขาเปิดอ่านดูแล้วดวงตาของเขาก็ค่อยๆเป็นประกายเมื่อเปิดอ่านไปที่ละหน้า
น่าสนใจ น่าสนใจมาก!
สีหน้าของถั่วเจิ้งเหอเริ่มจริงจัง เอกสารเหล่านี้มีข้อมูลที่น่าสนใจ และเป็นข้อมูลที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
เขาอ่านเอกสารครั้งแล้วครั้งเล่า
ก๊อกก๊อกโก๊อก! มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
“เลขากั่ว ผู้บัญชาการกั่วรอพบคุณอยู่ด้านนอกครับ”
“ผู้บัญชาการกั่ว?” กั่วเจิ้งเหอตกใจ เขาเก็บเอกสารอย่างระมัดระวังและบอกให้เลขาเชิญอีกฝ่ายเข้ามา
“เลขากั่ว นายกําลังยุ่งอยู่เหรอ?” ชายในชุดเครื่องแบบทหารเดินเข้ามาเขามีใบหน้าเหลี่ยมและดูโดดเด่น
“พี่รอง ทําไมถึงมาที่นี่ได้ครับ?” หลังจากได้เห็นหน้าของผู้มาเยือนแล้วถั่วเจิ้งเหอก็รีบลุกขึ้น
“เข้ามานั่งก่อนครับ”
ทําไมถึงได้มีเวลาแวะมาที่นี่ได้ล่ะครับ?”
หลังจากเสริฟน้ำให้แขกแล้ว เลขาของเขาก็ออกไปอย่างรู้หน้าที่
“ฉันมาที่นี่เพราะเรื่องงาน ก็เลยแวะมาหานายด้วย เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ไม่เลวครับ” กั่วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม นายดมีความสามารถมากกว่าเมื่อก่อนตอนนี้นายได้กลายเป็นผู้ว่าเขตตั้งแต่อายุยังน้อยนายถือว่าเก่งที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ” กั่วเจิ้งเหอรีบพูด
“เราเป็นครอบครัว ไม่จําเป็นต้องถ่อมตัวต่อหน้าฉันหรอก” ผู้บัญชาการกัวพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้นมาก?”
“ฉันได้ยินเรื่องนี้ตอนที่มาถึงที่นี่” ผู้บัญชาการกั่วพูด “เป็นยังไงบ้าง? นายได้เบาะแสอะไรรึยัง?”
“ยังเลยครับ” กั่วเจิ้งเหอส่ายหน้า
“การที่มีคนตายพร้อมกันหลายคนขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย”
“ลุงรองได้พูดอะไรบ้างไหม?”
“เขาไม่ได้พูดอะไรครับ”กั่วเจิ้งเหอพูด“เขาแค่โทรมาถามเรื่องที่เกิดขึ้นบอกให้ผมสืบให้ละเอียดและรายงานไปตามความจริง เจ้าหน้าที่สืบสวนของทางจังหวัดจะเดินทางมาถึงวันนี้ผมก็ได้แต่หวังว่า พวกเขาจะสามารถไขปริศนานี้ได้
“อืม นายไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป”
“พี่ก็พูดได้สิครับ แต่ในพื้นที่ภายใต้ความรับผิดชอบของผมดูเหมือนจะมีเรื่องแปลกอยู่”กั่วเจิ้งเหอพูด“ผมยังต้องสืบให้ละเอียดและให้คําตอบกับทุกคน”
“ถ้านายคิดแบบนั้น ตราบใดที่นายยังนั่งอยู่ตําแหน่งนี้และสวมหัวโขนเอาไว้บนหัวนายก็ต้องคิดถึงประชาชนและความเป็นจริง”
“ครับ เราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า พี่รองอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เราไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะผมเลี้ยงเอง”
“เอาสิ เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว”
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก ทั้งสองก็ออกไปหาอะไรกินข้างนอก
“พี่รอง ผมมีเรื่องอยากถาม ที่ยูนนานใต้มีแมลงพิษอยู่เยอะมาก พี่เคยได้ยินเรื่องนี้บ้างไหม?”
“ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง นายถามทําไมเหรอ?หรีอนายสงสัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นฝีมือมนุษย์?”
“ไม่ใช่ครับ พอดีผมบังเอิญไปได้ยินเรื่องนี้มา แล้วทางนิติเวชก็ได้ทําการชันสูตรทั้ง 11 ร่างแล้วแต่พวกเขากลับไม่พบปัญหาอะไรในตอนนี้เรื่องนี้มันแปลกมากมีคนตายถึง 11 คนภายในเวลาไม่ถึงสามวันแล้วพวกเขาก็ยังมาจากหมู่บ้านเดียวกันทั้งหมดมันคงไม่มีเรื่องบังเอิญแบบนี้อยู่บนโลกแน่”
“ฉันแค่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดลงลึกขนาดนั้น ขอฉันคิดดูก่อนนะ”ผู้บัญชาการกั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ที่บ้านมีอยู่คนหนึ่งที่อาจจะช่วยนายได้”
“ใครเหรอครับ?”
“เสวี่ยซินหยวน
“เขาน่ะเหรอ?” เมื่อได้ยินชื่อ ถั่วเจิ้งเหอก็ขมวดคิ้ว
“ผมได้ยินมาว่าผู้ชายคนนั้นหัวแข็งอยู่บ้าง”
“เขาหัวแข็งก็จริง แต่เขาซื่อสัตย์กับตระกูลถั่วของเราเพราะนิสัยแบบนั้นของเขาเลยทําให้เขาไม่เป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไหร่แต่ฝีมือของเขาเป็นของจริงและตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรถ้านายต้องการ นายก็ไปขอให้เขามาช่วยได้”
“ผมขอลองคิดดูก่อนนะครับ”
“ได้”
ในหมู่บ้านกลางเขาที่ไกลออกไปหลายพันไมล์
หวังเย้า จงหลิวชวน พันจวิน เจี้ยจื้อจาย และหูเหมย พวกเขาขับรถพากันไปแช่น้ำพุร้อนกันที่หมู่บ้านหลี่เจียโกว
เป็นหวังเย้าที่ชวนจงหลิวชวนกับพันจวินไป เพราะเรื่องบางอย่าง ทําให้การเดินทางครั้งนี้ถูกเลื่อนออกไปหนึ่งวันแล้วพวกเขายังบังเอิญเจอเข้ากับเจี้ยจื้อจายและหูเหมยทั้งสองจึงติดสอยห้อยตามมาด้วย
หมู่บ้านหลี่เจียโกวอยู่ตั้งอยู่ระหว่างสองทิวเขาทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านที่หวังเย้าอาศัยอยู่เพราะการค้นพบน้ำพุร้อน ทําให้หมู่บ้านดึงดูดเงินทุนจากเหล่านักลงทุนทั้งหลายแล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ที่รีสอร์ทน้ำพุร้อนซึ่งชาน
ชื่อของรีสอร์ทแห่งนี้ถูกตั้งตามชื่อภูเขา มันถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดีในเวลานี้มีคนอยู่ด้านในแค่ไม่กี่คนเท่านั้นบรรยากาศจึงดูเงียบเหงาและเย็นยะเยือก