บทที่ 1007 ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
ลู่เหวยไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ฉินซีก็สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงสบายๆของเขา จึงรู้ว่าไม่มีอะไรให้กังวล เลยไม่ได้ถามอะไรอีก
ลู่เหวยเอ่ยย้ำอีกครั้งว่า ทำอะไรให้ระวัง จากนั้นก็วางสายไป
ฉินซีรอให้ลู่เหวยตัดสายเสร็จ จากนั้นก็รีบโทรหาอานหยันทันที
“ฉินซี?” อานหยันแปลกใจนิดหน่อย “ทำไมจู่ๆถึงโทรมาล่ะ?”
ฉินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งครัดว่า “คุณยังจำข้อมูลที่คุณส่งมาให้ฉันเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ไหม?”
อานหยันครุ่นคิดอยู่สักพัก “ที่เอาให้คุณตอนกินหม้อไฟด้วยกันน่ะเหรอ?”
ฉินซีพยักหน้า “มะรืนนี้ คุณช่วยเผยแพร่บทความการปลอมแปลงเอกสารการเงินของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปให้หน่อยได้ไหม?”
พรุ่งนี้ก็เริ่มตรวจสอบแล้ว น่าจะมีสื่อไม่น้อยได้ยินข่าวลือแล้วเริ่มทำข่าว ถ้าอานหยันเผยแพร่บทความออกมาในวันมะรืนนี้ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงให้เธอได้ในระดับหนึ่ง อีกอย่างผลลัพธ์ก็น่าจะออกมาดีด้วย
ถึงแม้อานหยันจะเป็นสายลับ รอบกายมีผู้คุ้มกันอยู่มากมาย แต่ฉินซีก็ยังไม่ค่อยวางใจ จึงอยากปกป้องเธอให้ปลอดภัยถึงที่สุด
ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของเธอ เมื่อดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉินซีจึงรู้สึกไม่สบายใจ
น้ำเสียงของอานหยันเริ่มจริงจังขึ้นมาบ้าง ฉินซีได้ยินเสียงเธอกดแป้นพิมพ์อยู่สักพัก ถึงได้ตอบกลับมาว่า “ได้ ฉันจะเปลี่ยนข่าว แล้วปล่อยของคุณก่อนก็แล้วกัน”
ฉินซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ขอบคุณมาก”
อานหยันโบกมือ “ไม่เป็นไร แล้วยังไง หาคนเปิดโปงได้แล้วหรือยัง?”
ฉินซีพยักหน้า แต่ก็ไม่สะดวกคุยกันผ่านโทรศัพท์ จึงพูดกำกวมออกไปว่า “ไม่นานก็จะเริ่มตรวจสอบแล้วล่ะ เตรียมของไปด้วยก็เรียบร้อยแล้ว”
เมื่ออานหยันได้ยินเธอพูดกำกวมออกมา ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ทำเพียงตอบรับ แล้วกดวางสายไป
ยังมีเรื่องอะไรอีกนะ?
สายตาของฉินซีจดจ้องอยู่ที่ถุงกระดาษบนตู้ตรงหัวเตียง
ต้องหลบคนของตระกูลฉินยังไง ถึงจะสามารถทำการสืบต่อได้……..
ฉินซีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็มีไอเดีย
เธอนึกถึงคำพูดของลู่เหวยเมื่อกลางวันก่อนเขาจะไป
“แต่ฉันคิดว่า หนูควรลองไปหยั่งเชิงดูเขาก่อนจะดีกว่านะ ไปดูว่าเขาเป็นคนยังไงไหน แล้วค่อยตัดสินใจว่าควรใช้สิ่งหลอกล่อมากเท่าไหร่”
ในเมื่อตอนนี้เธอเองก็รีบร้อน สู้ไปพบเองจะไม่ดีกว่าเหรอ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เธอก็ยื่นมือไปกดโทรหาทนายจ้าว
ทนายจ้าวยังกดรับสายเร็วเหมือนเดิม “ฉินซี?”
วันนี้ช่วงเช้าพวกเขาเพิ่งเจอกัน เขาคิดไม่ออกว่าทำไมตอนนี้จู่ๆฉินซีถึงติดต่อเขามา
ฉินซีนิ่งไปชั่วครู่ ตัดสินใจไม่พูดถึงเรื่องเปิดโปง เพียงแค่เอ่ยถามออกไปง่ายๆว่า “ทนายจ้าว ฉันอยากไปคุยกับเห้อเสียงเองโดยตรง ได้ไหมคะ?”
ทนายจ้าวแปลกใจ “คุยเอง?”
ตอนแรกเขาคิดว่า ฉินซีจะรอเขาเก็บข้อมูลเรื่องที่เห้อเสียงติดคุกให้เรียบร้อยก่อน เพื่อหาว่าพอจะเจอจุดลดโทษได้บ้างไหม แล้วค่อยไปเจรจา
ไม่คิดเลยว่าฉินซีจะใจร้อนขนาดนี้
น้ำเสียงของเขาดูลำบากใจ “ฉันไปเจอทนายที่รับผิดชอบคดีของเขาแล้ว ไม่นานก็น่าจะได้เอกสารรายละเอียดมา หนูรออีกหน่อยไม่ได้เหรอ? ถ้าไปเจอเขาโดยตรง ฉันบอกไม่ได้หรอกนะว่ามันจะเป็นวิธีที่ดีหรือเปล่า”
ฉินซียิ้มขมขื่นออกมาบางๆ
ทำไมเธอจะไม่รู้ ถ้ารออีกหน่อยบางทีอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ก็ได้
แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญก็คือ ก็คือเวลา
“ฉันอยาก…ไปเจอเขา ได้ไปหยั่งเชิงดูเขาก่อนก็ยังดี” ฉินซีครุ่นคิดสักพัก แต่ก็ยังไม่ได้พูดความจริงออกไป “เพราะถ้าเขาถูกฉินซึ่งเทียนใส่ร้ายจริงๆ ยังไงก็คงโกรธแค้นฉินซึ่งเทียนมากแน่ๆ บางทีอาจจะอยากให้ฉันเสนอข้อแลกเปลี่ยนอะไรให้ก็ได้”
นี่เป็นคำพูดที่ดูเกินจริงสุดๆแล้ว ฉินซียังรู้สึกขำที่ตัวเองพูดออกมาแบบนี้
แล้วคนฉลาดอย่างทนายจ้าวทำไมจะฟังไม่ออก แต่ฉินซีก็ยังพูดอะไรแบบนี้ออกมา แสดงว่าเธอคงตัดสินใจมาแล้วว่าต้องเจอเห้อเสียงให้ได้
ดังนั้นทนายจ้าวจึงลังเลอยู่สักพัก ถึงได้เอ่ยปากออกมาว่า “ถ้าหนูยืนยันจะไปเจอเขาให้ได้ ฉันไม่แนะนำให้ไปคนเดียว ทางที่ดี…..พาทนายสักคนไปด้วยเถอะ”
ฉินซีขมวดคิ้ว “จำเป็นด้วยเหรอคะ?”
ทนายจ้าวพูดด้วยน้ำเสียงยืนกรานว่า “จำเป็นสิ ถึงยังไงหนูก็ไม่ได้ไปเยี่ยมธรรมดา แต่มีข้อเสนอไปแลกเปลี่ยน บางคำพูด ควรมีทนายไปพูดให้ก็ดีนะ”
ฉินซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็พยักหน้า “คุณพูดถูก”
จะพูดว่าเธอไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกฎหมายก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้ชำนาญขนาดนั้น อีกอย่างเรื่องร้ายๆที่เหยาหมิ่นถูกล่อลวงยังคงหลงเหลือผลกระทบเอาไว้เยอะ ดังนั้นเอกสารสัญญาต่างๆในมือเธอต้องผ่านสายตาของทนายจ้าวก่อนเธอถึงจะกล้าเซ็น
ส่วนเรื่องยื่นข้อเสนอกับเห้อเสียง เธอสามารถเจรจาได้ก็จริง แต่ถ้าเก่งถึงขนาดได้ผลแน่นอน ยังไงก็ยังต้องให้ทนายออกโรงด้วย
แต่หลังจากที่เธอตอบรับไป ก็เกิดลังเลอีกครั้ง
ต้องพาทนายไปด้วย?
ถ้าพูดถึงทนายที่เชื่อถือได้ รอบกายของฉินซีก็มีแค่ทนายจ้าวคนเดียว
แต่ว่าที่เธอจะไปไม่ใช่แค่ไปเจอเห้อเสียงอย่างเดียว แต่เธอจะหลบหนีด้วย จึงไม่รู้ว่าจะเสียเวลาอยู่ที่นั่นกี่วัน
ทนายจ้าวพอจะสละเวลานิดหน่อยไปกับเธอได้ แต่ถ้าให้เขาเสียเวลาอยู่ที่นั่นกับเธอตั้งไม่รู้กี่วัน ฉินซีก็เกรงว่าเขาคงรับไม่ได้แน่
อีกอย่าง เมื่อกี้เขายังพูดอยู่เลยว่า เขาได้เจอทนายเจ้าของคดีของเห้อเสียงแล้ว เขาต้องอยู่ที่นี่ ถึงจะสามารถติดตามข้อมูลต่อได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่ที่เห้อเสียงจะยอมบอกทุกอย่างออกมาโดยที่ไม่ได้ต้องการข้อเสนออะไร สุดท้ายยังไงก็หนีไม่พ้นต้องหาข้อเสนออะไรไปแลกเปลี่ยนอยู่ดี ถึงจะสามารถงัดปากของเขาได้
ราวกับทนายจ้าวเองก็นึกถึงปัญหานี้เหมือนกัน ปลายสายฝั่งนั้นจึงนิ่งไปนาน แล้วเอ่ยพูดออกมาว่า “ไม่อย่างนั้น ให้ฉันไปกลับหนูไหมล่ะ ถ้ามีธุระค่อยกลับมาก็ได้”
ฉินซีพอจะคาดเดาข้อเสนอแนะของเขาออกตั้งแต่แรกๆ จึงปฏิเสธอย่างมั่นเหมาะว่า “ไม่ได้ค่ะ”
อย่าพูดว่าทนายจ้าวจะเสียเวลาเดินทางเลย ต้องพูดว่าอายุของทนายจ้าวก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ถ้าต้องไปๆกลับๆอย่างนี้ คงไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายของเขาแน่ๆ
“คุณพอจะมี…..ทนายที่เชื่อถือได้ มาแนะนำไหมคะ?” ฉินซีคิดอยู่สักพักก็เอ่ยพูดขึ้นมา
ทนายจ้าวเงียบไปนานกว่าเดิม ฉินซีไม่รู้ว่าตัวเองรอไปนานเท่าไหร่ ถึงได้ยินเขาพูดออกมาอย่างลังเลว่า
“……จ้าวจิ้ง”
“จ้าวจิ้ง?” ฉินซีรู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้มาก เธอขมวดคิ้วเบาๆ หวนนึกให้ดีๆอยู่สักพัก ก็พูดออกมาทันทีว่า “ลูก…..ลูกสาวคุณน่ะเหรอคะ?”
เสียงของทนายจ้าวยังเต็มไปด้วยความลังเล “ใช่ ลูกสาวฉันเอง หนูเชื่อใจเธอได้ เพราะว่า…..ตอนนี้เธอกำลังทดลองงานอยู่ที่บริษัทลู่ซื่อ”
ฉินซีแปลกใจ “บริษัทลู่ซื่อ?”
การที่ลูกสาวของทนายจ้าวจะสืบต่ออาชีพจากคนเป็นพ่อมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแต่ว่าฉินซีแค่คิดไม่ถึงว่า จ้าวจิ้งทำงานอยู่ที่บริษัทลู่ซื่อด้วย?
“หนูเพิ่งหย่ากับลู่เซิ่น ความสัมพันธ์กับบริษัทลู่ซื่ออาจจะไม่ดีเท่าไหร่ ฉันกลัวว่าการที่จ้าวจิ้งทำงานอยู่ที่นั่น……จะไม่ค่อยสะดวกใจหนูเท่าไหร่”
ทนายจ้าวเป็นคนตรงฉับเฉียบขาดมาตลอด น้อยครั้งมากที่เขาจะพูดตะกุกตะกักเหมือนครั้งนี้
ฉินซีฟังจบ กลับอยากหัวเราะออกมา
ทนายจ้าวคงรู้เรื่องที่ตัวเองหย่ากับลู่เซิ่นแล้ว และคงกลัวว่าเธอกับบริษัทลู่เซิ่นจะเป็นคู่แค้นกัน จึงกลัวว่าจ้าวจิ้งจะช่วยเธอแค่พอลวกๆ และกลัวว่าหลังจากนี้จ้าวจิ้งจะมีการพัฒนาที่ไม่ดี เพราะคิดว่าจ้าวจิ้งจะจงรักภักดีกับบริษัทลู่ซื่อมากเกินไป จนไม่เต็มใจช่วยฉินซีให้เต็มที่สินะ