บทที่ 1010 ปกป้องทุกคนอีกแบบหนึ่ง
แม้ว่าเหตุผลในการมาถ่ายรูปที่นี่จะหายไปแล้ว แต่ในเมื่อรับงานเขามาแล้ว และฉินซีก็ไม่ได้มีนิสัยทิ้งงานกลางคัน ดังนั้นจึงเริ่มถ่ายงานอย่างจริงจัง
เหน็ดเหนื่อยอยู่ทั้งวัน จนเมื่อถึงตอนดวงอาทิตย์ตก ในที่สุดเธอก็ได้ภาพที่พึงพอใจ
คนรับผิดชอบชมไม่ขาดปากว่า “รูปนี้สวยมากๆ!”
ตอนเที่ยงฉินซีได้กินแค่ข้าวกล่อง ตอนนี้จึงเหนื่อยจนไม่มีอารมณ์มาพูดเอาใจ จึงแค่โบกมือแล้วพูดว่า “ก็พูดเกินไป เดี๋ยวยังไงฉันจะส่งรูปที่แต่งเสร็จแล้วมาให้อีกทีนะคะ”
เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ทชิงหยวน ก็ถึงเวลาทานข้าวเย็นแล้ว
เมื่อพ่อบ้านเห็นเธอก็เดินเข้ามาหา “คุณนาย มีบอดี้การ์ดมาสองคน บอกว่าคุณท่านส่งมา”
ฉินซีหันหน้าไปมอง ก็เห็นผู้ชายร่างกำยำสองคนยืนอยู่ไกลๆ พร้อมทั้งผงกหัวให้เธอเป็นการทักทาย
ฉินซีหันกลับมาพูดกับพ่อบ้าน “ใช่ค่ะ ลุงลู่ส่งมาช่วยฉัน”
พ่อบ้านขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “ทำไมยังเรียกว่าคุณลุงล่ะครับ?”
ฉินซีนิ่งไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี
โชคดีที่บอดี้การ์ดสองคนนั้นเดินเข้ามาขัดบทสนทนาของพวกเขาพอดี “คุณนายสวัสดีครับ”
ฉินซีผ่อนลมหายใจออกมา มองข้ามสายตาของพ่อบ้าน แล้วหันไปพยักหน้าให้บอดี้การ์ดทั้งสอง “ในอีกไม่กี่วันนี้ คงต้องรบกวนพวกคุณหน่อยนะ”
เมื่อสองคนนั้นเดินออกไปไกลแล้ว พ่อบ้านถึงได้เอ่ยปากพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “คุณนาย ที่นี่ก็มีบอดี้การ์ด ทำไมคุณท่านต้องส่งมาอีกล่ะ?”
ครั้งนี้ฉินซีเตรียมตัวได้ทัน “เพราะว่ามีภารกิจพิเศษนิดหน่อยย่ะ เลยต้องการคนของคุณลุ่……คุณพ่อมาช่วย”
เธอเปลี่ยนคำเรียกในช่วงสุดท้าย เมื่อมีสายตาของพ่อบ้านจดจ้องอยู่
ฉินซียิ้มข่มขืนขึ้นมาในใจ ถึงแม้สถานะจะไม่ถูกต้อง แต่…..ก็ถือว่าเป็นการโกหกเพื่อรักษาน้ำใจก็แล้วกัน
จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคิดเรื่องใช้คนของรีสอร์ทชิงหยวน แต่เพราะหนึ่ง ระบบความปลอดภัยของรีสอร์ทชิงหยวนเพิ่งออกแบบเสร็จ ถ้าจู่ๆตัวเองไปดึงคนออกมา คงทำให้ระบบความปลอดภัยของรีสอร์ทชิงหยวนรั่วไหลอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากคนตระกูลฉินคลั่งแล้วมาหาเรื่องที่รีสอร์ทชิงหยวน อาจจะเป็นอันตรายก็ได้ ส่วนสอง คนของลู่เหวยรู้ว่าต้องทำอะไรยังไงแล้ว แต่คนของรีสอร์ทชิงหยวนไม่รู้ ฉินซีคิดว่า ยิ่งคนรู้น้อย ก็จะยิ่งเป็นการปกป้องทุกคนอีกแบบหนึ่ง
ดังนั้นเธอถึงล้มเลิกที่จะใช้บอดี้การ์ดของรีสอร์ทชิงหยวน
พ่อบ้านดูออกว่าฉินซีไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของฉินซีมากเกินไป จึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
คนใช้เดินเข้ามาหา “คุณนาย ข้าวเย็นเรียบร้อยแล้วนะคะ”
ฉินซีไม่อยากอาหารเท่าไหร่ แต่พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของพ่อบ้าน ก็ต้องพยักหน้าออกไป “อืม”
เมื่อเห็นเธอเดินไปที่ห้องอาหาร ทันใดนั้นพ่อบ้านก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังมุมห้องรับแขก “คุณนาย เก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยแล้วนะครับ”
เมื่อฉินซีเงยหน้าไปมอง แล้วพบกับกระเป๋าที่อัดแน่นถึงสี่ใบ ก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณ…..ไม่ต้องเก็บของให้ฉันเยอะขนาดนี้ก็ได้นะคะ เอาแค่ของที่จำเป็นก็พอแล้ว”
พ่อบ้านไม่รับรู้ “พวกนี้ก็จำเป็นทั้งหมดนะ…….”
ฉินซีเดินเข้าไปลากกระเป๋าออกมาใบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าข้างในประกอบได้ด้วยเครื่องนอนหมอนมุ้งครบครัน ก็ยิ้มออกมาอย่างจนใจ “อะไรแบบนี้ ไม่ต้องเอาไปด้วยก็ได้”
พ่อบ้านเบิกตาเล็กน้อย “ไม่เอาอันนี้ไป แล้วถ้าที่นอนในโรงแรมแข็ง จนคุณนอนหลับไม่สบาย จะทำยังไง?”
ฉินซีส่ายหน้ายิ้มๆ “ใสซื่ออะไรขนาดนี้! คุณพับเสื้อผ้าใส่ถุง แล้วก็เอาเครื่องอาบน้ำกับครีมทาผิวมาด้วย กระเป๋าใหญ่ขนาดนี้ ใช้ใบเดียวก็พอแล้ว …….ช่างเถอะ มาฉันทำเอง!”
พ่อบ้านก้าวเดินเร็วๆมาขวางเธอ “ไม่ต้องครับ! ผมจะเก็บให้ใหม่ รับรองว่าใช้แค่ใบเดียวแน่ๆ”
ฉินซีสู้เขาไม่ได้ จึงทำได้แค่วางมือลง แล้วก้าวถอยหลัง “รบกวนด้วยนะคะ”
พ่อบ้านโบกมือ จากนั้นก็รีบจัดระเบียบกระเป๋าใหม่อีกครั้ง
วันนี้ฉินซีถ่ายรูปอยู่ที่แถบชานเมืองทั้งวัน สัญญาณจึงขาดๆหายๆ จึงไม่ได้ติดต่อกับลู่เหวยเลย
เธอเชื่อลู่เหวย
เมื่อเดินมานั่งลงในห้องอาหาร ในที่สุดเธอก็มีเวลาว่าง ครุ่นคิดอะไรอยู่สักครู่ ก็ส่งข้อความไปถามลู่เหวยว่า “ลุงลู่ ความคืบหน้าเป็นยังไงบ้างคะ?”
ผ่านไปไม่กี่นาทีลู่เหวยก็ตอบกลับมา “ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างราบรื่นดี”
ฉินซีถอนหายใจอย่างโล่งอก
ลู่เหวยส่งข้อความมาอีกว่า “ตอนสามโมง ทีมตรวจสอบเดินทางไปถึงบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแล้ว”
ฉินซีเลิกคิ้ว
สามโมง…..เร็วดีจริงๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็หมายความว่า เวลาของฉินซีมีไม่มากแล้ว
ครั้งนี้ลู่เหวยไม่อ้อมค้อม ส่งข้อความถามออกมาตรงๆว่า “หนูจัดการเรียบร้อยหรือยัง?”
ฉินซีรู้ดี ว่าลู่เหวยไม่ได้กำลังถามว่าเธอจัดการเรื่องสถานที่ที่จะไปแล้วหรือยัง
ดังนั้นเธอจึงรีบตอบกลับไปว่า “ฉันเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วค่ะ ค่ำๆก็จะเดินทางแล้ว”
ลู่เหวยเบาใจในที่สุด ตอบกลับมาว่า “ระวังตัวด้วย” จากนั้นก็ไม่ได้ส่งอะไรมาอีก
ฉินซีรู้ว่าถึงแม้ทีมตรวจสอบจะเข้าไปที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแล้วก็ตาม แต่ปัญหาก็ยังไม่ลดลงเลย ทางลู่เหวยก็คงยุ่งเป็นพัลวันเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ได้รบกวนอะไรอีก
ตอนนี้ เธอยังมีเรื่องต้องจัดการให้เสร็จ
ตอนที่กำลังคิดเรื่องนี้ จ้าวจิ้งก็ส่งข้อความมาหาพอดี “เจอกันทุ่มครึ่งไหมคะ?”
ฉินซียิ้ม ตอบกลับไปว่า “ได้ คุณส่งตำแหน่งของคุณมา ฉันจะไปรับ”
หลังจากโต้ตอบกันเสร็จ เธอก็จัดการข้าวเย็นของตัวเองให้มด
เมื่อพ่อบ้านเห็นเธอลุกขึ้นยืน ก็รีบเดินเข้ามาอวดผลงาน “นี่ครับกระเป๋าใบเดียว!”
ฉินซีมองกระเป๋าที่ถูกเขายัดของใส่จนกลายเป็นกระเป๋าใบอ้วน ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “โอเคค่ะ”
เวลาไม่มากแล้ว เธอไม่อยากรบกวนพ่อบ้านต่อ จึงทำได้แค่บอกให้พ่อบ้านลากกระเป๋าออกมาให้
บอดี้การ์ดทั้งสองคนรออยู่ที่โรงรถแล้ว เมื่อเห็นฉินซีกำลังเดินตรงไปยังรถเบนท์ลีย์ที่เธอขับอยู่เป็นประจำ ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน แล้วส่งเสียงออกมาว่า “คุณนายครับ ขับรถคันอื่นไป…..จะไม่ดีกว่าเหรอ?”
ฉินซีหันหน้ากลับไปอย่างแปลกใจ “รถคันอื่น?”
หนึ่งในบอดี้การ์ดชี้ไปยังLand Roverที่จอดอยู่ข้างๆ “ขับรถแบบนี้….น่าจะปลอดภัยกว่านะครับ”
ก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ ลู่เหวยกำชับมาเป็นพิเศษ ว่าต้องระมัดระวังความปลอดภัยของฉินซีให้ดี บอดี้การ์ดทั้งสองคนจึงพอจะเดาได้ ว่านี่ต้องไม่ใช่การออกไปทำงานนอกสถานที่ธรรมดาแน่ๆ แต่เป็น….การออกไปทำงานนอกสถานที่ที่ค่อนข้างจะอันตราย
ดังนั้นพวกเขาต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
ฉินซีลังเลอยู่ชั่วครู่
ถ้าให้พูด ที่เธอขับรถเบนท์ลีย์ ก็เพราะว่าเป็นรถของลู่เซิ่น
ตอนนั้นเธอเพิ่งเข้ามาในรีสอร์ทชิงหยวน ไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยสะดวก ลู่เซิ่นเลยโยนกุญแจรถมาให้เธอ จากนั้นตำแหน่งคนขับของรถคันนี้ จึงค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นฉินซี
ถึงยังไงก็เป็นรถของลู่เซิ่นทั้งหมด จริงๆแล้วไม่ว่าจะคันไหนก็ไม่น่าจะต่างกันเท่าไหร่……
เมื่อฉินซีเห็นแววตามุ่งมั่นของบอดี้การ์ด ก็พูดโน้มน้าวตัวเองในใจ จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ งั้นขับLand Roverไปก็แล้วกัน”
บอดี้การ์ดผ่อนลมหายใจออกมา พ่อบ้านดูจะไม่ค่อยรู้ทันเรื่องที่ต้องเปลี่ยนรถขับ เลยไม่ได้ถามอะไรออกมา เพียงแค่ส่งกุญแจไปให้ จากนั้นก็บอกให้คนใช้ยกกระเป๋าของฉินซีขึ้นรถ
เมื่อมีบอดี้การ์ด ฉินซีจึงไม่ต้องขับรถเอง ทั้งยังได้นั่งเบาะหลังอย่างที่ควรจะเป็น