บทที่ 1011 มองเห็นภาพที่ทำให้คิดถึงความหลัง
ฉินซีนั่งที่เบาะหลังแล้วเหลือบมองพ่อบ้านผ่านกระจกรถ
เขายุ่งอยู่กับการให้คนมาจัดกระเป๋า ขณะเดียวกันก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นของตัวเองมาซับเหงื่อ
เวลาที่ฉินซีเผชิญหน้ากับเขา มักจะมีความรู้สึกเหมือนกำลังมองพ่อบ้านของบ้านตระกูลฉินที่คอยดูแลเอาใจใส่ตนเองคนนั้น
ราวกับว่าเขารับรู้ถึงสายตาของฉินซี จึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปที่เธอ
เมื่อหันไปสบตากับฉินซี รอยยิ้มใจดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ออกไปทำธุระตั้งหลายวันขนาดนี้ คุณต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะครับ”
เมื่อได้ยินเสียงคนรับใช้คนอื่นเรียก เขาก็ก้มหัวให้ฉินซี แล้วหันกลับไปมองหาคนคนนั้น
เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเลย และคิดว่าเธอกำลังจะเดินทางไปทำธุระจริง ๆ
ฉินซีลังเลอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็ลดกระจกหน้าต่างลง แล้วส่งเสียงเรียกพ่อบ้าน
ฉินซียื่นมือออกมา แล้วตบหลังมือที่เหี่ยวย่นของเขาเบา ๆ “ช่วงนี้คุณต้องระวังตัวให้มาก ๆ พยายามออกไปข้างนอกให้น้อยที่สุดก็แล้วกันนะคะ”
ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อบ้าน “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ฉินซีส่ายหน้า เธอไม่สามารถพูดได้มากกว่านี้ ทำได้เพียงย้ำอีกครั้งว่า “ระวังตัวด้วยนะคะ”
พูดจบบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่ขับรถก็หันมามองเธอ “คุณนายครับ พวกเราสามารถออกเดินทางได้แล้วครับ”
ฉินซีพยักหน้า เธอโบกมือให้พ่อบ้านจากนั้นก็ปิดหน้าต่างรถแล้วสั่งออกมาว่า “ออกรถเถอะ”
บอดี้การ์ดคนนั้นสตาร์ทรถ ฉินซีมองพ่อบ้านที่ยังคงยืนตะลึงอยู่ที่เดิมผ่านกระจกมองหลัง เงาร่างของเขาค่อย ๆ เล็กลง
ขอเพียงแค่คนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปตั้งใจสืบหาให้ลึกขึ้นอีกนิด ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเธอกับลู่เซิ่นหย่ากันแล้ว พวกเขาก็ไม่น่าจะมาทำตัวเกะกะระรานที่รีสอร์ทชิงหยวน
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบริษัทลู่ซื่อ บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปก็กล้าพอแค่จะใช้วิธีลอบโจมตีลับหลังเท่านั้น
แต่เธอรู้ดีว่าระบบรักษาความปลอดภัยของรีสอร์ทชิงหยวนนั้นสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก แทบที่จะไม่มีโอกาสให้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเลย
คำพูดที่เธอพูดกับพ่อบ้านเมื่อกี้นี้ ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น…เพียงมองเห็นภาพที่ทำให้คิดถึงความหลังไปชั่วขณะ
…
พ่อบ้านของตระกูลฉินดีกับเธอมาก
เดิมทีเขาติดตามของคุณปู่ฉินซี แต่หลังจากที่คุณปู่เสียชีวิต ฉินซึ่งเทียนก็ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ เขาก็ได้ติดตามไปด้วย
ฉินซึ่งเทียนยังนับว่าความเคารพเขามาก จนกระทั่งเกิดเรื่องของเหยาหมิ่นขึ้น
ฉินซึ่งเทียนแค้นใจที่เขาคอยแอบส่งข่าวให้ฉินซีกลับมาที่บ้าน
คิด ๆ ดูแล้วเขาคงมองการกระทำของฉินซึ่งเทียนไม่ออก
ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนทวีความรุนแรงถึงขีดสุดเมื่อหลี่เหวยย้ายเข้ามาในตระกูลฉิน
แต่เมื่อพ่อบ้านได้รู้อายุของฉินหว่าน เขาก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างในทันที ดังนั้นเขาจึงตำหนิชีวิตส่วนตัวที่สำมะเลเทเมาของฉินซึ่งเทียนว่าเป็นการทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณีของตระกูลฉินเสียหาย
ฉินซึ่งเทียนจะทนให้คนรับใช้ตัวเล็ก ๆ มาชี้หน้าด่าเขาได้ยังไง จึงปลดพ่อบ้านออกจากตำแหน่งผู้ดูแลบ้าน แล้วมอบหมายงานระดับล่างให้เขาทำแทน
ชายชราอายุไม่น้อยแล้ว ทว่าเขากลับไม่ยอมก้มหัว คิดไม่ถึงเลยว่าจะยอมทำงานระดับล่างอย่างการปัดกวาดซักล้างพวกนั้น
เป็นธรรมดาที่หลี่เหวยที่ถูกเขาชี้หน้าด่าทันทีที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาจะเกลียดเขาเป็นอย่างมาก พ่อบ้านคนใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งหลังจากนั้นก็เป็นคนที่เธอพาเข้ามา ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามที่จะกลั่นแกล้งและกดขี่ชายชรา
ในช่วงเวลาที่อากาศหนาวที่สุดของเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ เขาถูกสั่งให้ออกไปกวาดหิมะข้างนอก จึงลื่นล้มลงบนแผ่นน้ำแข็ง หลังจากนั้นก็มีอาการเลือดออกในสมอง ทว่ากลับไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ
ชายชราคนนี้ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ไม่มีลูกหลาน แต่ฉินซึ่งเทียนกลับไม่แม้แต่จะจัดงานศพให้เขา เพียงส่งเถ้ากระดูกของเขาไปที่หอฌาปนกิจอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นฉินซีออกไปจากตระกูลฉินตั้งนานแล้ว ทั้งยังต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมมากมาย แม้แต่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด จึงไม่มีกะจิตกะใจที่จะมาถามเรื่องของพ่อบ้าน
หลังจากที่เรื่องของเธอสิ้นสุดลง ทั้งยังเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินกับชีวิตในรีสอร์ทชิงหยวนได้แล้ว ก็ได้รู้ข่าวร้ายนี้ตอนที่คิดจะไปเยี่ยมชายชรา
ฉินซียังจำได้ว่าเป็นคืนฤดูหนาวใกล้ปีใหม่
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะโทรถามข่าวคราวความเป็นอยู่ของพ่อบ้าน
เธอตัดขาดการติดต่อกับตระกูลฉินมานานแล้ว พอโทรศัพท์หาพ่อบ้านโดยตรงกลับพบว่าเป็นหมายเลขว่างเปล่า
เธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จึงจำเป็นต้องโทรศัพท์ไปหาสาวใช้ที่ตนเองสนิทมากที่สุดอย่างไม่มีทางเลือก
สาวใช้คนนั้นเป็นพี่เลี้ยงและแม่นมของเธอตอนสมัยเด็ก ๆ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเธอมาก
ตอนที่ได้รับสายโทรศัพท์จากฉินซี เธอก็ค่อนข้างที่จะรู้สึกแปลกใจ “คุณหนูเหรอคะ”
จากคำบอกเล่าของเธอ ฉินซีจึงรู้ว่าหลังจากที่เธอตัดความสัมพันธ์กับตระกูลฉินแล้ว ตำแหน่งในตระกูลฉินของคนรับใช้คนนี้ก็ถูกลดต่ำลงเช่นกัน ราวกับหลี่เหวยรู้ว่าเธอสนิทสนมกับฉินซี จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างความลำบากให้กับเธอ
ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจออกจากตระกูลฉิน
ฉินซีได้ยินเธอพูดแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าในหัวใจมีเปลวไฟกำลังแผดเผา ค่อย ๆ ทำให้ความเกลียดชังและความแค้นเคืองที่ถูกกลบฝังอยู่ในหัวใจของเธอปะทุขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น…พ่อบ้านล่ะคะ”
หลังจากที่ฟังเธอคนนั้นพูดเรื่องของตัวเองจบ ฉินซีก็ถามคำถามที่ตัวเองอยากจะรู้ออกมา
“คุณ…ไม่รู้อย่างนั้นเหรอคะ” น้ำเสียงของสาวใช้คนนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
สาวใช้คนนั้นลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง
มือของฉินซีแทบจะจับโทรศัพท์เอาไว้ไม่อยู่
เธอยังคงจำความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นได้อยู่เสมอ ราวกับว่ามีฟ้าผ่าลงตรงข้างหู ทำให้เธอสูญเสียการรับรู้เรื่องราวของโลกภายนอกไปชั่วขณะ
เห็นได้ชัด ๆ ว่าข้างนอกอากาศหนาวมาก แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะหนาวไปกว่าตัวเธอเองอีกแล้ว
ความเคียดแค้นชิงชังเก่าใหม่ทับถม ความเกลียดชังของเธอที่มีต่อฉินซึ่งเทียนและหลี่เหวยก็มาถึงจุดสูงสุด
ทว่าตอนที่เธอโกรธจนถึงที่สุด ภายนอกกลับดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
ฉินซีพูดลาสาวใช้ กำชับให้เธอดูแลตัวเองให้ดี ๆ ก่อนจะวางสายโทรศัพท์
จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปจากห้อง
ลู่เซิ่นเก็บปืนพกไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงเพื่อป้องกันตัว
เขาไม่ได้ปิดบังฉินซี จึงกลายเป็นการสร้างความสะดวกให้กับเธอ
ตอนนี้ปืนกระบอกนั้นอยู่ในกระเป๋าของเธอ
สีหน้าของฉินซีดูไม่ต่างอะไรจากตอนปกติ เธอยังสามารถพยักหน้าทักทายให้คนรับใช้ที่ผ่านไปผ่านมาได้ ทว่าในความจริงนั้นเธอได้เสียสติไปแล้ว
แผนการแก้แค้นทั้งหมดถูกโยนทิ้งไปอีกด้าน ในชั่วพริบตาเธอก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทรัพย์สมบัติของฉินซึ่งเทียนกับหลี่เหวยมาได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ไม่สู้ทำให้พวกเขาได้รับความเจ็บปวดเหมือนกับเหยาหมิ่นและพ่อบ้านเสียแต่ตอนนี้
ตอนที่เธอเดินลงมาชั้นล่างด้วยความโกรธ และกำลังจะเดินไปที่รถ ทันใดนั้นก็ได้พบกับพ่อบ้าน
“คุณจะออกไปข้างนอกเหรอครับ” พ่อบ้านรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ฉินซีพยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก “ค่ะ”
ตามปกติแล้วพ่อบ้านจะไม่ถามเรื่องส่วนตัวของเธอ เขาเพียงถูฝ่ามือ แล้วถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วงว่า “อากาศหนาวขนาดนี้…คุณสวมเสื้อผ้าบางเกินไปแล้ว! คุณรอผมสักหนึ่งนาทีนะครับ!”
ฉินซีไม่สนใจจะเสียเวลาไปกับเขา รอให้พ่อบ้านออกไปไกลแล้ว เธอก็คิดที่จะขึ้นรถ
ทว่ามือของเธอกลับสั่นระริก ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะสตาร์ทรถได้
“เดี๋ยวครับ!” พ่อบ้านวิ่งไล่ตามมาด้วยเนื้อตัวสั่น ๆ เมื่อเห็นไฟที่รถสว่างขึ้น เขาก็โบกมือไปมา “คุณฉิน! รอก่อนครับ!”
ฉินซีเห็นเขาวิ่งสะดุดจนล้มลงไปบนกองหิมะ จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ
เงาร่างของพ่อบ้านกับเงาร่างของพ่อบ้านตระกูลฉินที่สาวใช้พูดถึงซ้อนทับกัน
พอเห็นว่าเขากำลังจะล้มลงอีกครั้ง ฉินซีจึงไม่สามารถนั่งในรถต่อไปได้ เธอรีบเปิดประตูลงมาจากรถทันที
เมื่อพ่อบ้านเห็นเธอเดินออกมาแล้ว เขาก็หอบหายใจแล้วพูดออกมาทั้งรอยยิ้มว่า “ถึงแม้ว่าคุณจะรีบก็ไม่ควรใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้ออกจากบ้านนะครับ”