บทที่ 1012 ไม่ควรค่าที่จะใส่ใจ
ฉินซีมองเสื้อผ้าหนาหนักที่อยู่ในมือเขา ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกแสบร้อนที่จมูก
โชคดีที่โคมไฟในสวนไม่ได้สว่างมาก พ่อบ้านจึงมองไม่เห็นว่าเธอเสียอาการไปชั่วขณะ เพียงรอพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร จึงลุกขึ้นมาอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย “ผม…ทำให้คุณเสียเวลาหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบสวมเสื้อพวกนี้แล้วไปจัดการธุระต่อเถอะครับ”
ฉินซีกลัวว่าถ้าพูดอะไรออกมากกว่านี้ จะทำให้เขารู้ว่าอารมณ์ของเธอไม่ปกติ เธอเพียงพยักหน้าอย่างลวก ๆ จากนั้นคว้าเสื้อผ้ามาแล้วกลับขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนจะเหยียบคันเร่งแล้วขับรถออกไปจากรีสอร์ทชิงหยวน
แต่หลังจากเลี้ยวไปสองรอบ ความเร็วของรถก็ค่อย ๆ ชะลอลง ในที่สุดก็หยุดตรงมุมถนนที่ไม่คุ้นตา
เครื่องทำความร้อนในรถถูกเปิดจนสุด ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าพวกนั้นของพ่อบ้านก็ได้ ทว่าฉินซีกลับดื้อดึง ไม่ยอมถอดเสื้อผ้าออก
ตอนนี้ความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในหัวของเธอค่อย ๆ เย็นลงแล้ว
ตอนแรกที่เธอได้ยินข่าวการตายของพ่อบ้าน ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความคิดที่ว่า ฉินซึ่งเทียนกับหลี่เหวยต้องชดใช้หนี้ชีวิตด้วยเลือด ต่อให้เธอต้องตายตามไปด้วยก็ไม่เป็นไร
แต่ว่าการแก้แค้นด้วยวิธีนี้เป็นสิ่งที่เหยาหมิ่นกับพ่อบ้านต้องการจริงๆอย่างนั้นเหรอ
ถ้าพวกเขารู้แผนการนี้ของเธอ ก็คงจะด่าว่าเธอหุนหันพลันแล่นเกินไปใช่ไหม
ฉินซีไม่เชื่อหรอกว่าคนชั่วจะได้รับผลกรรมจากสวรรค์ ไม่อย่างนั้นทำไมฉินซึ่งเทียนกับหลี่เหวยที่ทำลายชีวิตคนถึงสองคน กลับยังกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขแบบนี้ได้
แต่การจบชีวิตพวกเขาด้วยน้ำมือของเธอเอง เป็นวิธีการแก้แค้นที่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ เหรอ
เสื้อผ้าที่พ่อบ้านสวมให้เธอราวกับกำลังช่วยย้ำเตือนสติ
ไม่ใช่เลย
ใครก็ตามที่รักเธอคงไม่อยากให้เธอจบเรื่องทุกอย่างด้วยวิธีที่น่าเวทนาแบบนี้
พวกเขาห่วงใยเธอเสมอ ปรารถนาให้เธอมีความสุขไปชั่วชีวิต
ฉินซีค่อย ๆ โน้มตัวฟุบลงบนพวงมาลัยรถอย่างช้า ๆ
พวงมาลัยนั้นเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของฉินซีก็ดังขึ้น
ตอนแรกเธอไม่ได้คิดที่จะรับสาย แต่คนที่โทรมากลับมีความอดทนเป็นอย่างมาก เอาแต่โทรซ้ำแล้วซ้ำอีก
ฉินซีไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “สวัสดีค่ะ”
ทันทีที่พูดออกมาก็รู้ได้เลยว่าแย่แล้ว
น้ำเสียงของเธอยังคงเต็มไปด้วยรอยสะอื้น ทั้งยังแหบพร่าอยู่หลายส่วน
ลู่เซิ่นที่อยู่ปลายสายราวกับไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเธอ เขาไม่ได้ว่าอะไรที่เธอเพิ่งจะรับสายหลังจากที่ปล่อยให้เขาโทรมาเสียหลายครั้ง เพียงถามเธอด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “เธออยู่ที่ไหน ตอนนี้ข้างนอกหิมะตกแล้ว ถนนค่อนข้างลื่น ระวังตัวด้วย”
ฉินซีพยายามซ่อนเสียงสะอื้นของตัวเองอย่างสุดความสามารถ “รู้แล้วค่ะ ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
ลู่เซิ่นตอบกลับไปว่า “อืม”
ตอนที่ฉินซีกำลังจะวางสาย ที่มุมถนนก็มีรถบรรทุกคันหนึ่งผ่านมา ส่งเสียงดังแสบแก้วหู
เดิมทีฉินซีคิดว่าตนเองฟังผิด แต่หลังจากตั้งใจฟังอีกครั้งแล้ว ก็พบว่าเสียงแสบแก้วหูนี้กลับดังขึ้นมาจากในโทรศัพท์
เป็นเพราะการกระจายของคลื่นสัญญาณ เสียงที่ดังขึ้นมาจากโทรศัพท์จึงช้ากว่าเสียงที่เธอได้ยินกับหูของตัวเอง กลายเป็นจังหวะที่สองอยู่ข้าง ๆ หูของเธอ
ฉินซีสังเกตถึงความผิดปกติได้ทันที เธอใช้มือจับโทรศัพท์แล้วถามเสียงดังว่า “คุณอยู่ที่ไหน”
ดูเหมือนลู่เซิ่นจะไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่าอยู่ ๆ จะมีรถโผล่ขึ้นมาเปิดเผยตำแหน่งของเขา แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว จะปิดบังต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “เธอลงมาจากรถเถอะ”
ฉินซีรีบเปิดประตูแล้วลงจากรถทันที
เธอยืนนิ่งและหันไปรอบ ๆ เห็นลู่เซิ่นกำลังเลี้ยวออกมาจากมุมหนึ่ง
ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะสติหลุดเกินไปแล้ว สูญเสียแม้กระทั่งความประหลาดใจ ขนาดถูกติดตามก็ยังไม่รู้ตัว
“คุณ…อยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว” ฉินซีไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปชั่วขณะ ทำได้เพียงถามคำถามทั่ว ๆ ไปออกมา
ลู่เซิ่นพยายามทำให้เหมือนว่าไม่ใช่เรื่องนักหนา “ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก”
ความหนาวเย็นพัดผ่านไปทั่วทิศทาง ทว่ากลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย เธอจ้องมองเขา “ทำไมคุณต้อง…ตามฉันมาด้วย”
ลู่เซิ่นก้มตัวเล็กน้อย “เธอออกมาคนเดียว…เอาเจ้านี่มาด้วย ฉันก็เลยไม่วางใจ”
มือขวาของเขาตบกระเป๋าของฉินซีเบา ๆ
ปืนพกของลู่เซิ่นอยู่ข้างในนั้น
ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง
เธอบังคับให้ยืนตัวตรง และบังคับให้ตัวเองมองตรงไปที่ลู่เซิ่น “คุณรู้เหรอคะว่าฉันคิดจะทำอะไร”
ลู่เซิ่นมองหน้าเธอ ก่อนจะพยักหน้า
“แล้วทำไมคุณ…ถึงเอาแต่อยู่ที่ตรงนั้น” ฉินซีหลุบตาลงเล็กน้อย
ในเมื่อเขาสามารถไล่ตามเธอมา รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของเธอ ทั้งยังรู้ว่าเธอเอาปืนมาด้วย จะไม่รู้ว่าเธอคิดจะทำอะไรได้ยังไงกัน
ลู่เซิ่นในตอนนี้เป็นคนที่มากมายด้วยทรัพย์สิน เขามีทางเลือกมากมายเกินไป
เขาจะเดินเข้ามาแล้วแย่งปืนไปจากเธอ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้าน
ฉินซีก็ไม่สามารถที่จะต่อต้านได้เลย
“ฉันเชื่อว่าเธอจะสงบสติอารมณ์ได้” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของลู่เซิ่นดังขึ้นมาจากตำแหน่งเหนือศีรษะ “เรื่องโง่ ๆ บางเรื่อง ลงมือทำเพียงครั้งเดียวก็พอที่จะเป็นบทเรียนให้เธอได้แล้ว”
เขาพูดเรื่องที่ฉินซีพยายามจะฆ่าตัวตาย
แต่ความมั่นใจในน้ำเสียงของเขากลับทำให้ฉินซีเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงงเล็กน้อย “คุณเชื่อใจฉันอย่างนั้นเหรอคะ”
ลู่เซิ่นยกยิ้มบาง ๆ พลางยื่นมือออกไปลูบลงบนศีรษะของเธอ “ฉันเชื่อใจเธอ และฉันก็เชื่อตัวเอง ถึงแม้ว่าวันนี้เธอจะสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรไว้ ฉันก็สามารถจัดการได้”
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่ได้เข้าไปขวางเธอไว้ เอาแต่ไล่ตามหลังฉินซีอย่างเงียบ ๆ
“เป็นยังไงบ้าง เธอขับรถมาถึงที่นี่แล้ว คลิปตกแล้วหรือยัง”
ท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บน้ำเสียงของลู่เซิ่นกลับแฝงไปด้วยการปลอบโยน
ทันใดนั้นฉินซีก็รู้สึกแสบร้อนที่จมูก
เธอไม่ใช่คนที่ชอบร้องไห้ แต่ดูเหมือนว่าคืนนี้เธอจะอ่อนแอเป็นพิเศษ
“พ่อบ้านตายแล้ว” อยู่ ๆ เธอก็อยากจะระบายความรู้สึกข้างในใจออกมา “ฉินซึ่งเทียนกับหลี่เหวยเป็นคนฆ่า พวกเขาฆ่าแม่ของฉันยังไม่พอ ยังอยากจะฆ่าคนอื่น ๆ อีก”
ราวกับลู่เซิ่นรู้ว่าเธอก็แค่ต้องการที่จะระบาย จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเอื้อมมือมาดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด
อุณหภูมิร่างกายของเขาต้านทานลมและหิมะจากภายนอก ทำให้น้ำตาของฉินซีไหลทะลักออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
ฉินซีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เธอถึงได้ร้องไห้ไปพลาง และพยายามดื้อดึงที่จะพูดไปพลาง “เขาไม่แม้แต่จะจัดพิธีศพให้พ่อบ้าน ทำไมถึงได้มีคนแบบนี้อยู่กันนะ…”
ไม่รู้ว่าทั้งสองคนยืนอยู่ท่ามกลางหิมะนานแค่ไหน
ในที่สุดหลังจากที่ฉินซีระบายความคับแค้นใจที่อัดแน่นอยู่ในหัวออกมาจนหมด เธอก็เงยหน้าขึ้น จึงพบว่าบนไหล่ของลู่เซิ่นเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ
เธอประหลาดใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมาก จึงรีบยืดตัวตรง “ฉัน…ฉัน…”
เธออยากจะพูดว่าตัวเองเพียงแค่สติหลุด ทำให้เขาต้องลำบากแล้ว ขอโทษด้วยจริง ๆ
แต่เมื่อสบเข้าไปในตาของลู่เซิ่น เธอกลับไม่สามารถที่จะวางมาดแล้วพูดอะไรที่คุ้นชินออกมาได้
“กลับกันเถอะ” ทว่าลู่เซิ่นกลับไม่สนใจสายตาที่เสียกิริยาของเธอ เขายื่นมือไปกุมมือเธอเอาไว้ “มือเย็นขนาดนี้ ฉันจะให้คนขับรถคันนั้นของเธอกลับไป ส่วนเธอก็มานั่งรถของฉันแล้วกัน”
ในตอนนี้เองฉินซีก็ดึงสติกลับมาได้ เป็นช่วงที่วุ่นวายและน่าอับอายพอดี เธอไม่อยากอยู่ในพื้นที่ปิดแบบข้างในรถกับลู่เซิ่น จึงส่ายหน้าซ้ำ ๆ แล้วเดินถอยไปข้างหลัง
ทว่าลู่เซิ่นกลับจับมือเธอเอาไว้แน่น ราวกับว่าไม่อนุญาตให้เธอปฏิเสธ ก่อนจะลากเธอขึ้นไปบนรถของตัวเอง
สิ่งที่ฉินซีคาดไม่ถึงก็คือการที่ตลอดทางลู่เซิ่นไม่ได้พูดหยอกล้อเธอเลยแม้แต่คำเดียว ทั้งยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เธอกับเขาเพิ่งจะทำไปเมื่อกี้นี้ด้วย
ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น และไม่ควรค่าที่จะใส่ใจ
ฉินซีถูกความเฉยเมยนี้ของเขาทำให้สงบลงอย่างช้า ๆ