บทที่ 1019 พูดจนหมดเปลือก
การบันทึกเสียงสิ้นสุดลงที่ตรงนี้
ฉินซีหันไปมองจ้าวจิ้ง เธอจึงเก็บปากกาบันทึกเสียงกลับมา แล้วอธิบายกับฉินซีว่า “พวกเราพูดกันเยอะขนาดนี้ เวลาเยี่ยมก็เลยหมดแล้ว”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
จากเสียงที่บันทึกไว้ฟังออกเลยว่าหลังจากที่เขารู้ว่าบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปกำลังจะสูญสิ้นอำนาจ ท่าทีของเห้อเสียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ฉันมีแนวโน้มว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น” จ้าวจิ้งพูด “หลังจากที่ได้เห็นข่าวนี้ สีหน้าของเขาก็ดูมีความสุขขึ้นมาก ร่างกายของเขายังโน้มมาข้างหน้า ทำท่าทางราวกับว่าอยากจะพูดทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก”
แต่ฉินซีกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบนั้น “แต่ว่า..ท่าทีแบบนี้ของเขาไม่น่าจะให้ข้อมูลพวกเราโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน”
จ้าวจิ้งพยักหน้า “ก็ใช่ เห้อเสียงเจ้าหมอนี่ดูแล้ว…ค่อนข้างที่จะปลิ้นปล้อน ไม่ใช่คนที่จะตบตาได้ง่าย ๆ ถ้าหากไม่มีผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยน เกรงว่าเขาคงไม่มีทางที่จะช่วยเหลือใคร”
ฉินซีใช้มือทั้งสองข้างจับคาง จากนั้นก็จมเข้าไปอยู่ในห้วงความคิด
ดูเหมือนเหตุการณ์จะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเสียแล้ว
ยังต้องรอผลของคดีของเห้อเสียงออกมาเสียก่อน จึงจะดำเนินการขั้นต่อไปได้
จ้าวจิ้งก็กำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่
บรรยากาศในห้องนั่งเล่นเงียบไปชั่วขณะ
จนกระทั่งเสียงออดบาดหูจากหน้าประตูทำลายความเงียบนี้ลง
ฉินซีรีบลุกยืนขึ้นทันที มองสำรวจไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง
ใครมากันนะ
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวหลี่และเสี่ยวเฉินได้ยินเสียงออด พวกเขาจึงรีบเปิดประตูออกมาจากห้อง เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนที่อยู่ในห้องนั่งเล่นหยุดพูดคุยกันแล้วก็เดินออกมา
“ผมจะออกไปดูเองครับ” เสี่ยวเฉินเป็นคนพูดออกมา
ฉินซีพยักหน้า
เสี่ยวเฉินโน้มตัวไปใกล้ตาแมวแล้วมองอยู่พักหนึ่ง “ทางโรงแรมส่งอาหารมาให้ครับ”
ฉินซีถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วโบกมือ “ให้เขาเข้ามา”
จ้าวจิ้งเก็บข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในห้องนั่งเล่นเสร็จหมดแล้ว จากนั้นเธอก็กดเปิดโทรทัศน์ ถ้าคนนอกเข้ามาเห็นฉากนี้เข้า ก็คงจะคิดว่าเธอกับฉินซีเป็นพี่สาวน้องสาวที่กำลังนั่งดูละครน้ำเน่าด้วยกันอย่างสนิทสนม
ด้วยเหตุนี้พนักงานของโรงแรมจึงไม่ได้สนใจพวกเธอมากนัก เขาวางอาหารเสร็จก็กลับไปทันที
จ้าวจิ้งรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหาร “สั่งอะไรมาอย่างนั้นเหรอ”
เสี่ยวหลี่ติดตามเธอมาตลอดทั้งช่วงเช้า เขาจึงสนิทสนมกับเธอไม่น้อย เลยพูดขึ้นมาว่า “สั่งอาหารจานแนะนำของโรงแรมมาสองสามอย่างครับ”
ฉินซีเองก็โน้มตัวไปดู
หน้าตาดูไม่เลวเลยทีเดียว
หวังว่ารสชาติจะดีกว่าอาหารเช้านะ
ฉินซีอธิษฐานจากก้นบึ้งของหัวใจ ก่อนจะนั่งลงที่ข้างโต๊ะอาหารเงียบ ๆ
จากนั้นก็ค่อย ๆ เลือกข้าวอบที่ดูหน้าตาไม่เลวมาหนึ่งจาน ใช้ช้อนตักเข้าปากอย่างนั้นระมัดระวัง คิ้วของฉินซีก็คลายออกอย่างช้า ๆ
อาหารขึ้นชื่อพวกนี้รสชาติดีเลยทีเดียว
ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เธอคงไม่สามารถกินอาหารเช้าแบบจีนของโรงแรมนี้ได้อีกแล้ว
ฉินซีแอบตัดสินอยู่ในใจ
จ้าวจิ้งเองก็ลองกินไปคำหนึ่ง เธอเลิกขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “รสชาติดีกว่าอาหารเมื่อตอนเช้าเยอะเลย”
หลังจากที่ทั้งสี่คนกินเสร็จ จ้าวจิ้งก็บิดตัวอย่างขี้เกียจ “เมื่อเช้าฉันตื่นเช้ามากเกินไป ตอนนี้อยากจะพักผ่อนอีกสักหน่อย ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไปเรียกฉันแล้วกันนะคะ”
ฉินซีพยักหน้า หลังจากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เสี่ยวเฉินและเสี่ยวหลี่เก็บของบนโต๊ะอาหารอย่างงุ่มง่าม ฉินซีเหมือนจะไม่มีอะไรต้องทำจึงกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ถึงแม้ว่าเธอจะมาเพื่อเรื่องเห้อเสียง แต่เธอก็เอางานของตัวเองมาด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถออกไปถ่ายรูปได้ แต่ถ้าให้ฝืนเลือกรูปภาพออกมาสักสองสามภาพก็ยังพอทำได้
เธอรู้ดีว่าต่อให้ตัวเองงีบหลับก็คงหลับไม่สนิท จึงเปิดคอมพิวเตอร์แล้วเริ่มทำงาน
ทันทีที่จมดิ่งอยู่กับงาน เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น เธอก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
แต่ก็ยังยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มา ตอนที่พบว่าทนายจ้าวเป็นคนโทรมา สติของเธอก็แจ่มชัดขึ้น รีบกดรับสายทันที
“ฉินซีเหรอ” เสียงของทนายจ้าวดังขึ้น “จ้าวจิ้งอยู่กับเธอไหม”
“เธอกำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องข้าง ๆ ค่ะ” ฉินซีตอบ
“ฉันมีความคืบหน้าในเรื่องของเห้อเสียงแล้ว ไปเรียกหล่อนมาเถอะ จะได้พูดทีเดียว” ทนายจ้าวพูด
ฉินซีตอบรับก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องข้างๆ แล้วเคาะประตูห้องของจ้าวจิ้ง
ดูเหมือนว่าจ้าวจิ้งจะตื่นนอนแล้ว เธอเดินมาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ฉินซีชี้ไปที่โทรศัพท์ในมือ “พ่อของคุณโทรมาบอกว่ามีความคืบหน้า”
“จริงเหรอคะ” สีหน้าของจ้าวจิ้งสดใสขึ้นทันที เธอหันไปหยิบกระดาษมาสองสามแผ่น ก่อนจะเดินตามฉินซีกลับไปที่ห้อง
“เมื่อกี้ทนายที่รับผิดชอบคดีของเห้อเสียงก่อนหน้านี้ เอาคดีของเขามาจัดการกับฉัน” ไม่รู้ว่าทำไมน้ำเสียงของทนายจ้าวถึงได้ดูแผ่วเบานัก “ฉันจะสรุปให้ฟังสั้น ๆ ตอนนี้เอกสารกำลังสแกนอยู่ หลังจากที่เสร็จแล้วก็จะส่งเข้าไปในอีเมลของเธอฉินซี”
ฉินซีและจ้าวจิ้งต่างก็ตอบรับ
“เห้อเสียงเป็นคนเปิดบริษัทปลอม แต่คนที่ฟอกเงินไม่ใช่เขา” ทนายจ้าวพูดขึ้นมาทันที “มีคนเอาเงินของคนอื่นไปโยนใส่หัวเขา”
“อะไรนะคะ” จ้าวจิ้งสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าไป
แต่ฉินซียังคงนับว่าใจเย็น เธอเพียงถามขึ้นมาว่า “เป็นฉินซึ่งเทียนอย่างนั้นเหรอคะ”
ทนายจ้าวเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะตอบรับเบา ๆ
จ้าวจิ้งหันไปมองฉินซีทันทีอย่างไม่รู้ตัว ทว่าใบหน้าของเธอกลับไม่ได้แฝงความประหลาดใจเอาไว้เลยสักนิด
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ …” ฉินซีพึมพำเสียงเบา
“สรุปสั้น ๆ ว่าความจริงแล้วคดีไม่ได้ซับซ้อน แต่ทีมทนายของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแข็งแกร่งมาก ส่วนทนายความของเห้อเสียงก็ยังไม่ดีพอ เขาถูกยัดข้อหาที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ ทั้งยังต้องเข้าไปอยู่ในคุกโดยเปล่าประโยชน์” ทนายจ้าวพูดต่อ
ดวงตาของจ้าวจิ้งเป็นประกายวาววาบ “ถ้าอย่างนั้นนี่ก็หมายความว่ามีโอกาสที่คดีจะพลิกไม่น้อยใช่ไหมคะ”
ทนายจ้าวตอบ “ใช่ พอเธอได้เห็นเอกสารที่ถูกจัดการจนเป็นหมวดหมู่แล้ว เธอก็จะรู้เองว่าควรจะทำยังไง”
เห็นได้ชัดว่าทนายจ้าวไว้วางใจกับความสามารถในการทำงานของจ้าวจิ้งเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็กำลังจะวางสายไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ฉินซีกลับยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ตอนที่ทนายจ้าวกำลังจะวางสาย ทันใดนั้นฉินซีก็ฉุกคิดถึงคำพูดสองสามประโยคของทนายจ้าวขึ้นมาได้
“ทีมทนายของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแข็งแกร่งมาก…”
“ทนายที่จัดการคดีของเห้อเสียงค่อนข้างที่จะสนิทกับฉัน…”
คนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ทั้งยังรู้จักกับทนายจ้าวอีก บนโลกมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้ด้วยเหรอ
คงไม่ใช่ว่า…
เมื่อเห็นว่าทนายจ้าวกำลังจะวางสายไป อยู่ ๆ ฉินซีก็พูดขึ้นว่า “ทนายจ้าวคะ ทนายที่รับผิดชอบคดีของเห้อเสียง เป็นคนที่อยู่ข้างกายของฉินซึ่งเทียนคนนั้นใช่ไหมคะ
ทนายจ้าวไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะนึกถึงคำถามนี้ออกมา เขาจึงเงียบไปชั่วขณะ
แต่ความเงียบนี้เป็นถือเป็นการยอมรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็นเขา” หลังจากนั้นไม่นานทนายจ้าวก็ถอนหายใจ แล้วตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา
ถึงตอนนี้ฉินซีจึงเข้าใจได้ทันที
ว่าทำไมทั้งที่ตรวจสอบคดีความของเห้อเสียงได้ชัดเจนแล้ว แต่น้ำเสียงของทนายจ้าวกลับดูอ่อนแรงขนาดนี้
แล้วก็ทำไมวันที่เธอไปจัดการเรื่องการซื้อขายหุ้นด้วยตัวเอง ทนายของฉินซึ่งเทียนถึงได้มีท่าทีร้อนรนตอนที่เห็นเธอ
ความจริงแล้วทุกอย่างล้วนมีเหตุและมีผล
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เหรอ” จ้าวจิ้งไม่เข้าใจ ดังนั้นเธอจึงได้แต่ดูพวกเขาเล่นปริศนาคำทายกัน
“ไม่มีอะไรหรอก” ฉินซีส่ายหน้าแล้วพูดกับโทรศัพท์ว่า “ฉันเข้าใจแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
จ้าวจิ้งเองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอเพียงคุยโทรศัพท์อย่างตื่นเต้นว่า “ใช่ค่ะ ทางนี้ส่งต่อให้หนูได้เลย”