บทที่ 1036 เงื่อนไขการแลกเปลี่ยน
สำหรับฉินซี ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับการรอคอยพิจารณาการตัดสินคดี
เธอไม่รู้ว่าตัวเองแสร้งทำเหมือนหรือไม่ ไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองแข็งทื่อเกินไปจนทรยศตัวเองไหม ถึงขั้นสงสัยว่าหัวใจตัวเองจะเต้นดังเกินไป และทำให้คนได้ยิน
ดาบที่แขวนอยู่บนเหนือศีรษะ เธอรอให้คนข้างกายพูดขึ้น ตัดสินใจว่าดาบนี้จะตกลงมาหรือบินออกไปไกล
“ยังเร็วไป” ชายที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวอู๋สังเกตเธออย่างระมัดระวังแล้ว สุดท้ายก็พูดขึ้น “ฉันว่ายังสลบอยู่นะ”
ฉินซีโล่งใจเงียบๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวอู๋ยังคงมองเธออยู่ เธอไม่กล้าผ่อนคลาย
“จริงเหรอ?” ชายที่นั่งเบาะผู้โดยสารข้างคนขับค่อนข้างระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด “เมื่อกี้หลิวลี่บอกว่าเธอลงมาเร็วเกินไป สารอีเทอร์ยังไม่ทันทะลุผ้าขนหนูเลย เขากลัวว่ายาจะไม่พอ ไม่งั้นนายเอาผ้าขนหนูโปะยาอีกหน่อยไหม?”
เสี่ยวอู๋ยังไม่ทันเอ่ยปาก ชายที่ขับรถอยู่ก็พูดขึ้น “กลัวอะไร! ตื่นแล้วยังไง เราเป็นผู้ชายทั้งคัน จัดการผู้หญิงคนเดียวยังจัดการไม่ได้เหรอ? ยามันกลิ่นแปลกๆ ดมแล้วรำคาญ!”
ฉินซีก็รู้สึกได้ เสี่ยวอู๋ก็ไม่ขยับทันที ประมาณว่าไม่รู้ควรจะฟังใครดี
ไม่กี่วินาทีต่อมา คนที่นั่งเบาะผู้โดยสารข้างคนขับก็ถอนหายใจเบาๆ ยอมประนีประนอม “ได้ เสี่ยวอู๋นายจับตาดูให้ดี ผู้หญิงคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย ถ้าตื่นขึ้นมาต้องคอยดูให้ดีหน่อย”
เสี่ยวอู๋ตอบตกลง
ฉินซีก็โล่งใจ
ที่แท้ตัวเองก็ตื่นขึ้นก่อนกำหนด เพราะปริมาณสารอีเทอร์ที่ใช้
จริงๆ ด้วย เธอเลือกที่จะแสร้งทำเป็นหลับยังไม่ตื่นขึ้นมา นอกจากได้ยินสถานการณ์นิดหน่อยแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ เธอเพียงคนเดียวไม่สามารถจัดการกับทุกคนบนรถได้
สภาพแวดล้อมปิดกั้นอย่างรถยนต์ อีกฝ่ายมีสารอีเทอร์ในมือ ถ้าเธอจะต่อสู้กับทุกคน มันก็เหมือนกับการเอาไข่ไปกระทบหิน
เธอทำได้แค่แสร้งหลับต่อไป รอคอยโอกาส
สองคนด้านหน้าเริ่มคุยกันอีกครั้ง ฉินซียังมีคำถามมากมายในใจ
ตอนนี้รถคันนี้กำลังมุ่งไปที่ไหน?
คนของตระกูลฉินลักพาตัวเธอ คิดจะสอนบทเรียนให้เธอนิดหน่อย หรือว่าเอาเงื่อนไขอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเธอ?
ทั้งๆ ที่มีอย่างน้อยหกคนในกลุ่มนี้ ตอนนี้มีสามคนนั่งข้างๆ ตน แล้ว……ที่เหลือล่ะ?
นอกจากรู้ว่าคนเหล่านี้คือคนของตระกูลฉินจ้างมา ตอนนี้ฉินซีก็แทบไม่รู้อะไรทั้งนั้น
เธอทำได้เพียงหายใจเบาๆ ขณะที่ไม่ให้เสี่ยวอู๋พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาแล้ว ก็พยายามดึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากบทสนทนาของพวกเขาไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนตรงหน้าเริ่มโต้เถียงกันเรื่องอื่นอีกครั้ง
“ฉันบอกให้หลิวลี่มา ฉันจะไปส่งพวกเขาที่โรงพยาบาล แต่นายไม่ยอมทำ?” คนที่นั่งเบาะผู้โดยสารข้างคนขับพูดขึ้น “บอดี้การ์ดคนนั้นมันโหดมาก พวกพี่น้องเราสองคนที่ไปขวางมันน่าจะซี่โครงหักหมด หลิวลี่ทำงานสะเพร่า จะไปดูแลใครได้ยังไง?”
คนที่ขับรถทำเสียงฮึดฮัด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก “บอดี้การ์ดคนเดียวก็จัดการไม่ได้ สองคนนั้นมันได้กินข้าวหรือเปล่า? มีคนคอยดูก็ดีแล้ว ถ้าไม่ใช่นาย ฉันคิดจะให้พวกมันไปเองแล้ว!”
คนที่นั่งเบาะผู้โดยสารข้างคนขับไม่พอใจแล้ว “ยังไงก็พี่น้องกัน นายพูดแบบนี้ อย่าเย็นชาหน่อยเลย”
เห็นได้ชัดว่าคนที่ขับรถไม่ได้เก็บคำพูดเขามาใส่ใจ “ช่างเถอะ พี่น้องอะไรกัน ก็เพราะคำสั่งใหญ่ไม่ใช่เหรอ ถึงได้กังวลตามออกมา ถ้านายไม่ได้ใจอ่อน ฉันไม่ต้องการคนที่อยู่ในรถสองคันหลังด้วยซ้ำ”
คนที่นั่งเบาะผู้โดยสารข้างคนขับพูดเสียงดังขึ้น “ฉันเนี่ยนะใจอ่อน? ซุนจึ้น นายไม่มีจิตสำนึกเลยใช่ไหม? ถ้าคนไม่เยอะมากพอ ผู้หญิงคนนี้ที่มีบอดี้การ์ดมาด้วยสามารถหนีออกไปได้ต่อหน้าต่อตาเรา! ถ้าเธอหนีไปแล้ว ธุรกิจนี้ก็จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง คนของตระกูลฉินจะทำยังไงกับนายก็ไม่รู้จริงๆ!”
เมื่อฉินซีได้ยินถึงตรงนี้ ก็เข้าใจบางอย่างคร่าวๆ
คนที่ขับรถอาจจะเป็นหัวหน้าในกลุ่มคนพวกนี้ ตำแหน่งของคนที่นั่งเบาะผู้โดยสารข้างคนขับก็ไม่น่าต่ำ คนของตระกูลฉินให้พวกเขามาลักพาตัวเธอ เสนอราคาสูงมาก ดังนั้นคนกลุ่มนี้ก็เลยออกมา
สี่คนที่ล้อมรอบตัวเธอหนึ่งในนั้นบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ส่วนที่เหลือ……
ฉินซีนึกถึงรถสองคันที่อยู่ด้านหลัง อย่างน้อยก็มีหกคน อารมณ์ค่อนข้างบูดบึ้ง
ตอนแรกเธอคิดว่า โอกาสเธอคือตอนที่รถหยุด
ไม่ว่ารถคันนี้จะไปที่ไหน เมื่อรถจอดและเปิดประตู พวกเขาต้องหาทางเอาเธอลงจากรถอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาคิดหนักในการเคลื่อนย้ายเธอ การระมัดระวังของพวกเขาจึงไม่แข็งแกร่งมาก และฉินซีก็จะใช้พื้นที่คับแคบในการลงจากรถ มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเธอในการหนีออกไปจากรถ
แต่ถ้าด้านหลังยังมีรถ แถมมีอีกสองคัน……
ระหว่างการเคลื่อนย้าย คนด้านหลังคงไม่คลายการระมัดระวัง แต่จะยิ่งจับตามองเธออย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น ถ้าฉินซีเลือกหนีในตอนนี้ เกรงว่าสถิติของความสำเร็จจะไม่สูงมาก
ฉินซีแอบถอนหายใจอย่างลับๆ
ดูเหมือนต้องหาเวลาอื่น รู้ช่วงจังหวะในการปฏิบัติการ
ตอนนี้ สองคนด้านหน้าเถียงกันจบแล้ว หยุดรถลงแล้ว
ภายในรถเงียบทันที
ฉินซีควบคุมลมหายใจตัวเอง ทำให้ตัวเองฟังแล้วเหมือนกำลังสลบอยู่ ในหัวสมองกลับคิดอย่างรวดเร็ว
ตัวเองต้องสลบนานแค่ไหน?
ถึงเธอจะหลับตาอยู่ แต่รู้สึกถึงแสงแดดที่ส่องผ่านเปลือกตา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวัน
ตัดสินจากความเข้มข้นของแสงแดด น่าจะไม่ใช่เที่ยงตรง ยังไม่ถึงตอนเย็น
พวกเขาถูกล้อมรอบตอนเวลากลางวัน ตอนนี้ยังเป็นช่วงบ่าย……เวลาขับรถสูงสุดไม่เกินสามชั่วโมง
รถที่พวกเขาขับไม่ค่อยดีมาก รถไม่ค่อยกันเสียง แต่ฉินซีก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียงดังเกินไป เพราะพวกเขายังไม่ได้เข้าเขตเมือง
ออกเดินทางจากเมืองหลิน เดินทางสามชั่วโมง ยังไม่ถึงเขตตัวเมือง จะไปไหนได้?
ฉินซีสร้างแผนการในหัวสมอง เอาเมืองหลินเป็นจุดศูนย์กลางในวงกลม จำกัดขอบเขตไว้
เมือง R เมือง T และเมือง A——สถานที่ที่พวกฉินซีมา
ฉินซีเกิดสัญชาตญาณรางๆ คนกลุ่มนี้น่าจะพาเธอกลับไปที่เมือง A
เธอกำลังคิดอยู่ คนที่ขับรถก็เอ่ยขึ้น “จึ๊ ทำไมข้างหน้ารถติดอีก? ตอนแรกเวลานี้ควรจะถึงแล้วนะ!”
คนที่นั่งเบาะผู้โดยสารข้างคนขับปลอบใจ “ทางออกทางด่วนนี้มันรถติดง่ายอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ไม่ต้องกังวล”
คนที่ขับรถอารมณ์ร้อนอย่างเห็นได้ชัด “นายรีบเปิดGPSเร็วๆ อย่าให้เข้าเมืองแล้วรถติดอีก เราจับไม่ได้ตั้งหลายคน ถ้าตอนนี้ไปสายอีก จะอธิบายกับตระกูลฉินยังไง!”
คนที่นั่งเบาะผู้โดยสารข้างคนขับตอบตกลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสักครู่ เสียงคนก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์ “กำลังนำทางท่าแบบเรียลไทม์ ขับตรงไปตามถนนจนถึงสี่แยกแรก เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนไป๋หยู้หลาน……”
ฉินซีได้ยินถึงตรงนี้ ก็เข้าใจทันที
ถนนไป๋หยู้หลาน……เธอถูกพากลับไปที่เมือง A
แต่ตอนนี้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้ฉินซีรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
เมือง A ใหญ่ขนาดนั้น ถ้าคนของตระกูลฉินจงใจทรมานเธอ ก็มีที่มืดๆ ทุกซอกทุกมุม
เธอทำได้แค่มีสมาธิเท่านั้น สังเกตเส้นทางการนำทางอย่างระมัดระวัง
แต่ยิ่งฟัง ก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ……
ถนนนี้ ไม่ได้ไปที่อื่น แต่เหมือนไปที่ตระกูลฉินเลย