บทที่ 1050 ลังเล
แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น แต่ฉินซีก็ไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันที
สองคนกินอาหารกลางวันที่แม่บ้านส่งมาให้เสร็จ ฉินซีพักไปสักพัก และถูกลู่เซิ่นเรียกลุกขึ้น ตรวจทั่วร่างกายอีกครั้ง
ฉินซีสังเกตว่า ตอนลู่เซิ่นพูดต่อเธอมีความมั่นใจมาก สงบเหมือนร่างกายของฉินซีไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับหมอ ก็เหมือนเปลี่ยนไปทั้งคน ให้ตรวจสอบภายในและภายนอกร่างกายอย่างละเอียด ถึงจะแน่ใจว่าทุกอย่างโอเค
โชคดีที่หลังจากหมอตรวจอย่างละเอียดตามความต้องการของเขา ก็พิสูจน์ได้ว่าร่างกายของฉินซีไม่มีปัญหาสำคัญใดๆ นอกจากมือซ้ายที่กระดูกร้าวต้องพักฟื้นสองสามเดือน และส่วนอื่นไม่มีปัญหาอะไร ลู่เซิ่นถึงจะโล่งใจ
หลังจากการตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย สุดท้ายสองคนก็มายืนอยู่ห้องหมอจิตแพทย์
หลังจากตรวจสุขภาพเสร็จในตอนเช้า คุณหมอบอกว่าต้องการเวลาศึกษาแผนการรักษาหน่อย และให้เธอมาหาในช่วงบ่าย
ขณะนี้ยืนอยู่หน้าห้อง ลู่เซิ่นถอยหลังให้ฉินซีเข้าไปเอง แต่ทันใดนั้นฉินซีก็ยื่นมือออกมาและจับแขนเสื้อของเขา
“อย่างไรหลังกลับบ้านฉันก็ต้องบอกกับคุณอีกครั้งอยู่แล้ว เข้าไปฟังด้วยกันดีกว่า”ฉินซีกล่าวอย่างมั่นใจ
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว”จริงเหรอ”
ฉินซีวางมือลง”ถ้าคุณไม่อยากเข้าไปก็ไม่เป็นไร”
ลู่เซิ่นไม่อยากจะเข้าไปที่ไหนแหละ เขามองฉินซีอีกครั้งเพื่อแน่ใจว่าเธออยากให้ตัวเองเข้าไปข้างในจริงๆ
เขาถึงจะเดินเข้าไปกับฉินซี
หมอรออยู่ข้างในแล้ว ก็ไม่แปลกใจมากที่เห็นลู่เซิ่นเข้ามาด้วย แค่ยื่นมือไปทางอื่น”รบกวนไปนั่งรออยู่ตรงนั้นนะ”
ลู่เซิ่นนั่งลงอย่างที่บอก
ฉินซียังนั่งอยู่ตรงหน้าหมอเหมือนเดิม
ต่อหน้าหมอมีเอกสารสองฉบับ เขาผลักดันไปในทิศทางของฉินซี”มีสองแนวคิดสำหรับแผนการรักษาอาการของคุณ”
ฉินซีเปิดฉบับแรก และได้ยินหมอพูดว่า”แผนการรักษาวิธีแรกคือการรักษาอย่างละเอียด มันจะช่วยให้คุณเอาชนะโรคเครียดหลังบาดแผลได้อย่างทั่วถึงด้วยการใช้ยาและจิตบำบัด ข้อเสียคือหลักสูตรการรักษาค่อนข้างยาวและกระบวนการ …อาจทรมานหน่อย แต่ถ้าการรักษาไปได้ด้วยดี คุณอาจจะสามารถกำจัดผลกระทบของโรคเครียดหลังบาดแผลได้อย่างสมบูรณ์หลังจากได้รับผลกระทบนี้ สิ่งที่คุณลืมไปเพราะอาการนี้ ก็จะค่อยๆจำขึ้นได้”
ฉินซีไม่ได้ตัดสินทันที แต่หยิบเอกสารอีกฉบับขึ้นมา
“แผนการรักษานี้เป็นแบบอนุรักษ์”หมอกล่าว “จริงๆแล้วสภาพที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการในชีวิตประจำวันไม่ค่อยเยอะ ตามคำอธิบายของคุณ ในช่วงเวลาที่ผ่ามา นอกจากครั้งนี้แล้ว โรคนี้ไม่มีผลกระทบต่อชีวิตปกติของคุณ ดังนั้นการรักษาแบบนี้คือการใช้การหนีสภาพ พยายามเจือจางผลกระทบของฉากแบบนี้ที่มีต่อคุณ การรักษาจะไม่ปวดเจ็บมาก ก็ได้เห็นผลในเร็วๆนี้ แต่ข้อเสียคือมันถูกทำให้รู้สึกเบาลงเท่านั้น และผลกระทบของโรคเครียดหลังบาดแผลยังไม่ถูกกำจัดให้หมดไป ดังนั้นสิ่งที่ถูกลืมไปจากผลกระทบ ก็อาจไม่กลับมาอีกเลย”
หลังจากที่หมออธิบายแล้ว ก็รอให้ฉินซีก้มศีรษะลงอ่านเอกสารทั้งสองฉบับอละเอียดเสร็จอย่างมีความอดทนก่อน ถึงจะถามว่า”ต้องการนำแผนการรักษาแบบไหน ต้องขอความคิดเห็นของคุณก่อน”
แต่ฉินซีไม่ได้รีบตอบทันที ถามอีกคำถามหนึ่ง”ถ้าใช้วิธีแรก ความทรงจำที่ลืมไปของฉัน จะสามารถจำได้หมดหรือเปล่าคะ”
หมอตอบอย่างระมัดระวัง”ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุ น่าจะเกือบจำได้หมด”
ฉินซีมองลู่เซิ่นโดยไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่นเข้าใจทันทีว่า ทำไมฉินซีถึงลังเล
จริงๆแล้วเธอไม่อยากจำสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างหลังจากเสียชีวิตไป แต่เธอก็อยากรู้อยากเห็นว่า ความทรงจำส่วนอื่นที่สูญเสียไปคืออะไร แล้ว… ความทรงจำที่เธอลืมที่เกี่ยวกับเขา คืออะไร
มีส่วนที่ต้องการ ก็ต้องมีส่วนที่ไม่ต้องการอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นฉินซีถึงจะลังเล
ไม่รอฉินซีตอบ ลู่เซิ่นก็ถามว่า”ใช้วิธีที่สอง เมื่อไหร่จะได้เห็นผลเหรอคะ”
หมอเหลือบมองเขาและตอบว่า”ประมาณสองเดือน”
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรอีก และจ้องมองฉินซีโดยตรง
ฉินซีมองดวงตาของเขา ก็เข้าใจว่าทำไมลู่เซิ่นถึงถามคำถามนั้น ก็รู้ว่าเขาต้องรู้ว่าเธอกำลังลังเลอะไรอยู่
“คุณหมอ ฉันขอคุยกับเธอตามลำพังได้ไหม”ลู่เซิ่นลุกขึ้น
หมอพยักหน้า หันกลับไปที่ห้องชุดขนาดเล็กด้านในและปิดประตูให้ด้วย
ลู่เซิ่นนั่งลงข้างๆฉินซี”คุณอยากจะฟื้นฟูความทรงจำส่วนนั้นมากเหรอ”
ฉินซีส่ายหัวโดยไม่ต้องคิด
เธอไม่ใช่ไม่เคยสงสัยมาก่อนว่า ทำไมเธอถึงไม่เคยฝันร้ายเลยสักครั้ง ไม่เคยคิดถึงภาพที่เหยาหมิ่นเสียชีวิตแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้เธอรู้แล้ว มันเป็นกลไกป้องกันร่างกายของเธอ ที่บังคับให้เธอลืมความทรงจำช่วงนั้น
ตอนนี้เธอต้องบังคับให้ฟื้นความทรงจำด้วยต่อต้านกับร่างกายเหรอ
ฉินซีรู้ว่าจริงๆแล้วเธอไม่อยากนึกถึงช่วงเวลานั้นเลย
แต่ … ถ้าเธอไม่เผชิญหน้ากับความทรงจำส่วนนี้ งั้นเธอก็จะไม่สามารถรับความทรงจำส่วนอื่นๆคืนได้ด้วย
เธอไม่มีทางรู้เลยว่า ทำไมเธอถึงหาข้อมูลได้เก่ง ไม่รู้ว่าทำไมบางชื่อถึงเหมือนคนรู้จักในอดีตของเธอ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับลู่เซิ่น …
แต่เมื่อเธอขมวดคิ้วลังเล ทันใดนั้นมือของเธอก็ถูกลู่เซิ่นจับไว้
“ฉินซี อย่าฝืนตัวเอง”น้ำเสียงของเขานิ่งและอ่อนโยนมาก”คุณแค่ต้องรู้ว่า ความทรงจำที่คุณอยากได้คืน นั้นสำคัญจริงๆหรือเปล่า”
ฉินซีมองดวงตาของเขา และกระซิบเบาๆว่า”แต่ถ้าฉันไม่ต้องการ ฉันจำเรื่องที่เกิดระหว่างเราไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรเหรอ”
ลู่เซิ่นยิ้มเบาๆ”เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว ความทรงจำที่คุณสูญหายไปส่งผลอะไรต่อเราเหรอ เราจะมีความทรงจำที่อยู่ด้วยกันในอนาคตมากมาย คุณไม่ต้องรีบ อีกอย่างฉันจำได้เนี่ย ฉันจะค่อยๆเล่าให้คุณฟัง ดังนั้นคุณไม่สนใจเรื่องระหว่างเรา คุณแค่ต้องคิดดีๆว่า จะมีเรื่องสำคัญอื่นๆที่คุณต้องการจำได้เหรอเปล่า”
ฉินซีก้มลง และคิดอย่างตั้งใจสักพัก
สิ่งที่เธอจำไม่ได้ ก็ไม่มีผลต่อชีวิตของเธอ
ความรู้สึกคุ้นเคยที่ไม่รู้มาจากไหน ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะ ราวกับว่าก็ไม่ได้ส่งผลอะไรให้เธอและไม่ทำให้เธอต้องสูญเสียอะไรไป
ตอนนี้เธอไม่รู้ว่า ความทรงจำเหล่านี้สำคัญกับเธอมากหรือเปล่า
แต่เธอรู้ดีว่า ถ้าเธอจำเรื่องของเหยาหมิ่นได้ เธอคงไม่มีความสุขไปอีกนาน
เอานี้เป็นเงื่อนไขไปแลกกัน จะคุ้มจริงๆเหรอ
ฉินซีกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
แต่ลู่เซิ่นไม่ได้กระตุ้นเธอ
มือของลู่เซิ่นยังจับเธออยู่ ผิวที่อบอุ่นสัมผัสกัน ก็ทำให้ฉินซีสบายใจขึ้น