บทที่ 1057 ได้ไม่คุ้มเสีย
คนที่มาคือนักนิเวศวิทยาชื่อดังในเมืองหนาน
ในมือของเขาถือบางอย่างอยู่
เมื่อลู่เซิ่นมาถึงที่บริษัท ทั้งสองทักทายกันอย่างเรียบง่ายหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มคุยธุระกัน
“น้ำมันสำรองอยู่ต่ำขนาดนี้เลยเหรอ” ลู่เซิ่นขมวดคิ้วขณะดูหลักฐานที่ชายคนนั้นนำมาด้วย
แต่ชายคนนั้นกลับมั่นใจมาก “ข้อมูลของผมไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน ด้วยความที่รัฐบาลเขตต้องการรีบพัฒนาที่ดินผืนนั้น ดังนั้นจึงปิดข่าวเงียบและไม่บอกให้คนอื่นรู้”
“แต่ทำไมคุณถึงบอกผมล่ะ” ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้น มองไปที่ชายคนนั้น
อีกฝ่ายที่ไม่กระวนกระวายใจกลับยิ้มออกมาจางๆ “เพราะสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาของที่ดินผืนนั้นหาได้ยาก ผมต้องการโน้มน้าวคุณไม่ให้ขุดเหมือง และมันก็มีแค่วิธีนี้เท่านั้น”
ทั้งสองใช้เวลาคุยกันเนิ่นนาน สุดท้ายแล้วลู่เซิ่นก็ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรกับเขา เหลือเพียงข้อมูลที่ชายคนนั้นทิ้งไว้โดยเขาวางแผนจะให้คนของตัวเองตรวจสอบสิ่งที่ชายคนนั้นพูดเสียก่อน
ชายคนนั้นกลับไปแล้ว แต่เวลาในช่วงเช้าก็หมดไปแล้วเช่นกัน
สิ่งที่หลินหยังจัดการให้เขาคือแช่น้ำพุร้อนทั้งวัน โดยช่วงเช้าขับรถไปสองชั่วโมง แช่น้ำพุร้อนและทานอาหารกลางวัน ตื่นจากการพักสายตาและกลับไปแช่อีกครั้ง หลังจากนั้นทานอาหารเย็นแล้วจึงค่อยกลับ
แต่ด้วยเวลาที่ล่าช้าในตอนเช้า ส่งผลให้เวลาอื่นๆต่างเปลี่ยนแปลงไปด้วย
เพราะหากไปตอนนี้อาจต้องใช้เวลาถึงเที่ยงคืน ซึ่งจะส่งผลต่อตารางเวลาในวันถัดไป
สุดท้ายแล้ว ในช่วงที่การประมูลกำลังวุ่นวาย การเว้นว่างสักวันเพื่อหยุดพักผ่อนนับเป็นข้อจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานในวันถัดมา เช่นนี้แล้วนับว่าได้ไม่คุ้มเสีย
แต่ถ้าไม่ไป…วันหยุดพิเศษที่มีเวลาเหลือมากกว่าครึ่งวันก็เสียเปล่า
ลู่เซิ่นครุ่นคิด จากนั้นก็กวักมือเรียกหลินหยัง “มีโปรเจ็กต์ไหนที่ใกล้กว่านี้และสามารถเสร็จสิ้นในช่วงบ่ายไหม”
หลินหยังขมวดคิ้วพลางมองไปที่ลิสต์อยู่นาน จนสุดท้ายก็หาเจอ “นี่ครับท่าน ที่หอศิลป์ในเมืองหนานมีนิทรรศการบ่ายวันนี้ เป็นการแสดงผลงานของช่างภาพชื่อดังซึ่งควรค่าแก่การเข้าชม หอศิลป์ก็อยู่ใกล้แค่นี้เองครับ ท่านทานอาหารกลางวันและไปชมงานสองสามชั่วโมง จากนั้นทานอาหารเย็นที่โรงแรมใกล้ๆ เวลาค่อนข้างเหมาะสมเลยครับท่าน”
แผนที่วางไว้นั้นถือว่าพอรับได้ ลู่เซิ่นจึงพยักหน้าและปล่อยให้หลินหยังจัดการ
ประมาณบ่ายโมงลู่เซิ่นก็มาถึงหอศิลป์เมืองหนาน
เมืองหนานถือเป็นเมืองเก่าแก่ที่ยังคงไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรม ดังนั้นการออกแบบหอศิลป์จึงใช้ความคิดอย่างมากในการสรรสร้าง ซึ่งก็ดูมีเอกลักษณ์ไม่น้อย
ลู่เซิ่นมาที่เมืองหนานบ่อยครั้ง แต่เขามาที่นี่เป็นครั้งแรก เมื่อชมภายนอกของหอศิลป์แล้วก็ค่อยๆเดินเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ
เขามีเวลาตลอดบ่ายนี้ จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
เพราะยังเช้าอยู่ ผู้คนในหอศิลป์จึงไม่มากนัก ลู่เซิ่นหาโถงนิทรรศการที่ตนเองสนใจและค่อยๆชมผลงานไปทีละภาพอย่างช้าๆ
เขาไม่ใช่คนหัวศิลป์นัก แต่เพราะในฐานะทายาทของตระกูลลู่ เขาได้รับการปลูกฝังเรื่องศิลปะมาไม่น้อยแต่ก็ยังจำกัดแค่เฉพาะศิลปะการวาดภาพสีน้ำมันและการเล่นเปียโนที่ “สง่างาม” เรื่องการถ่ายภาพอะไรพวกนั้นแทบไม่เคยเรียนรู้เลย
ดังนั้นการเข้าชมนิทรรศการภาพถ่ายจึงเป็นความแปลกใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อย
หัวข้อของห้องนิทรรศการที่เขาเลือกนั้นเรียบง่ายมาก โดยมีเพียงคำว่า ลม คำเดียว
ลมไม่มีรูปร่าง เป็นอิสระ และจับต้องไม่ได้
แต่ช่างภาพสามารถใช้เลนส์จับภาพร่องรอยของคลื่นลมในทุ่งข้าวสาลีและในป่าไว้ได้
ยิ่งลู่เซิ่นมองเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสนใจมากเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้ารูปเด็กเป่าฟองสบู่
ตำแหน่งของภาพถ่ายก็ไม่ได้อยู่ตรงกลางอีกทั้งยังดูจะเอียงเล็กน้อยชื่อของช่างภาพก็เป็นชื่อที่ไม่คุ้นตา ไม่ใช่คนที่ลู่เซิ่นเคยได้ยินมาก่อน
แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุผลอะไรถึงรู้สึกว่ารูปนี้เป็นรู้ที่น่ามองที่สุดในบรรดารูปทั้งหมดที่จัดแสดง
เด็กน้อยไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ยื่นแขนข้างหนึ่งออกมาโดยของเล่นพ่นฟองสบู่ถืออยู่ในมือ
ส่ายลมพัดผ่าน ทำให้ฟองสบู่ลอยไปอยู่อีกฝั่งของรูป
ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ลู่เซิ่นกลับยืนอยู่หน้ารูปถ่ายนี้เป็นเวลานานหลายนาที
ทันใดนั้นก็มีเสียงคมชัดดังขึ้นมาจากด้านหลัง “คุณชอบรูปนี้เหรอคะ”
……
สิ่งที่ลู่เซิ่นพูดทำให้ฉินซีรู้สึกประทับใจ
เธอคุ้นเคยกับรูปที่ลู่เซิ่นพูดถึงอย่างมาก แม้แต่ต้นฉบับของภาพถ่ายก็ยังคงอยู่ในคอมพิวเตอร์ของเธอ เพราะเธอเป็นคนถ่ายภาพนั้น
นิทรรศการภาพถ่ายนั้นได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนิทรรศการผลงานของช่างภาพชื่อดัง แต่เนื่องจากห้องโถงที่จัดนิทรรศการมีขนาดใหญ่มาก ผลงานของช่างภาพชื่อดังเหล่านั้นจึงไม่พอ ดังนั้นในห้องโถงที่ไกลออกไปจึงจะขาดผลงานของคนอื่นๆไปไม่ได้
ภาพถ่ายของฉินซีถูกส่งไปยังสมาคมถ่ายภาพ โดยพวกเขาประกาศหัวข้อบนเว็บไซต์ล่วงหน้าจากนั้นก็รวบรวมเหล่าผลงานก่อนนิทรรศการจะจัดขึ้น ซึ่งผลงานของเธอได้รับการคัดเลือกผ่านช่องทางนี้
และเพราะผลงานของตัวเองเป็นหนึ่งในผลงานที่ถูกเลือก เธอจึงมาเมืองหนานเพื่อเข้าชมนิทรรศการเป็นพิเศษ
นี่เป็นครั้งแรกที่ภาพของฉินซีได้จัดแสดง และยังเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการยอมรับในฐานะช่างภาพ
ดังนั้นเธอจึงตื่นเต้นมาก วันนั้นเธอเอาแต่อยู่ในโถงนิทรรศการทั้งวัน คอยกลับไปที่ผลงานของตัวเองอยู่บ่อยๆ เฝ้าดูว่ามีใครมาชื่นชมผลงานของเธอบ้างและแทบรอไม่ไหวที่จะแนะนำพวกเขาว่าเธอเป็นคนถ่ายรูปนี้
แต่เธอจำไม่ได้เลยว่าตนเองได้พบเจอใครบางคนที่ควรค่าแก่การจดจำ
หากลู่เซิ่นเป็นอย่างที่พูดว่ายืนอยู่หน้าผลงานนานเป็นนาทีจริงๆ แล้วทำไมตัวเองถึงไม่รู้สึกประทับใจเลยแม้แต่น้อยล่ะ
เมื่อเห็นว่าท่าทางของฉินซีดูจะสับสนเล็กน้อยลู่เซิ่นตบหลังมือของเธอเบาๆเพื่อเป็นการเรียกสติ
……
คนที่เป็นฝ่ายพูดก่อนไม่ใช่ใครอื่นใด แต่เป็นฉินซี
แน่นอนว่าลู่เซิ่นไม่รู้จักชื่อของเธอในตอนนั้น
เขาหันหน้ามามอง ก็เห็นใบหน้ารูปไข่ที่สวยไม่น้อย
แต่สำหรับลู่เซิ่นแล้ว ใบหน้าสวยๆมีให้เห็นมากมายและโดยส่วนมากคนที่เข้ามาคุยกับเขามักจะมาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์
เพราะอย่างนั้นเมื่อเขาเห็นเช่นนี้จึงจัดเธอให้อยู่ในหมวดหมู่นั้นไปโดยอัตโนมัติ เขาเพียงแค่พยักหน้าให้อย่างเย็นชาและไม่ได้พูดอะไรออกไป
แต่ฉินซีกลับไม่ยอมแพ้ต่อความเฉยเมยของเขา เธอก้าวไปข้างหน้าและยืนอยู่ด้านข้างๆเขา “คุณยืนอยู่ตรงนี้นานหลายนาทีแล้ว ดูท่าจะชอบรูปนี้มากเลยนะคะ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาไม่ค่อยชอบกับการกระทำที่ดูสนิทสนมแบบนี้เสียเท่าไหร่
ในขณะที่เขากำลังจะหันกลับแล้วเดินจากไปก็ได้ยินเสียงของฉินซีพูดขึ้น “งั้นฉันขอบคุณมากๆเลยนะคะ เพราะฉันเป็นคนถ่ายภาพนี้เอง”
ลู่เซิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเขาหยุดฝีเท้าพลางหันกลับมามอง “คุณเป็นคนถ่ายเหรอ”
ฉินซียิ้ม “ทำไมคะ ดูไม่เหมือนเหรอ”
ลู่เซิ่นยังคงสงสัยอยู่ “ไม่ใช่ไม่เหมือนครับ ก็แค่…..”
ฉินซีไม่ได้ตำหนิเขา แต่เพียงชี้ไปที่มุมเล็กๆของรูปถ่าย “เฮ้ ตรงนั้นมีชื่อของฉันซ่อนอยู่”
ลู่เซิ่นเข้าไปมองใกล้ๆและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
มีชื่อที่ไหนกัน เห็นเพียงแต่ X ตัวพิมพ์ใหญ่เขียนอยู่เท่านั้น
ฉินซีเห็นรอยยิ้มของเขาจึงพูดออกมาอย่างเคืองๆ “คุณยิ้มอะไร!นั่นคือภาพที่ฉันตั้งใจถ่ายออกมาเลยนะ ถ้าคุณไม่เชื่อ เราไปหาผู้จัดเพื่อพิสูจน์เลยก็ได้!”
บนใบหน้าของลู่เซิ่นยังคงเผยให้เห็นรอยยิ้ม การได้เห็นใบหน้าโกรธเคืองของฉินซีก็ยิ่งทำให้เค้ารู้สึกสนใจมากขึ้น
เขาเข้าใจผิด คนๆนี้…ไม่น่ามีจุดประสงค์เหมือนคนอื่นๆที่มักเริ่มชวนคุยก่อน
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ” ครั้งแรกที่เขาเอ่ยปาก “ผมเชื่อแล้วว่าคุณเป็นคนถ่าย”