บทที่ 1058 เธอในอดีต
ลู่เซิ่นรู้สึกว่าคำที่ตัวเองพูดออกไปนั้นเป็นแค่ประโยคธรรมดาๆเท่านั้น แต่ทำไมผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าถึงต้องหลบสายตาด้วย
เธอเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาลดต่ำลง “คุณ…อยากจะชมผลงานอื่นๆในนิทรรศการอีกไหม ฉันช่วยแนะนำให้ได้นะคะ”
ลู่เซิ่นเห็นความลำบากใจบนใบหน้าของเธอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆความคิดอยากแกล้งก็ผุดขึ้นมา เขาจึงตอบรับเธอไป “งั้นรบกวนด้วยนะครับ”
……
แม้ว่าฉินซีจะไม่มีความประทับใจกับเรื่องนี้ แต่เมื่อฟังคำอธิบายของลู่เซิ่น ทำให้เธอรู้สึกได้จริงๆว่าเขาเคยเจอเธอในอดีต
เพราะอิงจากความทรงจำของเธอแล้ว ตอนที่ลู่เซิ่นได้เจอกับตัวเองนั้น เธอได้ผ่านประสบการณ์ทรยศต่างๆจากฉินซึ่งเทียนแล้ว จนกลายเป็นคนที่ทั้งหดหู่และปิดกั้น
ทั้งที่เธอในอดีตไม่ใช่คนแบบนี้เลย
ฉินซีคือลูกสาวของตระกูลฉิน เธอมีครบทุกอย่างโดยเติบโตมาอย่างไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลบนอุ้งมือใหญ่ที่คอยโอบอุ้ม ดังนั้นเธอจึงไร้เดียงสา บุคลิกร่าเริง มีชีวิตชีวาและมักเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยอยู่เสมอ เมื่อมีคนชื่นชอบในผลงานของตัวเอง เธอจึงตื่นเต้นดีใจเหมือนนกที่ร้องเจื้อยแจ้ว ดูมีชีวิตชีวาและสดใส
เหมือนกับที่เธอพบจ้าวจิ้งในตอนนี้
คนที่ลู่เซิ่นพูดถึง คือคนเดียวกับที่เธอเคยเป็น
แล้วทำไมเธอถึงต้องหน้าแดงตอนที่ลู่เซิ่นเอ่ยปาก อีกทั้งยังเป็นฝ่ายอาสาพาเขาเดินชมนิทรรศการด้วยกันอีก…
ฉินซีไม่มีวันยอมรับกับลู่เซิ่นแน่นอนว่าเธอมีคุณสมบัติการควบคุมด้วยเสียงซ่อนอยู่
เมื่อใดที่ลู่เซิ่นใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำในการพูดคุย เมื่อนั้นฉินซีก็แทบจะไม่สามารถต้านทานได้เลย
ในเรื่องนี้ เป็นมาแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเปลี่ยน
แต่ถึงเธอจะไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่แน่ว่าลู่เซิ่นจะดูไม่ออก
ตัวอย่างเช่นในขณะนี้ สายตาที่ลู่เซิ่นมองมามีนัยของการสอบสวนแฝงอยู่
ฉินซีจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “อย่างนั้นแล้วเราสองคนไปชมนิทรรศการด้วยกันไหม”
ลู่เซิ่นมองเห็นจุดประสงค์ของเธอในการเปลี่ยนหัวข้อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาเพียงแค่พยักหน้าและพูดขึ้น “ก็ดี”
……
เพราะมีเพื่อนที่คอยเจื้อยแจ้วอย่างฉินซี ลู่เซิ่นจึงไม่รู้สึกเบื่อเลย
“ทำไมคุณถึงถ่อมาถึงห้องจัดแสดงที่ไกลแบบนี้ได้ล่ะ” ฉินซีเอ่ยถามขึ้นในขณะที่พาลู่เซิ่นเดินชมด้านนอก
ลู่เซิ่นส่ายหัว “ผมก็แค่ดูไปเรื่อยๆ”
“ห่ะ?” ฉินซีสงสัย “คุณไม่ได้ตั้งใจมานิทรรศการโดยเฉพาะเหรอ”
ลู่เซิ่นนิ่งชั่วครู่แล้วจึงส่ายหัว “ไม่ใช่ ผมแค่แวะผ่านมาก็เท่านั้น”
ฉินซีลากเสียง“อ๋อ”ยาว จากนั้นก็ถามขึ้นอีกครั้ง “เพราะงั้นคุณก็ไม่ใช่ช่างภาพสินะ”
ครั้งนี้ลู่เซิ่นส่ายหัวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ใช่ ผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
สีหน้าฉินซีเผยให้เห็นความผิดหวัง แต่ในไม่ช้าก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง “ไม่เป็นไร แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาที่ชอบผลงานของฉัน แต่มันก็หมายความว่าฉันถ่ายออกมาได้ดีใช่ไหมล่ะ!”
เมื่อลู่เซิ่นได้ยินอย่างนั้นก็อยากจะหัวเราะออกมา แต่เขาก็ทำเพียงแค่พยักหน้าคล้อยตามเท่านั้น
ฉินซีกลอกตา “เนื่องจากคุณเป็นคนนอกวงการ…งั้นฉันจะเป็นคนพาคุณไปห้องนิทรรศการที่มีชื่อเสียงที่สุดเอง ข้างในนั้นมีแต่ผลงานของช่างภาพที่ฉันชอบทั้งนั้นเลย ทุกรูปมีราคาสูงทั้งนั้น”
ลู่เซิ่นมักจะซื้อภาพวาดสีน้ำมันหรืองานศิลปะอื่นๆ ในราคาสิบล้านเขาก็เคยยกมือขึ้นประมูลมาแล้ว แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของฉินซีแล้ว ดูเหมือนว่าผลงานของคนกลุ่มนี้ก็มีค่ามากเช่นเดียวกับวัตถุโบราณเหล่านั้น
เขามองฉินซีจากทางด้านหลัง ยิ่งทำให้รู้สึกสนใจเธอมากยิ่งขึ้น
ฉินซีนำเขาไปยังโถงจัดนิทรรศการ เธอคุ้นเคยกับที่นี่ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินไปเดินมาในห้องนั่งเล่นอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเห็นภาพที่เธอรู้สึกว่าสวยก็จะหยุดนิ่งและลากลู่เซิ่นให้ไปชื่นชมด้วยกัน
ฉินซีมีนิสัยที่ค่อนข้างกระตือรือร้น แต่เมื่ออยู่ในสายงานเธอจะทุ่มเทเป็นอย่างมาก เป็นผู้หลงใหลในการถ่ายภาพ
เมื่อเจอผลงานจากช่างภาพที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษ เธอจะอาลัยอาวรณ์อยู่นาน วิเคราะห์เป็นต่อยหอยถึงแสงและเงาที่ใช้ให้คนนอกวงการอย่างลู่เซิ่นฟัง เมื่อพูดจบเธอก็เกิดรู้สึกเกรงใจขึ้นมาจึงเงยขึ้นเหลือบมองเขา “ฉันพูดมากไปแล้วใช่ไหม คุณ…รู้สึกรำคาญรึเปล่า”
ลู่เซิ่นยิ้มพลางโบกมือ “ไม่เลย”
ณ ตอนนั้นเขารู้สึกจริงๆว่าการที่ตัวเองมานิทรรศการนั้น เป็นเรื่องที่คิดถูกแล้วจริงๆ
มีเพื่อนที่คอยเจื้อยแจ้วอย่างฉินซี ทำให้ช่วงเวลาตลอดบ่ายนี้ไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย
เมื่อฉินซีได้ยินเช่นนั้น คิ้วของเธอก็ผ่อนคลายลง “โอเค งั้นเราไปดูผลงานอื่นกันต่อเถอะ!”
พูดจบก็ไม่พูดพร่ำทําเพลง ลากลู่เซิ่นให้เดินตามมาด้านหลัง
……
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อฟังลู่เซิ่นพูดถึงเธอในอดีต จู่ๆฉินซีก็รู้สึกอายขึ้นมา
ตอนนั้นเธอไม่กลัวคนแปลกหน้าเลย เพิ่งเจอกันแท้ๆอีกทั้งยังใกล้ชิดอีก…
เรื่องน่าอายแบบนี้ ยังคงอยู่กับเธอจนมาถึงปัจจุบัน
เมื่อนึกถึงตัวเองเจื้อยแจ้วอย่างมีชีวิตชีวาอย่างนั้น ฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดหน้า
ลู่เซิ่นรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังเขิน จึงยกมือขึ้นเพื่อดึงมือเธอลง “ทำไม ฟังต่อไม่ไหวแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่!” ฉินซีส่ายหน้า “แค่รู้สึกว่า…เมื่อก่อนฉันดูโง่มาก”
“โง่ยังไง!” ลู่เซิ่นเคาะหัวเธอเบาๆ “สดใสต่างหาก”
ทันใดนั้นฉินซีก็เงยหน้าขึ้นสบตากับลู่เซิ่น “แต่ว่านายตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกเห็นเลยเหรอ”
แต่เธอยังมีอีกครึ่งประโยคที่ไม่ได้พูดออกไป
แต่ว่าถ้าคนที่นายชอบคือฉันในอดีต แล้วจะอยู่กับฉันในปัจจุบันได้ยังไง
ในท้ายที่สุด แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ฉินซีกลับรู้สึกว่าเหมือนเป็นคนละคนกัน
ลู่เซิ่นหัวเราะ “ตอนนั้น ฉันไม่ได้ตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นหรอกนะ”
เขาแค่รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่มีชีวิตชีวาคนนี้น่าสนใจมาก แต่ก็ไม่ได้คิดเป็นอื่น
เพราะคุณหนูน่ารักไร้เดียงสาแบบนี้ ลู่เซิ่นเคยเจอมาเยอะแล้ว และฉินซีเองก็ไม่มีอะไรพิเศษ
แม้ว่าใบหน้าของฉินซีจะสวยมาก แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นความสนใจของเขาเลย
ฉินซีรู้สึกสับสน “แล้วระหว่างเราเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้นายจำไม่ลืม”
ลู่เซิ่นเอื้อมมือออกและกดลงริมฝีปากของเธอ “เธอก็ค่อยๆฟังสิ ฉันบอกแล้วไงว่าเรื่องมันยาว”
ฉินซีอดกลั้นอย่างไม่เต็มใจเพื่อฟังคำอธิบายของลู่เซิ่นต่อไป
……
จากวิธีการเดินเล่นแบบนี้ของแล้ว ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงสำหรับโถงนิทรรศการเพียงแห่งเดียว
เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม ผู้คนในโถงนิทรรศการก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น
โถงจัดแสดงหลักที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ เนื่องจากเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ผู้คนจึงค่อยๆหนาแน่น
ลู่เซิ่นไม่สามารถปรับตัวกับสภาพที่แออัดเช่นนี้ได้ คิ้วของเขาจึงค่อยๆขมวดเป็นปม
และฉินซีก็สามารถรู้ได้ทันที
“อึดอัดใช่ไหม” เธอเป็นฝ่ายเอ่ยถาม “อย่างนั้นพวกเราไปโถงอื่นกันเถอะ หรือไม่คุณช่วยพาฉันไปที่หน้าผลงานฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากรู้ว่ามีคนอื่นมาชื่นชมผลงานฉันบ้างรึเปล่า”
คำพูดของเธอช่างตรงไปตรงมา ทำให้ลู่เซิ่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมกับพยักหน้าตอบรับ
ฉินซีกระพริบตาปริบๆ ท่าทางสดใส จู่ๆก็เอื้อมมือมาคว้าแขนเสื้อของลู่เซิ่นไว้ “ตอนนี้คนแน่นมาก คุณอย่าทิ้งฉันนะ!”
ลู่เซิ่นก้มมองไปที่นิ้วมือขาวของเธอที่อยู่บนแขนเสื้อของเขา มีความรู้สึกผันผวนเกิดขึ้นในใจ
เขาไม่เคยชอบให้คนอื่นแตะต้องตัวเอง แต่การใกล้ชิดของฉินซีกลับไม่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ