บทที่ 1060 ทุ่มสุดตัว
ลู่เซิ่นรู้สึกกังวล แต่ก็ไม่รู้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง
ตอนนี้ในโถงนิทรรศการตกอยู่ในความตื่นตระหนก เพราะกลัวจะไม่มีใครได้ยินจึงตะโกนคุยกัน เสียงทุกอย่างจึงดังออกมาไม่หยุด
ทุกคนต่างมีความคิดเดียวคือต้องการออกจากที่นี่ ไม่รู้ว่าในโถงนิทรรศการที่มืดมิดนี้จะมีสิ่งประหลาดอะไรอีกไหม ทุกคนจึงตื่นกลัวว่าระเบิดลูกต่อไปจะดังขึ้นใกล้ๆตัวเอง
ในขณะที่ลู่เซิ่นกำลังครุ่นคิดว่าจะอย่างไร จู่ๆเสียงของลำโพงก็ดังขึ้น
“ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วพลางหันมองไปตามทิศทางที่ฉินซีอยู่
เป็นอย่างที่คิด เธอกำลังตะโกนด้วยโทรโข่งที่ไม่รู้ว่าเธอเอามันมาจากที่ไหน “ทางออกฉุกเฉินเปิดออกแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะได้ออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด !ขอให้ทุกคนอย่าเบียดกันและเดินอย่างเป็นระเบียบ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครได้ออกไปและติดอยู่ที่ประตูแบบนี้ต่อไป! ”
เธอตะโกนสุดเสียง แต่กลับไม่มีใครฟังเธอเลย
ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปไม่ได้ยินเสียงของเธอ ส่วนผู้คนที่อยู่ใกล้ก็เห็นเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงกำลังถือทรัมเป็ตจึงไม่ให้ความสนใจ มีแม้กระทั่งบางคนถึงกับพูดเหยียดหยาม “ถ้าเธอไม่รีบเดิน งั้นก็อยู่ที่นี่ไปก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่ทำที่พูด ฉินซีจึงกังวลและคิดจะตะโกนไปทางอื่น แต่แล้วโทรโข่งที่อยู่ในมือก็ถูกแย่งไปอย่างกะทันหัน
ฉินซีเงยหน้าขึ้นมา และเห็นว่าคนที่แย่งโทรโข่งไปไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลู่เซิ่น
“ด้านหน้า เรียงเป็นสามแถว ส่วนด้านหลังทำตามด้านหน้าอย่างมีสติ ” ลู่เซิ่นพูดอย่างรวบรัด
เขาไม่ได้ตะโกนสุดเสียงเหมือนกับฉินซี เพียงแค่พูดคำเหล่านี้ออกมาด้วยความสุขุม แต่เพราะความสง่างามในฐานะผู้นำของเขาที่ไม่อาจปกปิดได้ อีกทั้งยังสวมชุดสูทราคาแพง จึงทำให้ผู้คนต่างรู้สึกมั่นใจไปโดยปริยาย
มีเพียงคนที่เยาะเย้ยฉินซีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงดื้อรั้นพลางเปิดปากเถียง “แกเป็นใคร บอกให้เราเข้าแถวแล้วคิดว่าเราจะทำตามรึไง”
ลู่เซิ่นเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “คุณไม่เข้าแถวก็ได้ แต่จะไสหัวไปตายที่ไหนก็ไป อย่าให้กระทบกับคนอื่น”
คำพูดที่เขาใช้ไม่สุภาพนัก แต่ดูเหมือนจะได้ผลกับพวกอันธพาลแบบนี้ คนๆนั้นถูกคนรอบข้างดึงและต่อว่าจนเดินไปอีกทางหนึ่ง
ผู้คนต่างจัดเป็นสามแถวตามคำสั่งของลู่เซิ่น
ฉินซีและลู่เซิ่นยืนยังคงยืนอยู่ที่ด้านข้างตามเดิมโดยไม่ได้ไปต่อแถว
โชคดีที่ดูเหมือนว่าในหอศิลปะจะไม่มีระเบิดลูกอื่นๆแล้ว ซึ่งหลังจากที่เกิดระเบิดที่โคมไฟไปก็ยังไม่มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีกเลย
ไม่รู้ว่าเพราะความเงียบสงบนี้หรือไม่ที่ปลอบขวัญผู้คน ทุกคนต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจากที่แถวในตอนแรกยังคงมีความวุ่นวายอยู่ก็ค่อยๆเป็นระเบียบมากขึ้นเรื่อยๆ
ค่อยๆออกไปกันทีละสามคน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็สามารถอพยพผู้คนในโถงนิทรรศการให้ออกไปได้จนเกือบหมด
ส่วนลู่เซิ่นและฉินซีก็ไปต่อแถวสุดท้ายและเดินออกมาด้วยกัน
ฉินซีหันไปมองลู่เซิ่นพลางเม้มปากพูด “ทำไมพวกเขาไม่ฟังคำพูดของฉันเลย ฟังแต่คุณคนเดียว”
ลู่เซิ่นก้มหัว ด้วยความที่แสงในโถงนิทรรศการมืดสลัวทำให้เขาเห็นใบหน้าของฉินซีไม่ชัดและไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ในตอนนี้ของเธอได้ จึงเพียงพูดออกมาอย่างแผ่วเบา “นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอ แค่…เธอเด็กเกินไปทั้งยังเป็นผู้หญิงอีก โดยสัญชาตญาณแล้วพวกเขาเลยไม่อยากเชื่อเธอก็เท่านั้นเอง”
“เหยียดเพศนี่” ฉินซีพึมพำด้วยความไม่มั่นใจ
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรต่อ
บนโลกใบนี้ การเหยียดเพศก็เป็นเหมือนรากที่หยั่งลึกและแข็งแรง ซึ่งเขาไม่สามารถทำอะไรได้
ฉินซีที่โกรธตัวเองอยู่พักใหญ่ จู่ๆก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ว่า…โชคดีที่คุณอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็คงยังติดอยู่ในโถงนิทรรศการ เพราะทุกคนไม่ฟังฉันเลย”
ลู่เซิ่นส่ายหัว “โชคดีที่มีคุณต่างหาก ถ้าคุณไม่เจอโทรโข่งอันนั้น ผมก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนฟังได้หรอก”
ฉินซียิ้ม “โอเค พวกเราหยุดชมกันไปชมกันมาได้แล้ว รอให้มีคนมาสัมภาษณ์แล้วพวกเราค่อยคุยโวโอ้อวดกันก็แล้วกัน”
ลู่เซิ่นยิ้มมุมปาก
อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนไม่ชอบยุ่งกับเรื่องวุ่นวายแบบนี้ที่สุด หากว่าตามนิสัยของเขาแล้ว เมื่อได้ยินเสียงปืนก็จะรีบออกจากโถงนิทรรศการโดยทันที ถ้าไม่ตามฉินซีเข้าไปก็จะไม่ติดอยู่ข้างในนั้น ถ้าไม่เห็นว่าฉินซีถูกพูดจาไม่ดีใส่ก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
ดังนั้นพูดได้ว่า การกระทำที่ผิดไปจากเดิมของเขาในวันนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากฉินซี
หากมีใครมาสัมภาษณ์ถึงความกล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องของพวกเขา ลู่เซิ่นก็จะไม่ยอมรับการสัมภาษณ์ใดๆ
ไม่ใช่เพียงเพราะลู่เซิ่นขี้เกียจให้สัมภาษณ์กับนักข่าว แต่เพราะเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆว่าถ้าหากจะมีใครที่กล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง คนๆนั้นก็คือฉินซี
……
“ว้าว…ที่คุณพูดมา…ฉันเจ๋งมากเลย” ใบหูของฉินซีเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยคำชมของลู่เซิ่น เธอจึงพูดมุกตลกออกมาเพื่ออำพลางความเขินอายของตัวเอง
ลู่เซิ่นก็ไม่ได้พูดจี้จุด เพียงแค่สบตากับเธอตรงๆ “ผมไม่ได้พูดผิดเลย เดิมทีก็เพราะคุณนั่นแหละ”
ฉินซียิ้มพลางส่ายหัว
ตอนนี้เธอแทบจะนึกไม่ออกว่าตอนนั้นเธอทุ่มสุดกำลังของตัวเองแล้ว
หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ทำให้เธอค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนที่เลือดเย็นและเห็นแก่ตัวทีละนิด
แต่โชคยังดี แม้เธออาจจะไม่ใจดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่มีวันเห็นแก่ตัวอย่างฉินซึ่งเทียน ที่ถึงขั้นไม่สนใจใครเลยแม้แต่น้อย
“เป็นเพราะใจดีและจริงใจของฉันที่ทำให้นายหลงใหลในตัวฉันใช่ไหม ” ฉินซีพูดแหย่
ลู่เซิ่นยิ้ม “เป็นเพราะแบบนี้ไงถึงรู้สึกว่าเธอพิเศษ”
……
ทั้งสองคนเดินอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ออกจากโถงนิทรรศการหลัก
ทุกคนที่อยู่ในหอศิลป์ได้อพยพออกมาหมดแล้ว และขณะนี้มีนักข่าวมากมายกำลังขวางทางประตูหอศิลป์
โชคยังดีที่ตำรวจมาถึงอย่างรวดเร็วและกำลังอพยพฝูงชน
พวกเขามีประสบการณ์มาก ดังนั้นลู่เซิ่นจึงรู้สึกเบาใจ
เขากำลังจะหันไปกล่าวลาฉินซี แต่เมื่อหันไปกลับพบเด็กชายตัวอ้วนเดินโซเซมาหาทางพวกเขาสองคน
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วและกำลังจะเบี่ยงหลบ แต่แล้วเด็กชายก็โอบกอดต้นขาของฉินซีไว้พลางกันไปตะโกน “แม่ !แม่ !คนนี้!”
ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมองตามทางที่เด็กชายมองไปก็พบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังรีบวิ่งมา
เมื่อเธอเห็นฉินซีก็โค้งคำนับขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณคุณมากๆเลยนะคะ ถ้าไม่มีคุณ ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เสี่ยวเป่า ของพวกเราจะเป็นยังไง”
ลู่เซิ่นยื่นมือช่วยพยุงเธอขึ้นมา “ไม่เป็นไรค่ะ แค่เรื่องเล็กน้อยเอง”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเธอเป็นผู้มีพระคุณอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่ลู่เซิ่นได้ฟังคำพูดวนไปวนมาของเธออยู่สักพัก ในที่สุดท้ายก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้นได้
ตอนที่โคมไฟระเบิดในตอนแรก เด็กน้อยเสี่ยวเป่า คนนี้กำลังยืนอยู่ใต้โคมไฟ
แรงระเบิดทำให้หลอดไฟแตกและร่วงลงมา ถ้าไม่ใช่เพราะฉินซีดึงเสี่ยวเป่าออกมา ชิ้นส่วนของหลอดไฟอาจจะร่วงตกใส่ศีรษะของเสี่ยวเป่า ได้
……มิน่าล่ะ คุณแม่คนนี้ถึงได้ดูซาบซึ้งใจมาก
ลู่เซิ่นไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย แต่ในทางกลับกันเขารู้สึกว่าการที่ฉินซีได้รับการขอบคุณนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างมาก
คุณแม่ที่ดูอายุยังไม่มากนักอยู่พูดคุยกับฉินซีพักใหญ่ จนกระทั่งผู้คนด้านนอกอพยพออกไปจนเกือบหมด ตำรวจเริ่มทยอยคนออกนอกประตูแล้ว เธอที่ดูท่าจะยังไม่อยากไปนักก็โค้งคำนับอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป