บทที่ 1073 ความตั้งใจเห็นๆ
ฉินซีถอนหายใจ ก่อนส่ายหน้า : “ไม่ต้องหลอก”
หน้าศาล หลังถูกเหล่านักข่าวห้อมล้อม เธอได้เปลี่ยนแผนการที่วางเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
แต่เธอไม่คาดคิด เนื้อหาคำพิพากษาจะถูกเผยแพร่ออกไป
ไม่ถือว่าเลวร้ายอะไร เพียงแต่เธอต้องเปลี่ยนแปลงแผนการที่วางเอาไว้อีกครั้งเท่านั้น
จ้าวจิ้งที่ได้ยินคำตอบที่มั่นคงของเธอ จึงพยักหน้ารับ ก่อนเงียบไปตลอดทาง
“ตอนนี้เธอยังอาศัยอยู่กับตระกูลลู่ไหม?” ฉินซีนึกขึ้นได้กะทันหัน เธอหันหน้าถามจ้าวจิ้ง “จะได้ให้คนขับรถไปส่งเธอที่บ้านก่อน”
จ้าวจิ้งยิ้มพลางพยักหน้า : “เปล่านี่ ฉันย้ายออกมาได้หลายวันแล้ว คุณนายลู่…..น่ากลัวนิดหน่อย”
ฉินซีที่นึกภาพทีท่าหยิ่งยโสของสูหยิง เธออดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็อดเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้เช่นกัน : “ ถ้าอย่างนั้นเธออยู่คนเดียว จะปลอดภัยหรือเปล่า?”
จ้าวจิ้งเผยรอยยิ้มอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มีความเหนียมอายซ่อนอยู่ : “อันที่จริง…..ฉันอยู่กับแฟน”
ฉินซีอึ้งไป
เธอคิดว่า…..จ้าวจิ้งโสดมาโดยตลอด
ไม่ใช่ความผิดเธอหลอก บอกไปต่างจังหวัดไปเป็นอาทิตย์ แถมยังไม่กลับบ้าน เช่นนี้ เหมือนคนมีความรักซะที่ไหนกัน
เสมือนว่าจ้าวจิ้งอ่านความคิดฉินซีออก เธอเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “พวกสองคนเป็นแบบนี้มาตลอด เขางานยุ่งกว่าฉัน เราจึงไม่มีปัญหาอะไรกัน”
ฉินซีหัวเราะออกมา
เธอเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นทำไมกัน ตัวเธอเองกับลู่เซิ่น เป็นแบบนี้เช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ
“คดีของเห้อเสียง โดยรวมแล้วไม่มีปัญหาอะไร หลังจากนี้…..ยังต้องทำคดีแพ่งอีกไหม?” จ้าวจิ้งเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน
ฉินซีส่ายหน้า : “อันที่จริงเตรียมการเอาไว้แล้ว แต่ประชาชนไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่ว่าตอนนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้…..เหมือนว่าไม่จำเป็นแล้ว”
ทั้งคู่สบสายตาพร้อมส่งรอยยิ้มให้แก่กัน : “โอเค”
ไม่นานนัก ทั้งคู่มาถึงอพาร์ทเม้นของจ้าวจิ้ง เธอล่ำลาฉินซี ก่อนลงจากรถ
ฉินซีเห็นร่างชายหนุ่มร่างผอมแห้งยืนรออยู่หน้าอพาร์ทเม้น ทั้งคู่กอดกันอย่างรักใคร่ ก่อนเดินขึ้นไปชั้นบน
ฉินซีคิดถึงลู่เซิ่นขึ้นมา
ทั้งๆที่รู้แก่ใจดีเวลานี้ เป็นเวลาหลับนอนของเขา แต่เธอกลับอยากโทรหาเขาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ อยากได้ยินเสียงของเขา
แน่นอน เมื่อรถเคลื่อนตัวออก ฉินซียังคงกำโทรศัพท์ตนเอาไว้ในมืออยู่อย่างนั้น ไม่กดโทรหาลู่เซิ่น
ฉินซีกลับถึงรีสอร์ทชิงหยวน ท้องฟ้าเริ่มหม่น
ขณะที่เธอเดินไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร โทรศัพท์ในมือดังขึ้น
เธอรู้สึกว่า คนที่โทรมาหาเธอนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น
“ลู่เซิ่น?” ฉินซีรับโทรศัพท์ เธอสติหลุดในเวลาอันสั้น “ทำไมถึงโทรมากะทันหันล่ะ?”
น้ำเสียงลู่เซิ่นแหบเล็กน้อย เสมือนเพิ่งตื่นนอน : “ผม…..ได้ข่าวเรื่องในโลกออนไลน์ เธอโอเคใช่ไหม?”
ฉินซีนิ่งไป
เธออยากตอบว่าโอเค แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
ขณะที่เธอเปิดข่าว เธอได้อ่านคอมเม้นข้างล่างอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ฉินซี…..อาการไม่ค่อยดีอยู่แล้ว
ทำได้เพียงเป็นไปตามนิสัยเธอ เรื่องแบบนี้เดี๋ยวก็ผ่านไป ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมากกว่านี้มาแล้ว เรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทางร่างกายใดๆ ไม่คุ้มที่จะเก็บมาคิด ไม่คุ้มที่จะให้ราคา
แต่ได้ยินน้ำเสียงของลู่เซิ่น เธอไม่สามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
“ฉัน…..” ฉินซีลังเลพักหนึ่ง ท้ายที่สุดเธอก็พูดมันออกมา “วันนี้ฉันไปฟังการตัดสินคดีของเห้อเสียง เห้อเสียงถูกตัดสินเป็นผู้บริสุทธิ์พร้อมปล่อยตัว”
ลู่เซิ่นกลับเอ่ยขึ้นกะทันหัน : “เธอกินข้าวหรือยัง?”
ฉินซีไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่วายตอบตามจริง : “ยัง ฉันเพิ่งถึงบ้าน”
ลู่เซิ่นเอ่ย : “ถ้างั้นเธอไปกินก่อน”
ฉินซีงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น : “ห๊า?”
เป็นตัวเขาที่เริ่มก่อนแท้ๆ แต่เมื่อตนเริ่มเล่า เขากลับคิดจะตัดสายทิ้ง?
ลู่เซิ่นกลับกดวางสายอย่างแน่วแน่
ไม่ทันที่ฉินซีได้ตั้งตัว โทรศัพท์ในมือกลับดังขึ้นอีกครั้ง
ลู่เซิ่นสับเปลี่ยนเป็นวีดีโอคอลเข้ามา
ฉินซีถึงได้เข้าใจจุดประสงค์ของลู่เซิ่น เธอยิ้มพร้อมส่ายหน้า ก่อนกดรับสาย
“เธอไปกินข้าวก่อน เสร็จแล้วค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่นเพิ่งตื่นนอน ผ้าห่มยังคงกองอยู่หว่างเอว ผมเผ่ายุ่งเหยิง
ฉินซีหน้าร้อนเผ่าโดยไม่ทราบสาเหตุ “ฉันกินข้าว คุณจะอยู่ดูฉันกิน?”
“อืม” ลู่เซิ่นหัวเราะออกมา “ผมจะจ้องมองคุณแบบนี้”
ฉินซีรู้ว่าเขาเพียงแค่ล้อเล่น จึงไม่เสียเวลาต่อ เธอยกโทรศัพท์ขึ้นพร้อมมุ่งไปยังห้องอาหาร เสมือนว่าเธอคิดจะรับประทานอาหารโชว์เขาจริงๆ
ลู่เซิ่นอมยิ้ม : “ผมจะไปอาบน้ำพอดี คุณไปกินข้าวก่อน กลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
ฉันซีพยักหน้ารับ แต่ทั้งคู่กลับไม่มีใครยอมตัดสายทิ้ง
ลู่เซิ่นวางโทรศัพท์ไว้บนเตียง ในมุมฉินซีเห็นเพียงเพดานสีขาวเท่านั้น เธอจึงวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง หมุนโทรศัพท์กลับมา ก่อนลงมือจดจ่อกับอาหารตรงหน้า
ไม่ทันที่เธอรับประทานอาหารเสร็จ เสียงปลายสายของลู่เซิ่นดังขึ้น
“ฉินซี?”
ฉินซีกลั้นหัวเราะ ไม่ออกเสียงใดๆ
“สัญญาณไม่ดีหรือ?” น้ำเสียงสงสัยของลู่เซิ่นดังขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่ฉินซีกลั้นหัวเราะ พ่อบ้านเดินเข้ามาพอดี
เขาไม่เห็นการกระทำของฉินซี เห็นเพียงเธอกินน้ำซุปจนหมด จึงเอ่ยถามขึ้น : “รับน้ำซุปเพิ่มไหมครับ?”
ฉินซีไม่ทันได้ห้ามปราม พ่อบ้านกลับเอ่ยประโยคออกมา
ลู่เซิ่นได้ยินจึงรู้ว่าเธอแสร้งทำ แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู : “เธอไม่อยากดูผมหน่อยหรือ?”
พ่อบ้านถึงได้รู้ว่าตัวเขาได้ขัดจังหวะทั้งคู่ที่กำลังสวีทหวาน เมื่อได้ยินประโยคลู่เซิ่น เขาหน้าแดงขึ้นมา พลันรีบเติมน้ำซุปในถ้วยของฉินซีจนเต็ม ก่อนถอยออกไป
เมื่อฉินซีเห็นก้าวที่ยุ่งเหยิงของเขา พลอยหน้าแดงไปด้วย
ทำไมตนเอง…..ถึงได้กลายเป็นสาวแรกรุ่นขึ้นมาซะได้?
หลังเสียเวลาหยอกล้อกันอยู่นาน หากเป็นเธอในอดีตทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ
แต่เมื่อเธอยกโทรศัพท์ขึ้น เห็นใบหน้าของลู่เซิ่น เธอกลับรู้สึกว่า สิ่งที่ตนทำ ไม่ได้ผิดแปลกอะไร
มีคำสุภาษิตว่า มีความรักการโต้แย้ง ล้วนได้รับการอภัยทั้งนั้น
“เธอยังกินไม่เสร็จอีกหรือ?” ลู่เซิ่นยกมือขึ้นเช็ดหัวที่เปียกชุ่ม พลางจับจ้องไปที่ฉินซี
เสื้อคลุมอาบน้ำของเขาตัวใหญ่โคร่ง เผยให้เห็นแผงอกกว้าง ฉินซีอดคิดไม่ได้ นี่มันความตั้งใจของเขาชัดๆ
“ใกล้เสร็จแล้ว” ฉินซีก้มหน้าซดน้ำซุปในถ้วยจนหมด ก่อนลุกขึ้นยืน
“อืม ถ้างั้นตอนนี้ลองพูดกับผมดู วันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง” ลู่เซิ่นเอ่ย