บทที่ 1089 โชคดี
สูหยิง และหมออยู่ในวอร์ดไม่นานก็ออกไป
ทิ้งลู่เซิ่นไว้ในห้องน้ำคนเดียว และมองตัวเองในกระจกอย่างหมดหวัง
ในใจของเขายังรู้สึกโชคดีอยู่บ้าง
ที่จริงแล้วการระเบิดเกิดจากการคำนวณผิดของทหาร และเขาก็ได้โต้แย้งด้วยเหตุผลไปแล้วว่าเขาไม่ต้องการให้หลินยี่มาแทนเขา
ในหัวใจของเด็กชายเต็มไปด้วยความภักดี และเห็นศักดิ์ศรีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความจริงที่ว่าหลินยี่ช่วยชีวิตเขาทำให้เขารู้สึกขอบคุณหลินยี่ และอดไม่ได้ที่จะคำนับให้กับเขา
แต่การระเบิดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ลู่เซิ่น ดังนั้นจึงเป็นเพียงอุบัติเหตุที่หลินยี่ช่วยตัวเอง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจของลู่เซิ่นก็จะสงบลงเล็กน้อย
แต่ตอนนี้ทุกอย่างแตกต่างออกไป
กระสุนทะลุหลังของหลินยี่ หมายความว่าอย่างไร
ลู่เซิ่นไม่สามารถเข้าใจอะไรชัดเจนไปได้กว่านี้อีกแล้ว
กระสุนเล็งมาที่เขา และหลินยี่ก็พุ่งเข้าใส่เขา ไม่ใช่เพราะระเบิด แต่เป็นเพราะกระสุน
หรืออาจเป็นไปได้ว่าศูนย์กลางบางอย่างถูกเปลี่ยนไป และเนื่องจากเขาต้องการจะมาแทนลู่เซิ่น จึงไปบังทางกระสุน และทำให้มันระเบิดขึ้น
เป็นไปได้ว่าระเบิดลูกนี้ไม่ใช่เพราะทหารไม่ได้ตรวจสอบ แต่เพราะถูกวางไว้สำหรับลู่เซิ่นโดยเฉพาะ
ไม่ว่าในกรณี ใดลู่เซิ่นก็รู้สึกว่า ของเขาได้รับการช่วยชีวิตโดยหลินยี่อย่างสมบูรณ์แล้ว
เขาก้มหน้า และผลักประตูออกไป ตอนที่เขากำลังจะเดินออกไป เมื่อหันศีรษะไปก็พบว่าหลินยี่ที่นอนบนเตียงโรงพยาบาลค่อยๆลืมตาขึ้น
ลู่เซิ่นทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง และรีบวิ่งไปที่เตียงคนไข้ด้วยความประหลาดใจ “นายตื่นแล้ว!”
หลินยี่ไม่แน่ใจว่าจำเขาได้ไหม อ่อนแอเกินไปที่จะพูด เขาเพียงแค่อ้าปาก จากนั้นก็ยิ้มอย่างเหนื่อยล้า
ลู่เซิ่นรีบกดกริ่งเพื่อเรียกหมอเข้ามา หลังจากที่เตียงของหลินยี่ถูกหมอล้อมแน่น เขาก็ว่างจนไม่รู้จะทำอะไรต่อไป จึงทำได้เพียงเดินออกจากวอร์ดไปหาม้านั่ง และนั่งลงค่อยๆคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
ความประหลาดใจในครั้งแรกหายไป และลู่เซิ่นก็สงบลงอย่างช้าๆ
เหตุใดปฏิกิริยาแรกของสูหยิงจึงให้แพทย์เก็บความลับไว้
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว และคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นไม่นานเขาก็เข้าใจ
สูหยิงเพิ่งได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากการทหาร ถ้าหากตรวจสอบได้ว่าการระเบิดครั้งนั้นมุ่งเป้ามาที่ตน ไม่เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้รับจากกองทัพอาจจะถูกเรียกคืน แต่เธออาจจะต้องชดใช้ให้กองทัพอีกด้วย
แต่ปิดปากหมอแล้วมันมีประโยชน์อะไร
ลู่เซิ่นมองไปในวอร์ด
คนที่รู้ดีที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้นยังคงอยู่ข้างใน
และเขาอาจจะได้ยินบทสนทนาระหว่างสูหยิง และหมออย่างชัดเจน
หลินยี่จะทำอะไร จะกล้าบอกความจริง จะกล้ารายงานแม่ของเขาไหม
ลู่เซิ่นรู้สึกเพียงว่า สมองของเขากำลังขมวดเป็นปม ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลงฝังใบหน้าไว้ในมือ
จนกระทั่งพยาบาลที่ดูแลเขาเข้ามาหา “คุณหนู ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ล่ะ ฉันตามหาแทบแย่”
…
ลู่เซิ่นถูกเจ้าหน้าที่พยาบาลพากลับไปที่วอร์ด และใช้เวลาเกือบทั้งวันในวอร์ดอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะหาโอกาสหลุดออกจากวอร์ดอีกครั้งในที่สุด
เขาวิ่งตรงไปยังวอร์ดของหลินยี่โดยไม่ลังเล
มันดึกมากแล้ว และเขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าหลินยี่น่าจะหลับแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อผลักประตูเข้าไป เขาจะบังเอิญเผชิญหน้ากับหลินยี่พอดี
เมื่อเขาเห็นหลินยี่ และคิดได้ว่าหลินยี่ช่วยชีวิตตนไว้ เขาก็หดหู่เล็กน้อย “นาย…ตื่นแล้วหรอ”
หลินยี่ไม่ได้พูด เพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย
ลู่เซิ่นค่อยๆเดินมาที่เตียงคนไข้ เขาลังเลอยู่นาน ก่อนจะพูดว่า “ทำไม….นายถึงช่วยฉัน”
หลินยี่ยกยิ้มเล็กน้อย และตอบด้วยเสียงแหบ “ถ้าไม่ช่วยนาย แล้วจะให้ฉันเห็นนายโดนยิงต่อหน้าต่อตาหรือ”
“นายเห็นกระสุนจริงๆสินะ” ไหล่ของลู่เซิ่นลู่ลง และดวงตาของเขาก็สลดลง “ตอนบ่ายนายได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่ของฉันกับหมอที่นี่ใช่มั้ย”
หลินยี่ไม่ตอบ และไม่ขยับ เขาเพียงแค่มองดูลู่เซิ่นนิ่งๆ
แต่ลู่เซิ่นรู้ดีว่าเขาต้องได้ยิน
“นายไม่ต้องสนใจแม่ของฉัน” ลู่เซิ่นขยี้หัวของเขาอย่างวุ่นวายใจ “ถ้ามีใครมาถาม นายก็บอกความจริง”
หลินยี่ลืมตาขึ้นเล็กน้อย และพูดช้าๆ “ฉันคิดว่า นายจะต้องการให้ฉันช่วยแม่ของนายซะอีก….”
ลู่เซิ่นส่ายหัว “แม่ของฉันเป็นคน…เฮ้อ.. ไม่พูดแล้ว เอาเป็นว่านายพูดความจริงละกัน ไม่มีใครทำอะไรนายได้หรอก”
หลินยี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายรู้ได้ไง ว่าถ้าแม่ของนายมาขู่ฉันล่ะ”
ลู่เซิ่นกัดฟัน เอื้อมมือออก และหยิบกระดาษโน้ตออกมาจากกระเป๋า “ถ้านายมีอะไรก็โทรหาฉันได้เลย ตราบใดที่ฉันเห็นนายโทรมา ฉันจะช่วยนายทันที แม่ของฉันไม่ทำอะไรฉันแน่นอน ฉันรู้”
โทรศัพท์มือถือของลู่เซิ่นถูกสูหยิงเอาไป โทรศัพท์คนแก่ในมือของเขามีเพียงฟังก์ชั่นการโทรง่ายๆเท่านั้น เขาขอให้พยาบาลซื้อให้ และเขาต้องซ่อนมันจากเจ้าหน้าที่พยาบาลในวันธรรมดา เพื่อไม่ให้ถูกสูหยิงเอาไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินยี่จางลงจนค่อยๆหายไป แล้วเลิกคิ้วของเขาขึ้นครู่ใหญ่ จนทำให้ลู่เซิ่นคิดว่าเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับคำแนะนำของเขา แต่หลังจากนั้นหลินยี่ก็พยักหน้าลงเบาๆ “ฉันจะจำไว้ ขอบใจ”
คำขอบคุณของเขาเบามาก ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกผิดขนาดนี้ เขายื่นมือออกมา และยัดกระดาษโน้ตไว้ใต้หมอนของหลินยี่ “นายรับไว้ดีกว่า เผื่อจำผิดแล้วโทรไม่ติดจะทำไง ถ้านายไม่สะดวกโทรหาฉัน ก็ให้พยาบาลโทรมาก็ได้ จำได้รึยัง”
สายตาของหลินยี่ยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของลู่เซิ่น เขาพยักหน้าช้าๆ “จำได้”
ลู่เซิ่นกลัวว่าเจ้าหน้าที่พยาบาลจะออกมาตามอีก เขาจึงไม่กล้าที่อยู่นาน เมื่อเห็นหลินยี่พยักหน้า เขาก็รีบกลับไปที่วอร์ดของเขาทันที
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาถือโทรศัพท์ด้วยความกลัวตลอดทั้งวัน เพราะกลัวว่าเขาอาจพลาดโทรศัพท์ของหลินยี่ที่โทรมาหาตัวเอง และทำให้หลินยี่ต้องตกที่นั่งลำบาก
แต่หลังจากรอมาหลายวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินยี่มีรายการบำบัดมากมาย และเขาไม่ได้อยู่ในวอร์ดเกือบทั้งวัน ลู่เซิ่นจึงไม่พบเขาเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อลู่เซิ่นกำลังจะออกจากโรงพยาบาล โทรศัพท์คนแก่ของเขาก็ยังไม่ดัง
คืนก่อนที่เขาจะออกจากโรงพยาบาล ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปในวอร์ดของหลินยี่
ในที่สุดครั้งนี้หลินยี่ก็อยู่ในห้อง เขาไม่แปลกใจเมื่อเห็นลู่เซิ่นมา เขายิ้มเล็กน้อย “มาแล้วหรอ”
น้ำเสียงของลู่เซิ่นรีบร้อน “ทำไมนายไม่โทรหาฉัน แม่ของฉันไม่ทำให้นายเดือดร้อนใช่ไหม”
หลินยี่เม้มปากและยิ้ม “ใช่เธอไม่ได้รบกวนฉัน”
ลู่เซิ่นใช้เวลาสองสามวิก่อนจะตอบสนอง “เป็นไปได้ยังไง แม่ของฉันไม่ใช่คนดี!”
หลินยี่มองไปที่ลู่เซิ่น “ฉันไม่ได้พูดเรื่องกระสุน แล้วเธอจะมาวุ่นวายกับฉันทำไมล่ะ”
ลู่เซิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องที่เพิ่งรู้อย่างกะทันหัน จึงไม่ได้พูดอะไรออกมาชั่วขณะ