บทที่ 1090 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในจิตใต้สำนึกของลู่เซิ่น เขามั่นใจว่าหลินยี่จะบอกความจริง
หลินยี่เติบโตมาในทีม และนี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านของเขา
เขาจะนอกใจทหารได้อย่างไร โกหกทหารได้ยังไง
หลินยี่มองไปที่สีหน้าประหลาดใจของลู่เซิ่น และก็อดยิ้มไม่ได้ “นายคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดใช่มั้ย แต่ทำไมฉันต้องพูดล่ะ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมาหานายแล้วยังไง ยังไงทหารอย่างเราก็ต้องปกป้องผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ถ้าให้พวกเขารู้ ก็จะต้องเกิดการหาผลประโยชน์มากมาย และหมอที่ช่วยฉันปิดบังก็จะเดือดร้อนไปด้วย ไม่ว่ายังไง การไม่พูดก็เป็นสิ่งดีที่สุด”
แม้ว่าหลินยี่จะพูดด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย แต่ลู่เซิ่นก็รู้ว่าเขาต้องแสร้งทำอยู่ไม่น้อย
“นายยังเก็บหมายเลขความปลอดภัยที่ฉันให้ไว้อยู่ไหม” ลู่เซิ่นพูดขึ้นมาทันที
หลินยี่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนหัวข้อกะทันหันอย่างนี้ แต่เขาก็พยักหน้าโดยไม่รู้ว่าทำไม “เก็บไว้อยู่”
“ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้ดีๆล่ะ” ลู่เซิ่นพูดเสียงดัง “แม้ว่านายจะไม่ได้พูด แต่ยังไงนายจะช่วยชีวิตฉัน แถมยังเก็บความลับไว้ ดังนั้นครั้งนี้ถือว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณนายแล้ว จากนี้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร เพียงแค่นายโทรเบอร์นี้มา ฉันจะช่วยนายแน่นอน”
ในเวลานั้นเสียงของลู่เซิ่นยังคงแหบแห้งเพราะอยู่ในช่วงแตกหนุ่ม
แก้มบนใบหน้าของหลินยี่ยังคงไม่หายไป ยังคงมีเค้าโครงของเด็กอยู่
เด็กวัยหัวเลี้ยวหัวต่อสองคนให้คำสัญญากันภายในวอร์ดที่มืดมิด คำสัญญาแบบเด็กๆ รักษามิตรภาพของพวกเขามากว่าสิบปีโดยไม่น่าเชื่อ
ต่อมาชีวิตของหลินยี่ก็ไม่ราบรื่น และทรมานมาก แต่เขาก็ไม่เคยใช้คำสัญญาที่ให้ไว้ตอนเด็ก
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เขานั่งเครื่องบินของลู่เซิ่นไปที่เมืองหนาน ก่อนที่เขาจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างกะทันหัน
“บอกฉันหน่อยว่าหมายเลขความปลอดภัยที่นายให้ฉันก่อนหน้านี้ยังมีประโยชน์อยู่มั้ย” น้ำเสียงของหลินยี่ดูเหมือนจะล้อเล่น แต่ลู่เซิ่นคิดว่าเขาเป็นคนจริงจังโดยสัญชาตญาณ
“แน่นอนว่าหมายเลขนั้นไม่มีประโยชน์แล้ว” ลู่เซิ่นกล่าว
โทรศัพท์ที่เหมือนของเล่น ที่สามารถส่งแค่ข้อความและโทรออกได้เท่านั้นเครื่องนั้น ได้พังไปตั้งแต่ที่เขาออกจากโรงพยาบาล และหมายเลขนั้นก็ติดต่อไม่ได้โดยปริยาย
แต่ลู่เซิ่นก็พูดต่อ “แต่ถ้านายต้องการ ฉันสามารถให้หมายเลขความปลอดภัยใหม่กับนายได้”
แน่นอนว่าลู่เซิ่นเดาไม่ผิด และไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หลินยี่พูดถึงเรื่องนี้
เขาขอหมายเลขรักษาความปลอดภัยใหม่จากลู่เซิ่น จากนั้นเขาก็กดหมายเลขนี้จริงๆ
และคำขอของเขาคือให้ลู่เซิ่นพาเวินจิ้งไป
นี่เป็นคำสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ของลู่เซิ่นเมื่อเขายังเด็ก และเป็นทดแทนบุญคุณหลินยี่ที่เคยช่วยตัวเอง
เขาไม่สามารถละทิ้งมิตรภาพก่อนหน้านี้ที่มีกับหลินยี่ได้ แต่เขาไม่สามารถละทิ้งฉินซีได้เช่นกัน
ลู่เซิ่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
…
วันรุ่งขึ้นฉินซีตื่นเช้ามาก
ดังนั้นเมื่อเธอลืมตา ลู่เซิ่นก็เพิ่งตื่นเช่นกัน
“อรุณสวัสดิ์”
เธอพูด และตระหนักได้ว่าเธอไม่ได้พูดคำนี้กับลู่เซิ่นมานานแล้ว
ลู่เซิ่นดูแปลกใจเล็กน้อย “วันนี้ตื่นเช้าจัง”
ฉินซีพยักหน้า และลุกขึ้นนั่ง “เมื่อวานนอนเร็วน่ะ”
อันที่จริงมันเป็นเพราะเธอนอนไม่หลับเมื่อคืนก่อน และเมื่อคืนฝืนไม่ไหว จึงได้หลับไปแต่หัวค่ำ
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไร และเอื้อมมือไปลูบผมของเธอ “นอนเร็วๆน่ะดีแล้ว”
หลังจากพูดเสร็จเขาก็ลุกไปอาบน้ำ
ความอบอุ่นของเขายังอยู่บนขมับของฉินซี แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังรู้สึกหนาวเล็กน้อย
ความเฉยเมยของลู่เซิ่นเกิดจากความเหินห่างของคนสองคนที่ไม่ได้เจอกันนาน หรือเป็นเพราะฉินซีรู้สึกไปเองคนเดียว
ฉินซีฟังเสียงน้ำในห้องน้ำอย่างไม่สามารถหาคำตอบได้
…
ความรู้สึกไม่เย็นชานี้ยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งลู่เซิ่นทานอาหารเช้า และออกไป
ฉินซีเกือบจะแน่ใจว่าบางครั้ง ลู่เซิ่นตั้งใจที่จะหลบสายตาเธอ
เพราะอะไร
ฉินซีรู้สึกงงงวยเล็กน้อย
สำหรับเธอมีเพียงกรณีศึกษาที่ล้มเหลวของฉินซึ่งเทียน และเหยาหมิ่นเท่านั้น ที่สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับรูปแบบความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ และฉินซึ่งเทียนไม่เคยแสดงสีหน้าเช่นนี้บนใบหน้าของเขา
เธอส่ายหน้าคลายความสงสัยลงชั่วคราว แล้วเปิดคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
เมื่อคืนเธอง่วงมาก และหลับไปโดยไม่ได้อ่านแผนการที่ถังย่าส่งมาอย่างจริงจังถังย่าจะส่งข้อความมาถามความคิดเห็นของเธอในเวลาแปดโมงครึ่งของเช้าวันนี้ ดังนั้นฉินซีต้องรีบอ่าน
หลังจากอ่านอย่างละเอียดแล้ว เธอก็ส่งไปให้จ้าวจิ้งเพื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหาทางกฎหมาย ฉินซีพยักหน้าเมื่อถังย่าโทรมา “แผนดี มากฉันไม่เห็นจุดบอดเลย”
“คุณพอใจก็โอเคแล้ว”ถังย่าตอบอย่างสุภาพ “งั้นฉันจะเริ่มทำตามขั้นตอนแรกโดยการช่วยคุณติดต่อแกลลอรี่แล้วนะ”
เมื่อฉินซีตอบรับ เธอก็วางสายไป
ฉินซีกำลังจะเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเลือกรูปถ่าย แต่สายตาก็ไปเห็นรูปของลู่เซิ่นบนโต๊ะเสียก่อน
คนสองคนนอนบนเตียงเดียวกัน และตื่นพร้อมกัน แต่ไม่มีโอกาสจะถามเลยว่าสามารถโชว์ภาพถ่ายได้หรือไม่รอยยิ้มขมขื่นแสดงอยู่บนปากของฉินซี
เธอสูดลมหายใจ และซ่อนอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไว้
แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจอยู่ในใจ
ถ้าลู่เซิ่น… เปลี่ยนไป ความพยายามทั้งหมดของเธอจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกหรือ
เมื่อความคิดดังกล่าวปรากฏออกมา มันก็เหมือนวัชพืช และไม่มีทางที่จะทำความสะอาดได้
ดังนั้นตลอดทั้งเช้าที่ผ่านมา ประสิทธิภาพของฉินซีต่ำมาก จนไม่สามารถหารูปที่ถูกใจได้เลย
เธอถอนหายใจ ปิดคอมพิวเตอร์ และลุกขึ้นเพื่อจะออกไปเดินเล่น แต่ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามา
ฉินซีไม่อยากจะเชื่อ เธอจึงลุกขึ้น และมองออกไปนอกหน้าต่าง
มันคือรถของลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นกลับมาทานอาหารกลางวันหรือ
นี่หรือเปล่าที่เรียกว่า ข้าวใหม่ปลามัน
มันอาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่ลู่เซิ่นไม่ได้กินข้าวที่บ้านนานมากแล้ว เขาเพียงแค่ปรากฏตัวเพียงสั้นๆเท่านั้น ดังนั้นความรู้สึกนี้จึงทำให้เธอตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แค่เพียงประโยคเดียวก็สามารถอธิบายความรู้สึกของเธอได้
เธอลุกขึ้นแทบจะทันที และเดินลงไปชั้นล่าง
เมื่อไปถึงหัวบันได ประตูใหญ่ก็เปิดออก
เป็นลู่เซิ่นจริงๆที่เดินเข้ามา
แต่เพียงแค่เขาหันหน้าไปคุยกับพ่อบ้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นฉินซีที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่ ฉันจะไม่ทานอาหารกลางวันที่บ้าน” ลู่เซิ่นพูดอย่างรวดเร็ว ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่กลับมาแพ็คของ เดี๋ยวออกเดินทางทันที”
ฉินซีมองไปที่ใบหน้าสมบูรณ์แบบของเขา แต่ใจกลับรู้สึกราวกับว่าโดนอะไรจ้วงแทงอย่างหนัก
หลังจากที่ลู่เซิ่นบอกพ่อบ้านเสร็จ เขาก็เงยหน้าขึ้น และเห็นฉินซียืนอยู่
“ฉินซีฉัน…” เขาชะงักไป ก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะไปทำธุรกิจที่เมืองหนาน”
“ไปเมืองหนานอีกแล้ว” ฉินซีพยายามแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สำเร็จ “จะนานมากไหม”
ลู่เซิ่นหยุดไปอีกหลายวิ ก่อนจะลดตาลง “เวลายังไม่แน่นอน ไม่น่าจะนาน”
“ไม่นานหรอก” ฉินซีย้ำตัวเองอีกครั้ง และพยายามยกมุมปากของเธอขึ้น “อืม ตอนคุณกลับมามือซ้ายของฉันคงจะหายดี แล้วพวกเราค่อยไปเที่ยวกัน”