บทที่ 1092 เคยรู้จักกันมาก่อน
การปกป้องคุ้มครองดำเนินไปเป็นระยะเวลาครึ่งเดือนกว่า จู่ๆฉินซีก็จะออกไปข้างนอก ผู้ดูแลบ้านถึงได้ตะลึงเช่นนี้
“ถูกต้องค่ะ” ฉินซีพยักหน้า นึกขึ้นมาได้ว่าต้องบอกกับผู้ดูแลบ้านสักหน่อย “ตอนนี้สื่อมวลชนไม่ได้ใส่ใจฉันมากขนาดนั้นอีกแล้ว คุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลแทนฉันขนาดนั้นแล้วค่ะ”
ตระกูลฉินนั้นล้มละลายไปแล้ว ฉินซึ่งเทียนก็เข้าคุก ไม่ว่าจะเป็นคดีฟอกเงินหรือว่าคดีหมิ่นเกียรติของเหยาหมิ่นนั้นล้วนอยู่ในขั้นตอนการตรวจสำนวนและตัดสิน ก่อนหน้านี้จ้าวจิ้งเคยพูดกับเธอว่า แม้ว่าตระกูลฉินจะหมดอำนาจไปแล้ว แต่กระบวนการของคดีความนั้นก็ไม่ได้รวดเร็วฉับไว อย่างเร็วที่สุดก็ต้องครึ่งปีกว่าถึงจะประกาศคำตัดสินได้
ดังนั้นตอนนี้ ข่าวคราวก่อนหน้านี้ล้วนจบลงแล้ว และจะไม่มีประกายไฟใดๆอีกชั่วคราว เหล่านักข่าวล้วนเป็นกลุ่มคนที่ไล่ตามสิ่งพิเศษน่าสนใจ ตอนนี้ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่ได้ตามติดฉินซีไม่ปล่อยอีก
ผู้ดูแลบ้านพยักหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าฟังเข้าหูหรือไม่ “อย่างนั้นผมจะไปเรียกคนขับรถให้ครับ”
แม้ว่าช่วงนี้ฉินซีจะไม่ได้ออกจากบ้านเลย แต่ว่าคนขับรถก็ยังคงรอรับคำสั่งตลอดเวลา ฉินซีขึ้นไปนั่งบนรถและมุ่งหน้าไปยังบริษัท พีอาร์ของถังย่าอย่างรวดเร็ว
บริษัท พีอาร์ของถังย่าอยู่ภายในสวนเหวินช่วงอีกด้านหนึ่งของเมือง A โดยเช่าอาคารเก่าแห่งหนึ่งเป็นสำนักงาน อาคารเก่าแห่งนี้ไม่ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่ มีจุดกระดำกระด่างมากมาย พืชพรรณเลื้อยไปครึ่งกำแพง มองจากด้านนอกเข้าไปแล้วก็คล้ายกับบริษัทสร้างสรรค์โฆษณาอะไรเทือกนี้ มองไม่ออกเลยว่าเป็นบริษัทพีอาร์ที่อยู่สูงสุดในวงการธุรกิจ
ตอนที่รถของฉินซีขับมาถึง ถังย่าก็ยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
คนขับรถเปิดประตูรถ ฉินซีลงจากรถเดินมาถึงด้านหน้าถังย่า พยักหน้าทักทายเรียบร้อยแล้ว ถึงจะพบว่าด้านหลังของถังย่ายังมีคนยืนอยู่อีกคนหนึ่ง
ไม่ให้สนใจนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะว่าผู้ชายคนนั้นสูงมาก ฉินซีมองไปแล้วก็เกือบจะสูง 190 เซนติเมตร สวมเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์และรองเท้าบู๊ท ดูแล้วแต่งกายได้ตามกระแสนิยมเป็นอย่างมาก เพียงแต่ทิศทางที่เขายืนนั้นหันหลังให้กับแสง ทั้งยังก้มหน้าตลอดเวลา ดังนั้นฉินซีจึงไม่เห็นใบหน้าของเขา
ถังย่าสังเกตเห็นถึงสายตาของเธอ ก็ยิ้ม พลางแนะนำให้เธอรู้จัก “คนนี้คือคนที่ดิฉันพูดให้คุณฟังทางโทรศัพท์ เป็นพนักงานที่มีประสบการณ์ในการจัดงานนิทรรศการภาพวาดมาก จ้านเซิน”
เมื่อถูกถังย่าเอ่ยชื่อ ผู้ชายคนนั้นถึงได้เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับฉินซี “สวัสดีครับ ผมชื่อจ้านเซิน”
ฉินซีสบตากับเขา จู่ๆก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นมา
ความรู้สึกนี้ไม่ได้เป็นเพราะว่ารูปร่างหน้าตาของจ้านเซินน่าเกลียด
กลับกันเลย จ้านเซินมีใบหน้าที่มีมิติเป็นอย่างมาก แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามีสายเลือดของเชื้อชาติอื่นผสมอยู่ หล่อเหลาสง่างาม เพราะว่าคิ้วลึกได้รูป ดังนั้นความรู้สึกที่แสดงออกมาทางสายตาจึงลึกซึ้ง ยิ่งตอนที่มองมานั้นคล้ายกับน้ำในทะเลสาบ ที่ทำให้คนคาดเดาไม่ออก แต่องคาพยพที่มีมิติเช่นนี้ เขากลับตัดผมทรงผมสกินเฮดสไตล์Buzz จึงทำให้องคาพยพทั้งห้านั้นดูเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั่วทั้งร่างดูแหลมคม เหมือนกับมีดเล่มหนึ่ง ตอนที่ลูกครึ่งมองผู้คนจะมีสายตาที่ซับซ้อนแบบนี้ตั้งแต่กำเนิดอย่างนั้นหรือ
ฉินซีไม่คิดเช่นนั้น
เธอมักจะมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่งว่า สายตาที่จ้านเซินมองมาที่ตัวเองนั้นมีความหมายแฝงอยู่อย่างลึกซึ้งอีกขั้นหนึ่ง คล้ายกับว่า…….คนสองคนได้กลับมาพบกันอีกหลังหลังจากที่ห่างหายจากกันไปนาน
หรือว่าตัวเองจะเคยรู้จักเขา
ในใจของฉินซีคิดอย่างละเอียดรอบคอบอยู่ไม่กี่วินาที ถัดมาก็แอบส่ายหน้าเงียบๆ เธอยืนยันได้เลยว่า ตัวเองไม่รู้จักคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
แต่วินาทีถัดมา ฉินซีก็เกิดความรู้สึกสงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง
…….เธอยังจำได้ว่า ความทรงจำส่วนหนึ่งของตัวเองนั้นขาดหายไป
เธอเคยไม่ใส่ใจกับความทรงจำในส่วนที่หายไปของตัวเอง เพราะเธอรู้สึกว่าการใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปีนี้ของตัวเองนั้นเรียบง่ายมาก แม้ว่าจะสูญเสียอะไรไปเล็กน้อย ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อการใช้ชีวิตของตัวเองในภายหลัง
แต่ว่า……เป็นเช่นนี้จริงๆหรือ
ฉินซีเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจแล้ว
ความรู้สึกคุ้นเคยอันผิดปกติในตอนที่ตรวจสอบคดีความที่อานหยันนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่กลับรู้สึกเหมือนกับว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน ตอนนี้ก็เป็นคนที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนคนนี้ กลับเผยสายตาที่ซับซ้อนขนาดนั้นมองมาที่ตัวเอง
หรือว่าความทรงจำในช่วงที่ตัวเองทำหายไปนั้นมีสิ่งสำคัญมากอยู่กัน
ฉินซีเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
และความรู้สึกแบบนี้…….ก็ไม่ได้เป็นเพราะสายตาของจ้านเซินทั้งหมด
จิตใต้สำนึกของฉินซีคล้ายกับตะโกนร้องว่า คนคนนี้……เธอเคยพบ
การรับรู้แบบนี้เป็นเหมือนกับสัญชาตญาณยิ่งกว่า ฉินซีหาความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับจ้านเซินไม่เจอเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าสัญชาตญาณในร่างกายกลับพยายามบอกกับเธออย่างสุดความสามารถว่า เธอเคยพบกับเขา
ทำไมถึงได้มีเรื่องตลกขบขันเช่นนี้นะ
ตัวฉินซีเองก็รู้สึกว่าช่างน่าขบขัน
ถังย่าคล้ายกับว่าไม่ได้สังเกตถึงบรรยากาศผิดปกติระหว่างฉินซีกับจ้านเซินสองคน หลังจากที่ทักทายกับจ้านเซินไปแล้ว ฉินซีก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอยู่นาน และไม่ได้แสดงความเห็นใดๆออกมาด้วยเช่นกัน เธอเพียงแค่ยิ้มอย่างมีมารยาท “ลมด้านนอกแรงไปหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกเราเข้าไปพูดคุยกันด้านในเถอะค่ะ”
เมื่อฉินซีถูกเธอเอ่ยเตือนเช่นนี้แล้วถึงได้ดึงสติกลับมา เธอดึงสายตากลับมาจากร่างของจ้านเซิน และหันไปพยักหน้าให้กับถังย่า “ได้ค่ะ”
ดังนั้นถังย่าจึงเดินนำทางพวกเขาเข้าไปด้านในบริษัท
ภายในอาคารเก่านั้นถูกซ่อมแซมทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว สีดำ ขาว เทา ถูกนำมาใช้กับกระจกและโลหะมากมาย ดูแล้วทันสมัยเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเดินเข้าประตูไป ก็มีความรู้สึกเหมือนกับก้าวเข้าไปสู่อีกช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ฉินซีกลับไม่ได้ถูกการตกแต่งเหล่านี้ดึงดูดความสนใจ
ความคิดของเธอยังคงอยู่บนร่างของจ้านเซิน
พวกเขาเดินเข้าไปด้านใน ฉินซีมักจะรู้สึกว่าไม่กลมกลืนอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะจ้านเซินสูงเกินไป รูปร่างหน้าตาแข็งแกร่งบึกบึนมากเกินไป ส่วนถังย่ากลับมีรูปร่างเล็ก ถึงได้มองดูแล้วไม่เหมือนกับเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของถังย่า แต่กลับเหมือนกับเจ้านายของถังย่า
เธอเป็นลูกค้า ดังนั้นจึงเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนถังย่าเป็นประชาสัมพันธ์ ควรจะเข้าใจมารยาทมากที่สุดถึงจะถูก แต่ตอนที่พวกเขาเข้ามานั้น ถังย่ากลับให้จ้านเซินเดินตามหลังฉินซีเข้าประตูมาตามจิตใต้สำนึก และตัวเองนั้นอยู่ท้ายสุด
นี่คือการกระทำที่เจ้านายมีหรือ
ฉินซีไม่เข้าใจ
แต่หลังจากที่พวกเขาเข้าประตูมาแล้ว ถังย่าที่ดูเหมือนว่าอยากจะเดินรั้งท้าย กลับถูกจ้านเซินผลักขึ้นมา จึงได้มีสติแล้วเดินมาอยู่ระหว่างฉินซีกับจ้านเซิน
การกระทำเช่นนี้ดูแล้วน่าสงสัยยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นวัฒนธรรมบริษัทของถังย่าหรือ ใช้วิธีการแบบนี้มาแสดงความดูแลเอาใจใส่กับผู้ใต้บังคับบัญชา
ฉินซีทำได้เพียงแค่ฝืนอธิบายในใจ
ทั้งสามคนเดินมาถึงห้องประชุม ตอนที่แยกนั่งสองด้านนั้น ความรู้สึกที่พุ่งเข้ามานั้นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ฉินซีนั่งอยู่ตรงข้ามถังย่าและจ้านเซิน ถังย่ายังคงนั่งด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย ส่วนจ้านเซินนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะส่วนสูงที่มากเกินไป จึงไม่คุ้นชินกับการนั่งเก้าอี้ที่เตี้ยเช่นนี้ หรือว่าเดิมก็เป็นคนที่มีอิสระไม่อยู่ในกฎระเบียบ พอได้นั่งก็เอนตัวไปทางด้านหลัง ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
…….ต่อหน้าเจ้านาย สามารถกำเริบเสิบสานได้ขนาดนี้ด้วยหรือ
ในใจของฉินซีนั้นรู้สึกสงสัยยิ่งกว่าเดิม
แน่นอนว่า เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สังเกตสองคนนี้อยู่เงียบๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของจ้านเซินดูดีมากเกินไปหรือไม่ ไม่ว่าฉินซีจะมองอย่างไร ก็ล้วนรู้สึกว่าร่างของเขามีบุคลิกลักษณะของคนที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูง
ฉินซีคิดว่าตัวเองก็พบเจอผู้คนมาไม่น้อย ความน่าเกรงขามและคุณสมบัติที่อยู่บนร่างของจ้านเซิน ไม่ใช่สิ่งที่พนักงานบริษัทพีอาร์คนหนึ่งจะสามารถมีได้