บทที่ 1097 ถอยหลังเพื่อก้าวไปข้างหน้า
“ช่วยเวินจิ้งหรือ” ลู่เซิ่นเหลือบตาขึ้นมองหลินยี่ด้วยความสงสัยเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเวินจิ้งหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินยี่จางหายไป เอ่ยเสียงขรึมว่า “เวินจิ้งถูกใส่ร้ายให้เข้าคุกไปแล้ว”
ลู่เซิ่นนั้นมึนงงสับสน จ้องมองหลินยี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ถูกใส่ร้ายจนเข้าคุกหรือ”
หลินยี่หันหน้าไปมองลู่เซิ่น “ฉันก็เพิ่งรู้ข่าวเมื่อครู่นี้เช่นกัน”
หลินยี่พูดรวบรัดไม่กี่ประโยค คิ้วของลู่เซิ่นขมวดเป็นปมอย่างช้าๆ
“นายจะบอกว่า……ให้ฉันไปช่วยเวินจิ้งที่ถูกใส่ร้ายจนเข้าคุกหรือ”
หลินยี่พยักหน้า “ถูกต้อง ฉันไม่บังคับให้นายแต่งงานกับเธอ นายเพียงแค่ช่วยเธอออกมาจากที่นั่นได้อย่างปลอดภัยก็พอ”
ลู่เซิ่นหันหน้าไปจ้องหลินยี่ “ทำไมต้องเป็นฉัน ตอนนี้ที่เมืองหนาน ตระกูลมู่พูดจาค่อนข้างมีน้ำหนักมากกว่าฉัน มู่วี่สิงไม่ไปช่วยเธอหรือ”
หลินยี่หัวเราะเยาะ “มู่วี่สิงยุ่งอยู่กับการอยู่กับผู้หญิงคนอื่น มีเวลามาเป็นห่วงเป็นใยน้องสาวฉันที่ไหนกัน”
ลู่เซิ่นยังไม่ทันจะพูดอะไร หลินยี่ก็แย่งพูดต่อว่า “ฉันถอยให้เยอะขนาดนี้แล้ว! กับอีแค่เรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่ง นายยังจะปฏิเสธอีกหรือ”
ลู่เซิ่นหัวเราะเสียงเย็น สายตาที่จ้องไปทางหลินยี่นั้นเย็นยะเยือก “นายก็พูดเสียน่าฟัง ตอนนี้ฉันกลับไปที่เมืองหนาน กระทั่งจะไปพบกับเวินจิ้ง ยังต้องใช้เส้นสายของตาแก่หัวโบราณพวกนั้น ฉันบอกว่าเวินจิ้งกับฉันไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน พวกเขาล้วนไม่เชื่อหรอก ถ้าอยากจะเอาตัวเธอออกมาจากคุกให้เร็วที่สุด ก็มีเพียงแค่การแต่งงานกับเธอ”
มุมปากหลินยี่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ไม่พูดอะไร
ลู่เซิ่นพูดต่อไปว่า “ลูกไม้นี้ของนายดีจริงๆ เป็นการถอยหลังเพื่อก้าวไปข้างหน้า”
หลินยี่ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย แสดงท่าทางยอมแพ้ “อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้บีบบังคับให้นายแต่งงานกับเวินจิ้ง นายจะใช้วิธีการไหนก็เป็นเรื่องของนาย”
ลู่เซิ่นกัดฟัน
ถ้าหากไม่ใช่ว่าหลินยี่ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ ถ้าหากพวกเขาสองคนไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาหลายปีขนาดนี้
ตอนนี้เขาแทบจะอดรนทนไม่ได้ที่จะโยนหลินยี่ออกไปจากหน้าต่าง
“ฉันจะคิดหาวิธีดู” ลู่เซิ่นที่เงียบไปนานก็เอ่ยออกมาเสียงแข็ง
หลินยี่ยิ้มเบิกบาน “โอ้ อย่างนั้นนายรับปากว่าจะแต่งงานกับเธอแล้วหรือ”
ลู่เซิ่นถลึงตาใส่เขา โต้กลับอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ได้ ฉันรับปากนาย ฉันจะไปถามเธอว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะแต่งงานกับฉัน”
หลินยี่รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ลู่เซิ่นพูดออกมานั้นไม่ได้มีความจริงใจ จึงรับมุกล้อเล่นตาม “นายก็ถามดีๆล่ะ อย่างไรก็เป็นถึงการขอแต่งงาน ต้องเป็นทางการสักหน่อย”
ลู่เซิ่นถูกทำให้รู้สึกขบขัน ก็ล้อเล่นด้วยว่า “จากนั้นล่ะ ต้องจัดงานแต่งงานไหม”
หลินยี่มีสีหน้าจริงจัง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว น้องสาวของฉันจะแต่งงาน จะไม่มีพิธีการได้หรือ อย่าคิดว่าแค่จดทะเบียนสมรสแล้วก็จบล่ะ”
ในที่สุดลู่เซิ่นที่พูดต่อไปไม่ลง ก็เงยหน้ามองฟ้ากลอกตามองบน “รอฉันไปรับเธอกลับมาก่อนค่อยว่ากัน”
หลินยี่ยิ้มอยู่ชั่วครู่ก็หุบยิ้มลง พยักหน้าให้กับลู่เซิ่น เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เวินจิ้งต้องไหว้วานนายแล้ว”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “จะมีการพิจารณาตัดสินคดีความเมื่อไร”
หลินยี่แทบจะตอบกลับในทันที “สองสามวันนี้แล้ว”
ลู่เซิ่นเม้มริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะเสียดสีไปหนึ่งประโยค “นายฟื้นขึ้นมาได้…..เหมาะจริงๆ ถ้าหากว่าช้ากว่านี้อีกนิดหนึ่ง คดีความถูกตัดสินไปแล้วจะทำอย่างไร”
หลินยี่ยิ้ม “นายอย่ามาล้อเล่น แม้ว่าคดีความของเวินจิ้งจะตัดสินเรียบร้อยแล้ว ถ้านายอยากจะเอาเธอออกมา จะต้องลงทุนลงแรงขนาดนั้นที่ไหนกัน”
ลู่เซิ่นลุกขึ้นยืน ไม่พูดไร้สาระกับเขาอีก “ฉันจะรีบไปเมืองหนานในทันที”
หลินยี่พยักหน้า “ดี”
……..
อู๋ชิงและหลินหยังที่อยู่ด้านนอกกำลังตาใหญ่จ้องตาเล็ก
เดิมตอนที่อยู่เมืองหนาน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเยอะมากเพราะความพยายามของหลินหยัง
แต่เมื่อเกิดเรื่องกับหลินยี่ หลังจากที่ลู่เซิ่นกลับมาที่เมืองหนานเป็นเพื่อนกับเขา ท่าทีที่หลินหยังมีต่ออู๋ชิงก็ห่างเหินขึ้นมา
อู๋ชิงเป็นคนตรงๆ ไม่รู้ว่าจะเข้ากับหลินหยัง ผู้ที่ทำงานได้ยอดเยี่ยม สวมแว่น ใส่ชุดสูทรองเท้าหนังทั้งวันได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อหลินหยังเย็นชาขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
อดกลั้นอยู่นานสองนาน อู๋ชิงถึงได้เอ่ยพูดว่า “ความสัมพันธ์ของคุณชายลู่และลูกพี่ใหญ่ของพวกเรา……..ดีมากจริงๆหรือ”
หลินหยังหันหน้ามามองเขา พยักหน้าเรียบๆ “แน่นอน”
อู๋ชิงเกาหัว “แต่ว่าฉันมองอย่างไร ทั้งสองคนก็มีท่าทางไม่เหมือนกับคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมากนินา พูดคุยกันก็คลุมเครือเข้าใจยาก”
หลินหยังหัวเราะเสียงเบา ก้มหน้าลง “นายไม่มีเพื่อนที่สนิทกันมานานหลายปีหรือ”
อู๋ชิงชะงักค้าง หลังจากครุ่นคิดไปไม่กี่วินาทีก็ส่ายหน้า ใบหน้าปรากฏร่องรอยความรู้สึกอายเล็กน้อย “ตอนที่ฉันยังเด็กก็ติดตามลูกพี่ใหญ่แล้ว ไม่มี…..เพื่อนที่สนิทเป็นพิเศษอะไรนั่นหรอก”
หลินหยังได้ยินแล้วก็หันหน้าไปมองเขา สายตาปรากฏความซับซ้อนอยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดว่าอยากจะถามอะไร แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ก็ส่ายหน้าเบาๆ “อย่างนั้นก็ไม่แปลก นายไม่สามารถเข้าใจได้อยู่แล้ว เพื่อนที่สนิทกันมากเป็นพิเศษบางคนก็จะพูดคุยกันแบบนี้”
อู๋ชิงพยักหน้าคล้ายกับว่าเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ ตอนที่กำลังจะพูดอะไร ประตูห้องของหลินยี่ก็เปิดออกมาอย่างกะทันหัน
ลู่เซิ่นเดินออกมา
หลินหยังลุกขึ้นยืนทันที “ประธานลู่”
“เก็บของสักหน่อย ติดต่อเครื่องบินด้วย ฉันจะไปเมืองหนานสักรอบ” ลู่เซิ่นสั่ง
หลินหยังพยักหน้า โดยไม่มีแม้แต่สีหน้าความรู้สึกที่ตกตะลึง “ผมจะไปติดต่อเดี๋ยวนี้ครับ”
ทว่าอู๋ชิงไม่ได้รับการอบรมให้เป็นมืออาชีพเหมือนเขาขนาดนั้น จึงมีสีหน้าสงสัยปรากฏออกมาหลายส่วน “คุณชายลู่ คุณ……จะไปเมืองหนานอีกแล้วหรือครับ”
ลู่เซิ่นเดิมจะออกตัวเดินแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคคำถามหนึ่งของเขา ก็หยุดเท้าลง หันหน้ากลับมามองเขา
อู๋ชิงนั้นมีความรู้สึกหวาดกลัวคุณชายลู่ ผู้ที่มีนิสัยและอารมณ์ไม่ค่อยจะดีคนนี้อยู่หลายส่วน เมื่อถูกเขามองแบบนี้แล้ว ก็ยืนตัวตรงขึ้นมาในทันที
สมองวิเคราะห์อย่างบ้าคลั่งว่า ตัวเองพูดอะไรผิดไปใช่หรือไม่
“ใช่แล้ว อาศัยการสนับสนุนจากลูกพี่ใหญ่ของนาย ฉันจะไปเมืองหนานอีกแล้ว” ลู่เซิ่นเอ่ยประโยคนี้จบแล้ว ก็หันหน้ากลับและเดินต่อไป
หลินหยังที่โทรศัพท์จัดการเรื่องที่ลู่เซิ่นสั่งมาเรียบร้อยหมดแล้ว ก็หันหน้ากลับไปมองอู๋ชิงครั้งหนึ่ง โดยไม่ได้พูดอะไร และก้าวเท้าเดินตามลู่เซิ่นไปอย่างรวดเร็ว
อู๋ชิงถูกประโยคหนึ่งและสายตาที่มองมาของทั้งสองคนทำให้ขนลุก แบกร่างที่เต็มไปด้วยขนอ่อนตั้งชันเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยของหลินยี่
หลินยี่ยังคงรักษาท่าทางการนอนอยู่บนเตียงเอาไว้ เห็นอู๋ชิงที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ก็อดหัวเราะไม่ได้
“ลูกพี่ใหญ่!” อู๋ชิงที่ถูกหลินยี่หัวเราะเยาะใส่ก็พองขนขึ้นมาในทันที “คุณชายลู่เห็นผมขัดลูกตาใช่หรือไม่”
ใบหน้าของหลินยี่ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ ส่ายหน้าเล็กน้อย “แน่นอนว่าไม่ได้มองนายแล้วขัดตา”
เขาเกรงว่ากระทั่งชื่อของเขาก็จำไม่ได้
หลินยี่แอบพูดเงียบๆในใจ
“ถ้าอย่างนั้นเขาพูดแบบนั้นกับผมทำไมกันครับ” อู๋ชิงลูบแขนไปมาอย่างเกินจริง “น่ากลัวจริงๆ”
หลินยี่หัวเราะ พลางตอบ “เขาแค่ระบายอารมณ์กับนาย”
“ระบายอารมณ์หรือ” อู๋ชิงครุ่นคิดอยู่ไม่กี่วินาที ถึงจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง มองไปทางหลินยี่ที่อยู่บนเตียง “เขาโกรธลูกพี่แต่ไม่สามารถระบายมันลงกับลูกพี่ได้ จึงมาระบายใส่ผมแทนหรือ”
หลินยี่ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
อู๋ชิงเบะปาก
ช่างมันเถอะๆ เห็นแก่ที่ลูกพี่เป็นคนป่วย จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้วกัน
“เอาเถอะ ฉันอยากพักผ่อนสักหน่อย” หลินยี่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนอยู่บ้างจึงปิดตาลง
“อย่างนั้นลูกพี่ก็พักผ่อน!” อู๋ชิงเดินออกไปอย่างรู้ความ