บทที่ 1099 ส่งกลับคืนไป
เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ลู่เซิ่นก็รู้สึกเหมือนว่าได้วางก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ในใจลง และไม่รู้สึกคิดไม่ตกอีกแล้ว
เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถพูดความจริงกับฉินซีได้ อย่างไรตอนนี้ทั้งสองคนก็อยู่ห่างกันขนาดนี้ แม้ว่าจะคอลวิดีโอ ก็มีหลายเรื่องที่พูดได้ไม่ชัดเจน
ไม่สู้รอให้เขาจัดการทุกอย่างทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ค่อยกลับไปสารภาพกับฉินซี
ฉินซีอาจจะโทษเขา โกรธเขา แต่รอถึงตอนนั้น เขาก็อยู่ข้างกายฉินซีแล้ว เขามีความอดทนและมั่นใจว่าจะโอ๋ฉินซีให้กลับมาได้
แต่ว่าในตอนนี้……ต้องโทรศัพท์หาฉินซี เพื่ออธิบายเสียก่อนว่า ทำไมเมื่อครู่นี้ตัวเองถึงไม่รับโทรศัพท์ เธอจะได้ไม่เป็นห่วง
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กำลังตั้งใจจะโทรกลับไปหาฉินซี แต่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ประธานลู่ เครื่องบินของพวกเรากำลังเตรียมลงจอดแล้วค่ะ”
คำพูดของเธอยังไม่ทันจะพูดจบ แต่สายตาก็เหลือบมองไปที่โทรศัพท์มือถือของลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นพยักหน้ารับรู้
แม้ว่าเทคโนโลยีในตอนนี้จะสามารถโทรศัพท์ขณะที่อยู่ระหว่างบินได้ แต่ตอนที่เครื่องบินกำลังจะลงจอดนั้น ก็ยังคงต้องปิดโทรศัพท์ เพื่อรักษาการติดต่อระหว่างหอบังคับการบินของสนามบินเอาไว้
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินไม่พูดอะไรมาก พยักหน้าและลงไปแล้ว
ลู่เซิ่นที่ถูกเตือนเช่นนี้ ถึงได้พบว่าผ่านไปสิบกว่าชั่วโมงแล้ว
คำนวณตามเวลาแล้ว……..ประเทศFเป็นช่วงเวลาเที่ยงคืน ฉินซีน่าจะนอนหลับไปแล้ว
ดังนั้นลู่เซิ่นจึงยอมแพ้ต่อความตั้งใจที่จะโทรศัพท์ และส่งข้อความไปให้ฉินซีข้อความหนึ่งแทน
“เมื่อครู่หลับไปจึงไม่ได้รับโทรศัพท์ ตอนนี้ใกล้จะถึงแล้ว รอถึงช่วงเช้า ผมจะโทรหาคุณอีกครั้ง”
ส่งข้อความเสร็จแล้ว เขาก็ปิดโทรศัพท์มือถือ
…….
ฉินซีที่อยู่อีกครึ่งซีกโลกนั้นพลิกไปพลิกมาบนเตียงจนถึงเที่ยงคืนแล้ว
เธอคิดไม่ถึงว่าอีเมลฉบับหนึ่งจะสร้างผลกระทบกับเธอมากขนาดนี้
ช่วงเวลานี้ เธอเพลิดเพลินหวานซึ้งกับลู่เซิ่น แต่ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยตั้งแต่ต้นจนจบ กลัวว่าความสุขเหล่านี้จะแค่ให้เธอหยิบยืม ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเธอจริงๆ รอจนถึงเวลาก็ต้องคืนมันกลับไปแล้ว
ส่วนอีเมลฉบับนั้นก็เหมือนกับน้ำเย็นกะละมังหนึ่ง ที่ราดลงบนศีรษะเธอให้ฟื้นคืนสติ บอกกับเธอว่า สิ่งสวยงามทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงแค่เหตุการณ์ลวงตา เป็นวิมานที่ถูกสร้างขึ้นมากลางอากาศ แบกรับความจริงที่เข้ามาบดทำลายไม่ไหว
และในตอนนี้ก็เป็นตอนที่ต้องคืนทุกอย่างกลับไปแล้ว
แม้ว่าเธอจะบอกกับตัวเองให้เชื่อในตัวลู่เซิ่นตลอด อย่างน้อยก็รอให้ได้รับคำอธิบายจากเจ้าตัวเสียก่อน ถึงจะสามารถตัดสินโทษเขาได้
แต่เธอก็รู้เช่นกันว่า ในมุมหนึ่งของหัวใจตัวเองนั้นได้มีบางสิ่งพังทลายลงมาแล้ว
แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกลวง แม้ว่าคำอธิบายของลู่เซิ่นจะมากพอที่โน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อได้ แต่ตัวฉินซีเองก็รู้ว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ถูกฝังลงไปแล้ว หลังจากนี้จะไม่ได้แบ่งปันทุกนาที ทุกวินาทีกับลู่เซิ่นด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์เหมือนกับเมื่อก่อนอีกแล้ว
เธอกำลังนอนลืมตามองเพดาน พลางคิดเพ้อเจ้อไร้สาระ หน้าจอโทรศัพท์ก็สว่างขึ้นมากะทันหัน
หัวใจของเธอเต้นเร็ว รีบพลิกตัวกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองมา
ผู้ส่ง : ลู่เซิ่น
นิ้วของฉินซีสั่นเล็กน้อย กระทั่งปลดล็อกโทรศัพท์มือถือยังใช้เวลาไม่น้อย
แต่รอจนเห็นเนื้อหาข้อความที่ลู่เซิ่นส่งมาแล้ว หัวใจที่แกว่งไปแกว่งมาของฉินซีก็ว่างเปล่าขึ้นมากะทันหัน
หลับไปหรือ
มุมปากของฉินซีเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาอย่างอดไม่ได้
ถ้าหากว่าเธอโทรศัพท์หาเพียงแค่ลู่เซิ่นล่ะก็ ข้ออ้างนี้ก็ยังปล่อยผ่านไปได้ สามารถโน้มน้าวให้เธอเชื่อได้
แต่เธอยังโทรศัพท์หาหลินหยังด้วย
เธอรู้จักหลินหยัง โทรศัพท์มือถือของเขาล้วนเปิดเครื่องสแตนด์บายตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะโทรศัพท์หาเขาตอนไหน เขาจะต้องรับภายในสิบวินาทีแน่นอน
คนบ้างานอย่างลู่เซิ่นนอนหลับไปแล้ว หลินหยังที่โทรศัพท์มือถือไม่เคยห่างกายก็หลับไปแล้วเหมือนกัน เรื่องที่มีอัตราความเป็นไปได้น้อยแบบนี้จะมีอัตราการเกิดมากขนาดไหนกัน
ฉินซีไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองมองด้วยความสงสัยที่โอบกอดเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม หรือว่าเรื่องนี้เดิมก็น่าสงสัยอยู่แล้ว ตอนที่ได้รับข้อความจากลู่เซิ่นนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรกของเธอถึงได้เป็น ลู่เซิ่นกำลังโกหก
แต่ในไม่ช้า เธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองเริ่มต้นด้วยการโอบกอดความคิดเชิงลบมาเผชิญหน้ากับลู่เซิ่น
แบบนี้ไม่ถูกต้อง เธอบอกตัวเอง
ดังนั้นฉินซีจึงสูดลมหายใจลึกหลายครั้ง พยายามทำให้ใจของตัวเองสงบลงเล็กน้อย ค่อยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
เดิมเธอคิดจะส่งข้อความกลับไปว่า “อย่างนั้นคุณก็พักผ่อนดีๆ” แต่เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จแล้ว กลับลังเลที่จะกดปุ่มส่งออกไป
นี่เป็นเพียงแค่บทสนทนาธรรมดาทั่วไปอย่างที่สุดของพวกเขา แต่ฉินซีกลับไม่อยากตอบกลับไปแบบนี้
เธอไม่อยากแสร้งทำท่าทางเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้วส่งข้อความที่ไม่เกี่ยวอะไรกับความเจ็บปวดนี้ออกไป รออีกคืนหนึ่งค่อยติดต่อเขาอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอพยายามจัดการเองคนเดียวแล้วจะสามารถแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ฉินซีรู้ว่า ก่อนที่ตัวเองจะได้รับคำตอบของลู่เซิ่น ตัวเองไม่มีทางนอนหลับไปอย่างสงบ
ทางฝั่งลู่เซิ่นนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาเที่ยงตรง ‘ช่วงเช้า’ ที่เขาพูดถึงนั้นน่าจะเป็นช่วงเช้าของตัวเอง
ดังนั้นตอนนี้ตัวเองโทรไปก็น่าจะไม่มีอะไรไม่สะดวกแล้ว………
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ฉินซีก็สูดลมหายใจลึก ออกมาจากหน้าส่งข้อความ เปลี่ยนเป็นเปิดหน้าโทรศัพท์ขึ้นมาแทน
เธอไม่ให้โอกาสตัวเองได้ลังเล กัดฟันกดปุ่มต่อสายหาลู่เซิ่นในทันที
ฉินซีก็บอกได้ไม่ชัดเจนเช่นกันว่า ทำไมเสี้ยววินาทีนี้ หัวใจตัวเองถึงได้เต้นเร็วขนาดนี้
ตอนที่โทรศัพท์ไปก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง สมองยังคงยุ่งเหยิงวุ่นวาย จิตใจก็สับสน ดังนั้นจึงไม่ได้คิดและรู้สึกถึงความรู้สึกอะไรของตัวเอง
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผ่านประสบการณ์ล้มเหลวจากการตรวจสอบผู้ส่งอีเมลมา เธอก็สงบลงไม่น้อย ความคิดในใจของตัวเองที่ตกตะกอนมามากขนาดนี้ นั้นมากพอที่จะทำให้เธอมองเห็นความคิดของตัวเองได้ชัดเจน
ที่จริงแล้วเธอ……กลัวการโทรศัพท์ครั้งนี้เล็กน้อย
เพราะสิ่งที่เธอต้องเผชิญหน้าก็คือความไม่รู้
เธอไม่รู้ว่าลู่เซิ่นจะตอบอะไร อธิบายอย่างไร พูดจาลนลานว่ามีคนใส่ร้ายเขา หรือว่าบอกเธออย่างเรียบๆว่า เขาไปเมืองหนานนั้นก็เพื่อแต่งงานกับอีกคนหนึ่งจริงๆ
ฉินซีก็ไม่รู้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับคำตอบของลู่เซิ่นแล้ว ตัวเองควรจะมีปฏิกิริยาอะไร
ความไม่รู้ประเภทนี้เหมือนกับบีบบังคับให้เธอเดินขึ้นไปบนหน้าผา และไม่รู้ว่าเส้นทางเบื้องหน้าน่ากลัวมากแค่ไหน
แต่เธอจำเป็นต้องโทรศัพท์
มีเพียงแค่คำตอบที่ลู่เซิ่นพูดออกมาจากปากเท่านั้นที่สามารถให้คำตอบในความสงสัยของเธอได้ แต่เธอก็รู้ว่า ถ้าหากลู่เซิ่นปฏิเสธอย่างเด็ดขาดล่ะก็ เธอจะต้องรู้สึกใจสงบมากขึ้นอย่างแน่นอน
ในสมองคิดวนอยู่เช่นนี้ เธอรอโทรศัพท์สายนี้ด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
แต่หลังจากความเงียบในระยะเวลาสั้นๆ โทรศัพท์ฝั่งนั้นก็มีเสียงเย็นชาของหญิงสาวเสมือนจริงลอยออกมา “หมายเลขที่ท่านเรียกได้ทำการปิดเครื่องในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งหลังจากนี้……..”
ฉินซีนั้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะแตก ทั่วทั้งร่างอ่อนยวบหมดแรงในทันที
เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะส่งข้อความหาตัวเอง ทำไมถึงได้ปิดโทรศัพท์เลยกัน
กลัวว่าตัวเองจะโทรศัพท์กลับไปถามทันทีหรือ
ฉินซีรู้ว่าความคิดของตัวเองนั้นอยู่ในจุดที่อันตรายมากแล้ว แต่เธอไม่สามารถควบคุมความสงสัยและความไม่สงบอันบ้าคลั่งของตัวเองที่ผุดขึ้นมาได้
เธอควบคุมตัวเองไม่ให้คิดจินตนาการภาพอันเลวร้ายของลู่เซิ่นไม่ได้
เพราะว่า…….เธอเคยเห็นกับตาว่าฉินซึ่งเทียนหลอกลวงผู้อื่นอย่างไร