บทที่ 109 รบกวน
เวินจิ้งชะงักฝีเท้าเอาไว้ เพียงแต่เสียงเคาะประตูกลับไม่ได้หยุดลง รบกวนคนเป็นอย่างมาก
เธอเดาออกแล้วว่าคือเสี้ยวหง
“หากไม่สะดวก งั้นฉันกลับไปก่อน” เวินจิ้งเอ่ยปาก
อั้ยเถียนกลับดึงเธอเอาไว้ “อย่า ตอนนี้ฉันยังไม่อยากเจอหน้าเขา จะได้ไม่ต้องทำให้อาการป่วยของฉันหนักขึ้น”
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือของอั้ยเถียนก็ดังขึ้น เป็นเสี้ยวหงที่โทรเข้ามา
เธอปิดเครื่องไปในทันที
ด้านนอกประตูไม่ได้มีการเคลื่อนไหวแล้ว คิดไม่ถึงว่าอั้ยเถียนจะมีความผิดหวังเล็กน้อยขึ้นมาอีก
“จิ้งจิ้ง ฉันไปนอนสักพัก ไม่อย่างงั้นเธอก็กลับไปเถอะ ฉันไม่เป็นไร” เห็นเวลาค่อนข้างเย็นแล้ว อั้ยเถียนจึงได้เอ่ยขึ้น
เวินจิ้งมองดูโทรศัพท์มือถือเล็กน้อย โทรหามู่วี่สิงก่อน
เขาไม่ได้รับสาย คงจะกำลังยุ่งอยู่
เธอไม่รู้ว่าเขาประชุมอยู่ที่ไหน งั้นก็ทำได้เพียงกลับไปที่บ้านตระกูลมู่ก่อน
“เธอจำไว้ด้วยว่าหลังจากที่ตื่นแล้วทานโจ๊กที่อยู่ในครัวให้หมด ยาฉันวางเอาไว้บนโต๊ะหัวเตียงแล้ว” เวินจิ้งกำชับขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ตอนที่กำลังออกไปจากที่นี่ ด้านล่างของตึก เสี้ยวหงกำลังยืนอยู่ที่ด้านข้างของรถ
เสี้ยวหงก็ยังคงถือว่าเป็นเจ้านายของเวินจิ้ง เจอหน้ากันเธอก็ทักทายอย่างมีมารยาท
“เธอยังสบายดีอยู่ไหมครับ?” ในน้ำเสียงของเสี้ยวหงคือความเหนื่อยล้าที่ปิดเอาไว้ไม่อยู่
”อั้ยเถียนตอนนี้แย่มากค่ะ เสี้ยวหง หากไม่มีความเป็นไปได้ ก็ไม่ต้องทำร้ายเธอแล้ว” น้ำเสียงของเวินจิ้งแฝงไปด้วยความโมโหเล็กน้อย
หลังจากที่คลุมเครือกับเสี้ยวหง อารมณ์ความรู้สึกของอั้ยเถียนก็ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เธอดูออก อั้ยเถียนชอบเสี้ยวหงเข้าแล้วจริงๆ แต่หากสิ่งที่เขาสามารถมอบให้กับเธอมีได้แค่เพียงการทำร้ายที่ไม่รู้จักจบสิ้น งั้นความสัมพันธ์นี้หยุดความเสียหายในทันทียังจะดีซะกว่า
ได้ยินดังนั้น มือที่คีบบุหรี่เอาไว้ของเสี้ยวหงสั่นขึ้น นัยน์ตาปรากฏความลังเลออกมาเล็กน้อย
เขายังคงเลือกที่จะข้ามผ่านเวินจิ้ง ขึ้นไปชั้นบนในทันที
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง อั้ยเถียนรู้ว่า เป็นเขา
จามออกไปทีนึง เธอคลุมผ้าห่มเอาไว้แล้วลงจากเตียง ไปเปิดประตู
สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาก็คือใบหน้าที่เหนื่อยล้าของชายหนุ่ม เขาไม่ใช่ว่าออกไปทำงานนอกสถานที่หรอกหรอ?
ไม่ใช่บอกว่า อีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับมา
ตอนนี้ทำไม…
“เป็นไข้หรอ?” เสี้ยวหงยื่นมือเข้ามา ทาบไปบนหน้าผากของอั้ยเถียน
เสียงในลำคอราวกับคำพูดกระซิบกระซาบระหว่างคนรัก
คอของอั้ยเถียนแหบมาก ทำได้เพียงพยักหน้า
เธอหมุนตัว กลับไปถึงห้องก็นอนลงบนเตียง ไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค
เสี้ยวหงนั่งลงที่ขอบเตียง เขาตั้งใจเลื่อนเรื่องทั้งหมดออกไปรีบกลับมาเพื่อที่จะพบหน้าเธอสักครั้ง แต่อั้ยเถียนดูเหมือนแม้แต่ประโยคเดียวต่างก็ไม่ยอมที่จะพูดกับเขา
“ทานยาหรือยัง?”
อั้ยเถียนไม่พูดจา
“หิวหรือเปล่า?”
ยังคงนิ่งเงียบ
เขาถอนหายใจออกมา ถอดรองเท้าออก ขึ้นไปบนเตียงกอดเธอเอาไว้แน่น รอบดวงตาของอั้ยเถียนแดงก่ำ ผลักเขาไม่ออก
…
ใจกลางเมืองของเมืองหนานเฉิง มีสิ่งก่อสร้างตระการตาที่สูงเทียมเมฆหลังหนึ่ง ลึกลับเป็นอย่างมาก เข้าออกจะต้องยืนยันสถานะอย่างเข้มงวด คนนอกไม่มีทางเข้าไปได้มาก่อน
และก็ไม่มีใครเปิดเผยข่าวคราวเกี่ยวกับที่นี่แม้แต่นิดเดียว
ชั้นบนสุด มู่วี่สิงนั่งอยู่ในห้องทำงาน เกาเชียนกำลังรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับงานให้กับเขา
“ประธานมู่ ตอนนี้มีบริษัทนึงกำลังแย่งซื้อบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปกับพวกเราครับ”
“ใคร?”
“บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปครับ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้วขึ้น หลายปีมานี้บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปเรียบง่ายไม่หวือหวาเอามากๆ ฉีเซินก็แทบจะไม่ได้มาทำความเข้าใจสถานการณ์เกี่ยวกับงานราชการสักเท่าไร มือว่างมากทั้งวัน ตามที่เขารู้มานั้น บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่ใหญ่มานานมากแล้ว
“ตรวจสอบสักหน่อยว่าช่วงนี้ฉีเซินมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”
“รับทราบครับ นอกจากนี้ ฉินซินคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉินได้เสียชีวิตลงแล้ว ตอนนี้ฉินเจิ้งวางแผนคิดจะให้ฉินเฟยแต่งงานกับฉีเซิน”
ได้ยินดังนั้น นัยน์ของมู่วี่สิงก็เยือกเย็นลง
ฉินซิน…
สภาพร่างกายของเธอเขาก็ยังคงชัดเจนเป็นอย่างมาก ถึงระยะหลังของโรคแทรกซ้อนฤทธิ์การทำงานของยาน้อยลงมากๆ เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
เขาบีบไปบนกึ่งกลางระหว่างคิ้ว สั่งให้เกาเชียนออกไป ผ่านไปนานมาก ถึงได้เรียกกลับเข้ามาอีกครั้ง
“ช่วงนี้ฉินเจิ้งกับตระกูลฉีสนิทสนมกันมาก?”
“ใช่ครับ เพียงแต่ผมกลับได้ยินมาว่าฉินเฟยไม่ค่อยเต็มใจที่จะแต่งงานกับฉีเซินเท่าไรนัก ตอนนี้กำลังก่อความวุ่นวายอยู่ในบ้าน”