บทที่ 1105 ความทรงจำที่เลวร้าย
ตลอดทั้งปีมานี้หลินหยังคอยช่วยลู่เซิ่นจัดการเรื่องยุ่งยากมาทุกรูปแบบ โดยคิดว่าตัวเองนั้นได้ถูกฝึกฝนความอดทนในขั้นสูงสำเร็จแล้ว
แต่ว่าคำพูดตรงๆของลู่เซิ่นนี้ กลับทำให้เขาหน้าถอดสี
เขาใช้ความเป็นมืออาชีพของเขาที่มีทั้งหมดในการบังคับความสงสัยของตัวเองเอาไว้ และไม่ได้ทำการถามต่ออีก
ดูเหมือนว่าลู่เซิ่นเองก็มีทีท่าไม่อยากจะพูดต่อ เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นแล้วพูด: “ที่ผมบอกคุณเรื่องนี้ ก็แค่ไม่อยากให้คุณข้องใจ ไม่ต้องสงสัยอีก”
หลินหยังพยักหน้าแล้วก็เดินจากไปพร้อมกับเอกสาร
เขาเข้าใจความหมายของลู่เซิ่น ถ้าเขายังสงสัยเรื่องที่ลู่เซิ่นทำ อาจจะส่งผมต่อประสิทธิภาพการทำงานของเขา
และสิ่งที่ลู่เซิ่นรับไม่ได้ก็คือ การทำงานที่มีประสิทธิภาพต่ำ
เขากำลังฉีดวัคซีนป้องกันให้กับตัวเอง ซึ่งหลินหยังเข้าใจเป็นอย่างดี
……
แต่ว่าผ่านไปเพียงไม่นาน ตอนที่โทรศัพท์ลู่เซิ่นดังขึ้นนั้น เขาก็รู้ว่ามีเรื่องที่ยุ่งยากมาให้เผชิญหน้าอีกแล้ว
——ผู้ที่โทรมาไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นสูหยิง
ลู่เซิ่นหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะรับสาย :“ครับแม่”
น้ำเสียงของสูหยิงนั้นกำลังโกรธ ต่อว่ามาเป็นชุดๆ : “ลู่เซิ่นฉันได้ยินเรื่องเน่าๆจากอารองของเจ้า เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร”
น้ำเสียงลู่เซิ่นที่ทำไรไม่ถูก : “แม่…..”
ทำให้ระดับน้ำเสียงของสูหยิงยิ่งสูงขึ้นอีกขั้น : “ทางที่ดีแกควรหาคำมาอธิบายให้สมเหตุสมผล ไม่เช่นนั้นฉันจะกลับไปเมืองหนานตอนนี้เดี๋ยวนี้ แล้วเวินจิ้งอะไรของแก ไม่จำเป็นต้องขึ้นโรงถึงศาลหรอก พรุ่งนี้เธอก็จะหายไปต่อหน้าต่อตาแก”
ท่าทีที่แข็งกร้าวของเธอทำให้ลู่เซิ่นนั้นถึงกับขมวดคิ้ว
ความทรงจำที่เลวร้ายมากมายได้ผุดขึ้นอยู่ตรงหน้า
โรงพยาบาล ห้องผู้ป่วย สูหยิงก็ใช้วิธีตะคอกใส่ฉินซี จากนั้นฉินซีก็เป็นคนที่เอ่ยปากเองว่าต้องการจะหย่ากับเขา…..
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของลู่เซิ่นก็เริ่มเย็นชา : “ถ้าแม่ยังตะคอกใส่ผมอีก ผมจะวางสายตอนนี้เลย”
“แก!” สูหญิงถึงกับสำลัก แต่เธอก็รู้นิสัยลูกชายตัวเองเป็นอย่างดี เมื่อเขาพูดเช่นนี้ กล้าพูดก็กล้าทำได้
ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่อดกลั้นแล้วลดระดับเสียงลง : “เอาเถอะ ไหนแกลองเล่ามาสิ”
ลู่เซิ่นก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังสูหยิง จึงพูดไปอย่างตรงไปตรงว่า : “ผมไม่ได้ต้องการที่จะขอเวินจิ้งแต่งงานจริงๆ”
“แกไม่ได้ต้องการที่จะแต่งงานกับเวินจิ้งจริงเหรอ” สูหยิงพูดย้ำขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่งุนงง ระดับน้ำเสียงก็สูงขึ้นอีกครั้ง “แล้วนี่แกจะคิดทำไร” อย่าบอกนะว่าแกแค่ต้องการจะปั่นเหล่าลุงๆเล่นเฉยๆ เรื่องแบบนี้มันใช่เรื่องที่จะมาล้อกันเล่นเสียที่ไหน!
“แม่” น้ำเสียงลู่เซิ่นจริงจัง “ผมไม่ได้ล้อเล่น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลินยี่”
เมื่อเอ่ยชื่อ “หลินยี่” ชื่อนี้ขึ้นมา สูหยิงถึงกับยกธงขาว น้ำเสียงก็อ่อนลง แต่ก็ยังคงโกรธเล็กน้อย “หลินยี่ต้องการให้แกไปแต่งงานกับหญิงสาวที่ชนคนของบ้านหลิงเสียชีวิตอย่างนั้นเหรอ เขาทำไมทำแบบนี้”
ลู่เซิ่นถอนหายใจอย่างจนปัญญา และพยายามพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกครั้ง : เวินจิ้งเป็นน้องสาวของหลินยี่ เธอเข้าเรือนจำเพราะถูกใส่ร้าย หลินยี่ต้องการให้ผมช่วยเธอออกมา ที่ผมบอกเหล่าอารองว่าผมจะแต่งงานกับเวินจิ้งก็เพื่อต้องการใช้อำนาจของพวกท่านเพื่อช่วยเวินจิ้งออกมา”
แม้แต่สูหยิงก็ยังตกใจกับข้อมูลในคำพูดของลู่เซิ่นถึงกับหยุดชะงักไปสองสามวินาที เมื่อเธอกรองข้อมูลทั้งหมดแล้ว ถึงได้เริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง : “แกจะช่วยคนก็ช่วยไปสิ ถึงแม้ว่าคนที่โดนชนเสียชีวิตจะเป็นคนบ้านหลิง แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยคนออกมาได้ ทำไมถึงคิดตื้นเช่นนี้ เอาเรื่องแต่งงานตัวเองเข้าไปพัวพัน แบบนี้แล้วต่อไปแกจะหาคู่ได้อย่างไร”
มุมปากของลู่เซิ่นมีการเผยอขึ้นที่เห็นได้อย่างไม่ชัดเจน
สูหยิงแดกดันอย่างไม่ตั้งใจ แต่ความจริงแล้วเหตุผลที่เขาเลือกที่จะบอกกับตระกูลลู่ว่าเขาต้องการจะขอเวินจิ้งแต่งงานนั้น ก็เป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยบอกกับใครมาก่อน
เพื่อหลีกเลี่ยงเหล่าอารองและอาสามที่คดในข้องอในกระดูก สำหรับคนอื่นๆในตระกูลลู่แล้ว พวกเขาไม่ต้องการที่จะให้ตัวเองนั้นเข้าไปพัวพันกับเวินจิ้ง และตัวเองประกาศไปว่าจะขอเวินจิ้งแต่งงาน และแสดงออกว่าต้องเป็นเธอเท่านั้น พวกเขาจะต้องถึงกับอึดอัดทุกข์ใจอย่างแน่นอน และคงมีความคิดที่ว่า “นอกจากเธอแล้วจะขออะไรก็ได้”
ขอแค่ให้พวกเขามีความคิดแบบนี้ เมื่อเขาพาเวินจิ้งออกมาสำเร็จ แล้วค่อยบอกว่าต้องการอยู่ร่วมกับฉินซี พวกเขาจะต้องตีกลองร้องโห่ ดีใจแทบไม่ทัน
สำหรับคนนอกแล้ว เรื่องที่เขาจะขอเวินจิ้งแต่งงานก็คงถูกอารองและอาสามนำไปป่าวประกาศอย่างแน่นอน แบบนี้แล้วเขาก็ได้เกราะกำบังอย่างดีแบบไม่ตั้งใจ
ทำไมเขาจะไม่รู้เจตนาของสูหยิงว่าช่วงระหว่างที่ผ่านมานี้ ได้ป่าวประกาศไปทั่วว่าเขาโสด ความหมายของคำว่าสามารถแต่งงานได้ ก็เพื่ออาศัยช่วงที่เขาหย่าร้างกับฉินซี แล้วเอาคนอื่นเข้ามาเสียบแทน แบบนี้แล้วเขาก็จะไม่มีเวลาที่จะไปคิดถึงฉินซี
แต่ในความเป็นจริง ด้วยเหตุที่สูหยิงกระทำแบบนี้ ทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านมาของเขามีคนมาทดสอบกันไม่น้อย ขอเพียงออกไปพบปะสังสรรค์ แล้วพบเจอเหล่าผู้ใหญ่ที่มีหน้ามีตา พวกเขาจะต้องแนะนำญาติพี่น้องที่”เหมาะสม”อายุกำลังพอดีให้แก่เขา จนทำให้เขาปวดหัวไม่น้อย
และข่าวคราวการขอเวินจิ้งแต่งงานก็สามารถเป็นเกาะป้องกันให้พวกที่กระตือรือร้นชอบเป็นแม่สื่อแม่ชัก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วต้องการจะสานสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเขาเท่านั้น
การลงทุนที่ได้กำไรมหาศาลเช่นนี้ นอกจากต้องใส่ใจความรู้สึกของฉินซีเท่านั้นแล้ว อย่างอื่นแทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ก็สามารถได้ผลประโยชน์มามากมาย แล้วทำไมเขาจะไม่ลงมือทำเล่า
แน่นอนว่าลู่เซิ่นไม่สามารถเปิดเผยกับสูหยิงมากมายเช่นนี้ได้ เขายิ้มแล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย : “แม่ เธอเป็นน้องสาวของหลินยี่ คนบ้านตระกูลหลิน หรือว่ายังไม่คู่ควรกับผมอีก”
สูหยิงกลอกลูกตามองบน รู้ทั้งรู้ว่าลู่เซิ่นนั้นกำลังจะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ก็อดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า : “เธอจะเป็นคนของตระกูลไหนก็ไม่คู่ควรกับแก ชนคนเสียชีวิต ติดค้างหนี้ชีวิต ชื่อเสียงเสียหายไปหมดแล้ว ยังหวังจะแต่งเข้าตระกูลดีๆอีก”
ลู่เซิ่นส่ายหน้า : “บอกแล้วว่าเธอถูกใส่ร้าย แล้วผมก็รับปากกับหลินยี่แล้วว่าจะช่วยเธอออกมา และก็จะช่วยเธอล้างมลทิน
และคนที่ถูกชนก็เป็นคนบ้านหลิง ถ้าผมออกหน้าจัดการเอง ยังไงผมก็ไม่ปล่อยบ้านหลิงไว้แน่ แม่ก็คงไม่อยากให้ผมใช้ความรุนแรงกับพวกเขาใช่ไหม เมื่ออารองและอาสามเต็มใจที่จะออกหน้าจัดการแทน อย่างนั้นก็ให้พวกท่านได้ลองพยายามแล้วกัน แต่ว่าแม่ก็รู้ ถ้าผมไม่บอกว่าจะแต่งงานกับเวินจิ้ง อารองกับอาสามจะกระตือรือร้นขนาดนี้เหรอ”
สูหยิงเริ่มใจอ่อนกับสิ่งที่เขาพูด ผ่านไปสักพักก่อนจะโต้ตอบกลับไป : “แต่ว่าแกก็รู้ว่าอาสองคนของแกนั้น กระตือรือร้นขนาดนี้ คงอาจจะไม่หวังดี ถ้าพวกเขานำเรื่องนี้ไปบอกคณะกรรมการบริษัท แกจะอยู่บริษัทหลินซื่ออย่างลำบากนะ”
ลู่เซิ่นยิ้มเยาะ : “ไม่ต้องพูดถึงคณะกรรมการบริษัทและชายชราเหล่านั้นเลย ไม่มีทางที่พวกเขานั้นจะทำอะไรผมได้ ต่อให้อยากจะทำแค่ไหน แต่อย่าลืมนะครับแม่ ผมแค่บอกว่าจะขอเวินจิ้งแต่งงาน ไม่เคยบอกว่าจะแต่งงานกับเวินจิ้ง”
คราวนี้สูหยิงเข้าใจอย่างถี่ถ้วน
ลู่เซิ่นต้องการใช้การแต่งงานในการเป็นเหยื่อล่อ เพื่อให้เหล่าคุณอาช่วยจัดการ เมื่อช่วยเวินจิ้งออกมาสำเร็จแล้ว ก็จะกลับคำบอกไม่อยากแต่งงานแล้ว คณะกรรมการบริษัทไม่พอใจขึ้นมาแล้วทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต เขาก็จะสามารถแก้ไขจัดการได้ทันที