บทที่ 1106 ดึงดัน
สูหยิงก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาตอบโต้
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่หลินยี่ร้องขอ…… ถ้าหากเป็นเธอก็ไม่มีทางที่จะปัดปฏิเสธได้
“เอาเถอะ แม่รู้ว่าแกมีการเตรียมการ แต่ว่าต่อไปเรื่องแบบนี้แกจะบอกแม่ก่อนได้ไหม จะได้ไม่ต้องทราบเรื่องจากคนอื่น” น้ำเสียงสูหยิงถึงท้ายสุดก็ยังไม่เย็นลง
ลู่เซิ่นชินกับการที่เธอนั้นไม่แสดงความอ่อนแอออกมา จึงรับปากแบบขอไปที
เมื่อสูหยิงวางสายโทรศัพท์ลง เขากลับจับโทรศัพท์แล้วเริ่มเคลิบเคลิ้มอยู่ในภวังค์
ดูเหมือนว่าธุรกิจจะทำกำไรไปได้สวยโดยไม่มีข้อผิดพลาด เว้นแต่…..ฉินซี
เขาไม่อาจสามารถคาดเดาได้ว่าฉินซีนั้นจะมีท่าทีอย่างไรที่ตัวเองเลือกวิธีนี้
การต่อต้านนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าจะต้องง้อเธอด้วยวิธีใด
แล้วถ้าหากเธอไม่ต่อต้าน…..อย่างนั้นลู่เซิ่นก็คงรู้สึกว่าเธอนั้นคงไม่ใส่ใจตัวเองมากเท่าไร ถึงได้ทนดูตัวเองแต่งงานกับคนอื่นได้โดยที่ไม่โกรธ
ลู่เซิ่นลองคิดกลับกัน ไม่ว่าฉินซีใช้เหตุผลใดๆเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่น ถึงแม้จะเป็นแค่การแต่งงานหลอกๆ หรือแค่บอกว่าจะแต่งงาน เขาก็คงจะรับไม่ได้
เขาโตมาจนป่านนี้ นี่เป็นเรื่องแรกที่เขาประสบแล้วถึงกับไปไม่เป็น
ดังนั้นอาจพูดได้ว่านี่คงเป็นพลังแห่งรัก
ขณะที่ลู่เซิ่นกำลังคิดๆอยู่นั้น เขาก็ได้เปิดข้อความที่สนทนากับฉินซีขึ้นมาดู
ข้อความสนทนาระหว่างพวกเขาสองคนได้ ยังคงหยุดอยู่ที่ข้อความนั้นที่เขาส่งออกไปเมื่อคืนนี้
ดูเหมือนลู่เซิ่นจะนึกอะไรบางอย่างออกจนถึงกับขมวดคิ้ว
เมื่อคำนวณตามเวลาแล้ว น่าจะเป็นเวลาแปดโมงเช้าทางฝั่งฉินซี เขารู้ว่าพักนี้ฉินซีคงยุ่งอยู่กับเรื่องการจัดนิทรรศการภาพถ่าย คงไม่มีทางนอนขี้เซาในตอนเช้าแน่
เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอคงตื่นแล้ว
และด้วยความนิสัยเคยชินของฉินซี เมื่อตื่นขึ้นมาเธอจะต้องทำการหยิบโทรศัพท์เพื่อเปิดดูว่ามีข้อความใหม่เข้ามาหรือไม่
……ดังนั้นนี่เธอยังไม่ลุกขึ้นจากเตียงหรือว่าเธอไม่อยากตอบกลับข้อความตัวเอง
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรอีก ยื่นมือแล้วกดวิดีโอคอลหาฉินซี
——ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์จะแบบไหน เขาจะต้องให้ตัวเองแน่ใจก่อนถึงจะสบายใจได้
ถ้าฉินซีไม่รับโทรศัพท์ เขาจะต้องติดต่อหาพ่อบ้าน
แต่มันเกินความคาดหมายของลู่เซิ่น หลังจากรอสักพักวิดีโอคอลก็เชื่อมต่อคู่สาย
ใบหน้าฉินซีปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ : “ลู่เซิ่น?”
ลู่เซิ่นโน้มตัวเข้าไปใกล้และมองสังเกตฉินซี
ใบหน้าฉินซีมีการเติมหน้าเรียบร้อย เสื้อผ้ามีการเปลี่ยนเสร็จสรรพ ดูเหมือนจะลุกตื่นจากเตียงมานานแล้ว
แต่เธอกลับไม่ตอบข้อความให้ผม
ลู่เซิ่นกัดฟันตัวเอง : “คุณตื่นแล้วเหรอ”
ฉินซีพยักหน้า : “อืม กำลังเตรียมตัวที่จะไปหาถังย่า ทางคุณล่ะทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”
ในที่สุดก็ถามถึงตัวเองสักที ทำให้ลู่เซิ่นรู้สึกว่าถูกปลอบใจอย่างเงียบๆ เขาไม่สามารถพูดอะไรมาก ทำได้เพียงแค่พยักหน้า : “ไม่มีปัญหาอะไร”
ทางฝั่งฉินซีมีเสียงดังเล็กน้อย ดูพร้อมที่จะออกไปแล้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อน: “อย่างนั้นคุณก็พักผ่อนเยอะๆ ฉันต้องไปแล้ว ถ้ากลับมาเร็วจะติดต่อหาคุณใหม่อีกครั้ง”
ลู่เซิ่นทำได้เพียงแค่ตอบรับ ไม่นานฝั่งฉินซีก็ได้วางสายโทรศัพท์ลง
ลู่เซิ่นจับโทรศัพท์แล้วขมวดคิ้ว
เมื่อสักครู่ที่คุยสายโทรศัพท์อยู่นั้นไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้เมื่อนึกๆดูแล้ว การแต่งหน้าของฉินซีในวันนี้…..ดูเหมือนจะเข้มไปหน่อย
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้แต่งหน้าเข้มในช่วงเช้าๆแบบนี้ได้ แถมยังรีบร้อนออกไป
ฉับพลันในหัวของลู่เซิ่นมีความคิดมากมายที่มีความเป็นไปได้ และเขาก็กลบความคิดเหล่านั้นทิ้งไปจากหัวสมองทันที
เชื่อใจ
เขาพูดกับตัวเอง
ระหว่างคนสองคน ถ้าไม่มีแม้แต่ความเชื่อใจ แล้วจะอยู่ด้วยกันต่อไปได้อย่างไร
เขาก็ได้แต่ภาวนาให้ฉินซีนั้นก็เชื่อใจในตัวเขาเช่นกัน
……
เวลาแปดโมงเช้า ณ ประเทศ F
เมื่อคืนนี้ฉินซีแทบจะไม่ได้หลับตานอน
หลังจากโทรหากับลู่เซิ่นที่ปิดโทรศัพท์ เธอก็ไม่พยายามติดต่อเขาอีก เมื่อมองไม่เห็นจิตใจก็ไม่ทุกข์ไม่วุ่นวาย แล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งไปไกลๆ ไม่สนใจไปมองอีก
เพียงแต่ว่าเธอพยายามถึงเพียงนี้ ก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี จนถึงเช้า
ทนจนถึงฟ้าสว่าง ฉินซีก็ไม่สามารถนอนอยู่บนเตียงต่อได้อีก จึงรีบลุกขึ้นจากเตียง
เมื่อเดินไปที่ห้องอาบน้ำเพื่อจะอาบน้ำ ฉินซีบังเอิญเหลือบมองในกระจก และตกใจมากกับคนที่อยู่ในกระจก
ดวงตาของหญิงสาวที่อยู่ในกระจกนั้นหมองคล้ำ ผิวซีด ดูยังไงก็เหมือนแมลงที่ถูกทอดทิ้งอย่างน่าสงสาร
……หยุด!
เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองคิด ฉินซีก็ตบหน้าตัวเอง บังคับให้ตัวเองหยุดความคิดนั้นเสีย แล้วเดินเข้าไปที่ห้องอาบน้ำ
เธอตั้งใจปรับอุณหภูมิน้ำให้สูงขึ้น เมื่อน้ำร้อนสาดลงมาก็แทบจะลวกผิวเธอให้ร้อนแดงขึ้น แต่น้ำที่อุณหภูมิสูงเช่นนี้จะสามารถช่วยชำระล้างความเหนื่อยล้าจากการไม่หลับไม่นอนทั้งคืนให้บรรเทาลงได้บ้าง เมื่อมองไปที่กระจกอีกครั้ง ในที่สุดแก้มก็แดงระเรื่อจากไอน้ำร้อน ดูแล้วก็ไม่น่ากลัวอีก
เมื่อเธออาบน้ำเสร็จเวลาก็เพิ่งเจ็ดโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาตื่นนอนเป็นประจำของเธอ
ในขณะที่เธอเช็ดผมอยู่นั้น ด้วยความเคยชินเธอก็หยิบโทรศัพท์เพื่อดูว่ามีข้อความใหม่เข้ามาหรือไม่
แต่เมื่อปลดล็อกโทรศัพท์ก็เห็นหน้าต่างข้อความจากลู่เซิ่น
——“จะโทรหาคุณพรุ่งนี้ตอนเช้า”
แล้วเวลาไหนล่ะถึงเป็นเวลาเช้า หกโมง เจ็ดโมง หรือแปดโมง
เธอต้องรอนานแค่ไหน ถึงจะได้เจอลู่เซิ่น
ฉินซีถอนหายใจเบาๆ แล้วกลับไปสู่หน้าจอหลัก
เธอจะไม่ดึงดันไม่เสียเวลาไปแบบนี้อีกแล้ว
โชคดีที่มีข้อความใหม่เบี่ยงเบนความสนใจของเธอ
เป็นข้อความที่มาจากอานหยัน
“อาศัยแค่ทางฝ่ายฉันคงไม่สามารถที่จะหาตัวผู้ส่งอีเมลได้ ถ้าหากคุณต้องการ จะต้องนำต้นฉบับไปให้ฝ่ายเทคนิควิเคราะห์ ค่อนข้างยุ่งยากนิดหน่อย ทำไมคุณไม่ลองถามถังย่าล่ะ ฉันว่านักประชาสัมพันธ์คนนี้ดูเก่งมากนะ รู้มากกว่าหน่วยข่าวกรองอย่างพวกเราอีก”
ฉินซีเม้มปาก
น้ำเสียงของอานหยันราบเรียบ แต่เหมือนฉินซีจะมองเห็นถึงความผิดปกติ
——นักประชาสัมพันธ์รู้มากว่าระบบข่าวกรองเป็นเรื่องปกติเหรอ
ถังย่า,จ้านเซิน อีกทั้งบริษัทประชาสัมพันธ์นั้น มีความลับอะไรกันแน่
เธอครุ่นคิด แล้วก็ตอบกลับข้อความอานหยันด้วยรูปอิโมจิพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ระเบียง
เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่สุด อากาศยังคงเย็นเล็กน้อย
ฉินซีลดสายตาต่ำลงแล้วครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วก็ตัดสินใจในทันที ——เธอจะให้ถังย่ามาตรวจสอบเอกอีเมลนี้
เธอจะให้อีเมลนิรนามนี้มาทำให้ตระหนกไม่ได้
ถ้าหากไม่ใช่ฝั่งถังย่าเป็นคนส่ง อย่างนั้นบางทีอาจจะใช้โอกาสนี้ให้พวกเขาตามหาตัวผู้ส่งตัวจริงได้
หรือถ้าผู้ส่งสารเป็นพวกเขาเอง…..อย่างนั้นฉินซีมั่นใจว่าพวกเขาต้องมีร่องรอยเหลือทิ้งไว้อย่างแน่นอน
ขอแค่ตัวเองคอยสังเกตให้รอบคอบ จะต้องพบสิ่งผิดปกติอย่างแน่นอน
เธอไม่สามารถที่จะอยู่เฉยต่อไปได้อีก
จะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากที่เดิม
ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฉินซีก็ไม่ยอมที่จะเสียเวลาอีก จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดส่งข้อความถึงถังย่า : “เมื่อคืนได้รับอีเมลนิรนามฉบับหนึ่ง ถ้าหากมีเวลา อยากจะขอคุยกับคุณสักหน่อย”