บทที่ 1110 คุณแค่ไม่รักฉันแล้วเท่านั้น
ถังย่าก็ลุกขึ้นตาม : “ฉันจะไปส่งคุณ”
ฉินซีไม่ได้รั้งเธอ ทั้งสองเปิดประตูห้องประชุมแล้วเดินออกไปด้วยกัน
ครั้งก่อนที่มาเธอยังมีความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักให้กับลู่เซิ่น รอคอยที่จะใช้งานนิทรรศการภาพถ่ายสักครั้งเพื่อประกาศความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนให้โลกได้รู้
แต่มาครั้งนี้เธอต้องการเห็นตัวตนที่แท้จริงของ ถังย่า อยากเห็นว่าเธอเสแสร้งจอมปลอมหรือเปล่า
แต่ตอนนี้เธอไม่มีความคิดแบบนี้อีก
เมื่อรู้ว่าคลิปเสียงนี้เป็นของจริง สิ่งที่คิดทั้งหมดดูเหมือนจะมลายไปหมด
ฉินซีรู้เพียงว่าแม้แต่แรงที่จะเดินยังต้องใช้ความฝืนในการพยุงเอาไว้ เธอตอนนี้ต้องการอยากจะซ่อนตัวอยู่ในที่มืดๆสักแห่ง เพื่อเลียแผลใจให้กับตัวเอง
——คลิปเสียงก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นจริง บางทีอาจมีคนเจตนาไม่ดีต้องการแปลความหมายของลู่เซิ่นผิดไป
ฉินซียังคงแอบหวังลึกๆในใจ
แต่ว่าเธอก็รู้ดีว่านี่คือวิธีสุดท้ายที่เธอใช้ในการปลอบใจตัวเอง
เธอเงียบถังย่าก็เงียบตาม
สองคนเดินมาถึงประตูอย่างเงียบๆ คนขับรถได้รออยู่ที่ประตูแล้ว
ฉินซีกำลังจะหันตัวกลับมาบอกลาถังย่า ถังย่าได้อ้าแขนของตัวเองฉับพลัน
ในหัวฉินซีเต็มไปด้วยคำถาม ลำตัวยังคงยืนทื่ออยู่ที่เดิมถังย่าจึงกอดเธอเข้าเบาๆ
“อย่าเศร้ามากนะ” ถังย่าทิ้งประโยคลงที่ข้างๆหูของเธอ แล้วก็ถอยหลังหนึ่งก้าว จากนั้นก็ยิ้มอย่างสุภาพ “เดินทางปลอดภัยคะ”
ฉินซีไม่ได้นอนทั้งคืน เดิมทีการตอบสนองก็เอื่อยเฉื่อยอยู่แล้ว แล้วโดนการกระทำแปลกๆของถังย่าเข้าไป เธอก็แทบจะไม่มีการตอบสนองใดๆ ร่างกายของเธอบอกลาอย่างสุภาพกับถังย่าโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็ขึ้นรถไป
เมื่อรถขับออกมาสักพัก ฉินซีถึงค่อยๆทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น
——เมื่อสักครู่คือถังย่ากำลัง…..ปลอบใจตัวเองเหรอ
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
วันนี้จ้านเซินไม่อยู่ และถังย่าก็ดูแปลกๆ
ภายในใจฉินซีรู้สึกว่าแปลกมาก ราวกับ…..คุณมักจะคิดว่าสิ่งที่ยืนอยู่ห้องรับแขกนั้นคือหุ่นยนต์ คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งได้บังเอิญเดินผ่านห้องรับแขก แล้วพบว่านั่นไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่เป็นคนเป็นๆที่มีชีวิตอยู่
ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
แต่เมื่อความรู้สึกน่าเหลือเชื่อนี้ผ่านไป ในใจของฉินซีก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้นเธอคิดไม่ถึงว่าวันนี้ การปลอบใจแรกที่ตัวเองได้รับนั้นจะมาจากถังย่า
และ…..การปลอบใจนี้ก็ยังแอบมีผลเล็กๆ
เธอคิดอยู่อย่างนี้ แล้วก็ก้มหน้าไปเปิดดูโทรศัพท์
ข้อความสนทนาก็ยังเป็นลู่เซิ่นที่อยู่บรรทัดแรกสุด แต่ตอนนี้เมื่อฉินซีเห็นชื่อของลู่เซิ่น หัวใจเหมือนถูกทิ่มแทง
เมื่อนึกถึงสองสามวันก่อน ความตื่นเต้นในการวางแผนสารภาพความรู้สึกที่มีต่อลู่เซิ่นในงานนิทรรศการภาพถ่าย ฉินซียังรู้สึกว่าตัวเองช่างเหมือนตัวตลกจัง
เธอยังถึงกับรู้สึกโชคดีที่จู้จี้จุกจิกการจัดงานนิทรรศการภาพถ่ายอยู่เลย ถ้าหากเธอบอกให้หยุดในตอนนี้ ตอนที่เข้าสู่กระบวนการการเตรียมพร้อม ก็จะทำให้มีแต่ผลเสียที่มากขึ้น
และตอนนี้แผนการที่ถูกทิ้งไปนั้น ดูเหมือนเป็นการแดกดันประชดประชัน
เธอส่ายหัวแล้วยิ้มขึ้นขื่นๆ
ในความเป็นจริงตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเหยาหมิ่นในตอนนั้น
ถ้าหากเหยาหมิ่นนั้นเคยรักฉินซึ่งเทียนจริงๆ คนที่มีนิสัยใจเสาะอย่างเธอ ถ้าต้องเผชิญกับปัญหาเช่นนี้ คงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดทรมานมาก แล้วแสร้งทำตัวเหมือนกับนกกระจอกเทศที่เอาหัวมุดลงดิน ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ก็คงจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เข้มแข็งพอ แต่เมื่อเผชิญกับการทรยศของลู่เซิ่น หัวใจก็เหมือนโดนมีดทิ่มแทง แทบอยากจะเอามือมาอุดหูแสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
…..แต่ว่าเธอไม่มีทางเป็นจะเหยาหมิ่น
ฉินซีเข้าใจดี
ถึงแม้ว่าเธอจะเจ็บปวด แต่ว่าไม่มีทางที่แสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเป็นแบบนี้กับลู่เซิ่นต่อไปเรื่อยๆ
แต่เธอจะถามลู่เซิ่นอย่างจริงจังว่าคิดอย่างไร ทำไมถึงได้ทำแบบนี้ นิ้วมือฉินซีเปิดหน้าต่างแชทข้อความที่สนทนากับลู่เซิ่นขึ้นมา
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ความถี่ในการสนทนาของพวกเขานั้นค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่ประโยคในหน้าต่างแชทข้อความ
ประโยคที่ชัดเจนที่สุด ก็คงเป็นประโยคสุดท้ายที่ลู่เซิ่นส่งให้เธอ
“จะโทรหาคุณพรุ่งนี้ตอนเช้า”
ความขมขื่นแพร่กระจายในปากของฉินซี
ลู่เซิ่นถ้าคุณไปเมืองหนานเพื่อขอคนอื่นแต่งงานจริง แล้วทำไมยังต้องรั้งเธอไว้แบบนี้
ฉันไม่ใช่คนที่ดื้อด้าน ถ้าคุณบอกต้องการเลิกกัน ฉันจะไม่ดึงดันรั้งคุณไว้ และฉันก็จะจากไปอย่างเงียบๆ
หรือคุณก็เหมือนกับคนที่ส่งอีเมลนั้น ที่กังวลว่าฉันจะใช้วิธีที่ทำกับฉินซึ่งเทียนมาแก้แค้นคุณ
ไม่ เป็นไปไม่ได้
ฉันไม่มีทางที่จะเปิดเผยรอยแผลที่เปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเองต่อหน้าผู้อื่น เพื่อให้พวกเขานำไปพูดสนุกปาก
อีกทั้งความผิดของคุณกับฉินซึ่งเทียนไม่เหมือนกัน
ฉินซึ่งเทียนนั้นออกนอกลู่หลังแต่งงาน พัวพันเงินทอง ใส่ร้ายแม่ของฉันจนถึงแก่ชีวิต
เขาชั่วช้าต่ำทราม แต่คุณไม่ใช่
พวกเราอยู่ในความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ แม้แต่การมีความรักของเราสองคนยังต้องหลบๆซ่อนๆ
คุณไม่ได้นอกใจ
คุณแค่ไม่รักฉันแล้วเท่านั้น
ไม่ใช่ความผิดที่ร้ายแรง
ฉินซีจ้องหน้าจออย่างใจลอย โดยไม่รู้ตัวว่ามีน้ำตาไหลออกมาจากตา
จนกระทั่งน้ำตาอุ่นๆนั้นตกกระทบเข้าหลังมือเธอ เธอถึงได้รู้สึกตัว
เธอเหมือนกับทุบหม้อจมเรือ ตัดสินใจฉับพลันว่าจะส่งข้อความให้ลู่เซิ่น
“คุณนอนหรือยัง อีกสักครู่ฉันโทรหาคุณในอีกได้ไหม”
ถ้าคำนวณตามเวลา ที่เมืองหนานก็คงจะประมาณเที่ยงคืน ถึงแม้ว่าลู่เซิ่นมักจะนอนดึกอยู่เสมอ แต่ฉินซีก็ยังต้องการจะแน่ใจว่าเขานั้นยังตื่นอยู่
และลู่เซิ่นก็ยังไม่นอนจริงๆ แล้วยังวิดีโอกลับหาอย่างรวดเร็ว
ฉินซีได้กดปฏิเสธรับสาย
ลู่เซิ่นจึงรีบส่งข้อความกลับทันที : “ทำไม ตอนนี้ไม่สะดวกเหรอ”
ฉินซีตอบข้อความกลับ : “ตอนนี้ฉันอยู่บนรถ ยังกลับไม่ถึงบ้าน สัญญาณอาจจะไม่ค่อยดี เมื่อฉันกลับถึงบ้านแล้วจะโทรหาคุณอีกที”
คำพูดของเธอเหมือนจะทำให้ลู่เซิ่นเชื่ออย่างสนิท จึงตอบกลับไปว่า “ครับ” แล้วโทรศัพท์ก็เงียบไป
คำพูดของฉินซีเหมือนจะจริงบ้างเท็จบ้าง
เธออยู่ระหว่างทางเป็นเรื่องจริง สัญญาณอาจจะไม่ดีก็เป็นเรื่องจริง แต่ที่เธอไม่อยากคุยสายกับลู่เซิ่นตอนนี้ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเหล่านี้
เธอแค่ต้องการเวลาในการจัดการอารมณ์กับความคิดของเธอต่างหาก หลีกเลี่ยงอารมณ์ไม่ดีเมื่อเจอหน้าลู่เซิ่น
ถ้าจะต้องจากกันไป เธอรู้สึกว่า กิริยาท่าทีนั้นสำคัญที่สุด
แม้ว่าจะแยกจากกัน แม้ว่าลู่เซิ่นตัดสินความรักของพวกเขาในตอนนี้ด้วยการจบลง ฉินซีก็จะไม่ยอมให้ตัวเองเสียอาการ
แม้ว่าเมื่อก่อนนั้นลู่เซิ่นจะเห็นเธอเสียอาการบ่อยๆ แต่เธอหวังว่าการโทรหาเขาในครั้งนี้จะสามารถทิ้งภาพความทรงจำที่ดีให้แก่กัน เพราะนี่อาจจะเป็นการคุยกันครั้งสุดท้าย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดที่ทำให้ลู่เซิ่นเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ เธอก็จะไม่เหยียดหยามดูถูกตัวเอง
ที่ดูเหมือนเป็นการแก้แค้น เธอจะต้องทำให้ลู่เซิ่นเห็นด้านที่สวยงามของตัวเอง
ไม่ใช่เพื่อทำให้ลู่เซิ่นเสียใจในการกระทำ เพียงเพื่อต้องการให้ความทรงจำที่มีต่อเขาในภาพสุดท้ายนั้นสวยงาม