บทที่1117 ช่วงเวลาที่จะทำลายหัวใจ
เมื่อลู่เซิ่นเห็นเวินจิ้งเหม่อลอย
เขาจึงได้ทีขี่แพะไล่ พูดต่อไปอีกว่า “ถ้าคุณไปกับผม คุณจะได้เจอเขา”
แค่รับปากผม ผมจะได้สามารถพาคุณออกไปจากที่นี่
ลู่เซิ่นคิดในใจ
หลังจากนั้นผมจะบอกความจริงว่ามันเป็นยังไง
ผมจะได้ ไปหาคนที่ผมรัก ไปทำสิ่งที่ผมอยากจะทำ
แต่เวินจิ้งกลับดื้อดึงที่จะถามคำถามเดิม “เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของฉันกันแน่”
แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างด้านหนึ่งของห้อง เผยสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเวินจิ้งที่ซีดเซียวของเธอได้ชัดเจนขึ้น
ความกังวลฉายชัดภายในดวงตาคู่สวยของเธอ
ดูเหมือนเธอพร้อมที่จะร้องให้ได้ทันที ถ้าตัวเองพูดถึงข่าวร้ายของหลินยี่
แต่ลู่เซิ่นไม่หวั่นไหวเมื่อเห็นความเปราะบางของเธอ
เวลามีจำกัด เขาต้องโน้มน้าวเวินจิ้งให้เร็วที่สุด
ดังนั้นเขาจึงยิ้มจาง ๆ และจงใจพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้น “ได้ยินมาว่า คุณใช้ช่วงเวลาในเมืองหนานอย่างมีความสุข ผมนึกว่าคุณจะลืมพี่ชายไปเสียแล้ว”
เวินจิ้งเม้มริมฝีปาก
ลู่เซิ่นอ่านมาหมดแล้ว เขารู้ดีว่าเธอใช้ชีวิตที่นี่มันห่างไกลจากคำว่า มีความสุขนัก
เขาจงใจที่จะพูด ก็เพื่อที่จะทำให้เธอโมโหแค่นั้น
เป็นไปตามคาด เมื่อได้ฟังคำพูดของลู่เซิ่น คิ้วสวยของเวินจิ้งก็ขมวดแน่น มือบางกำเข้าหากันแลดูประหม่า
ลู่เซิ่นไม่ได้รีบร้อน เพียงแค่นั่งมองเธออยู่แบบนั้น
เขามองออก ว่าตอนนี้ในใจของเวินจิ้งตกอยู่ในความสับสนมากแค่ไหน จึงได้แค่ถามเขาซ้ำไปซ้ำมา “พี่ชายของฉัน เขาเป็นยังไงบ้าง”
เขารู้ว่าเธอเพียงแค่พูดกับตัวเอง แต่มันอดไม่ได้ที่จะตอบเธอไป
เขาเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนพูด “ผมบอกไปแล้ว พี่ชายของคุณเกือบตาย แต่ว่ายังไม่ตาย คุณช่วยเลิกถามคำถามนี้สักที”
คำอธิบายของเขาทำให้ความวิตกกังวลของเวินจิ้งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น จ้องไปที่คนตรงหน้า “คุณหมายความว่ายังไงที่ยังไม่ตาย! คุณเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายของฉันจริงๆเหรอ จะตอบง่ายแบบนี้เลยเหรอ ?”
เมื่อเห็นอารมณ์เธอที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ลู่เซิ่นกลับรู้สึกพอใจ
ที่เมื่อโต๊ะเจรจายิ่งมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องมากเท่าไหร่ คนอื่นก็จะหาโอกาสจับจังหวะได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเวินจิ้งเธอสับสนในตอนนี้
เวลานี้มันเป็นเวลาที่ดีที่จะทำลายเกราะป้องกันในหัวใจเธอ
ลู่เซิ่นสบตากับดวงตาที่มีแววโกรธเกรี้ยวของเธออย่างใจเย็น เขาเลิกคิ้ว ก่อนพูด “ผมคือคนที่ช่วยชีวิตพี่คุณนะ คุณควรทำท่าทางแบบนี้กับผมหรือไง?”
หลังจากที่เขาพูดจบ เวินจิ้งยังคงเงียบ
วงคิ้วสวยที่เคยขมวดด้วยความโกรธ ค่อยๆผ่อนลง แววตาของเธอยังคงมองสบไปที่เขา ลู่เซิ่นสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของเธอค่อยๆเย็นลง
เป็นเพียงการที่เวินจิ้งไม่ได้พูดอะไร ลู่เซิ่นก็ไม่ได้แสดงท่าทีผลีผลามเช่นกัน
ทั้งสองคนมองหน้ากัน ราวกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันในความเงียบงันนั้น
เขาไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนมองหน้ากันนานแค่ไหน แต่ในที่สุดเวินจิ้งก็เปิดปากพูดขึ้นมาว่า “ฉันอยากเจอพี่ชายของฉัน”
ลู่เซิ่นยิ้มเบาๆ
เขารู้ว่าคำพูดของเวินจิ้งเมื่อพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าใจของเธอมีการโอนเอียงมาทางเขา
แต่ตราบใดที่เธอยังไม่ตกลง ตัวเขาเองก็ไม่สามารถผ่อนปรนได้
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว “อวยพรให้สามีของคุณเถอะ ที่ตอนนี้ยังนอนอยู่ ไม่ใช่ว่าผมพูดกับคุณแล้วหรือ เขาแค่ยังไม่ตาย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อพบคุณได้”
เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขากระทบกับใจที่เจ็บปวดของเวินจิ้งอีกครั้ง คิ้วของเธอขมวดขึ้นมาอีกครั้ง
ลู่เซิ่นไม่สน เขายังคงพูดต่อ “ไม่ใช่แค่คุณที่ต้องการเจอเขาหรอกนะ เขาก็ต้องการพบคุณ แถมหมอของพี่ชายก็ต้องการพบคุณด้วยเช่นกัน ผมบอกไปแล้ว ว่าเขาบาดเจ็บหนัก ไม่แน่ว่าเขาต้องการเลือดกรุ๊ปเดียวกันเพื่อไปช่วยพี่ชายของคุณ”
หลังจากที่เขาพูดจบเวินจิ้งก็แสดงสีหน้ากังวล
ดูเหมือนว่า … จะยังคงห่วงใยลูกของหลินยี่เป็นแน่
ลู่เซิ่นคิด
ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างไม่ลดละ ก่อนพูดต่อ “แล้วคุณ แค่อยากจะพบพี่ชายคุณเท่านั้นเหรอ? พี่ชายคุณมีอะไรหลายอย่างที่ไม่ถูกกับมู่วี่สิง คุณก็น่าจะรู้ใช่ไหม? ถ้าคุณอยากจะมั่นใจว่าพี่ชายคุณจะปลอดภัย แล้วคุณก็ไม่อยากไปจากมู่วี่สิง แต่ถ้าพี่ชายคุณรู้เข้า ผมเกรงว่าเขาจะเป็นหนักกว่าเดิม เพราะงั้นวิธีที่จะปลอดภัยและได้ผลที่สุดคือ แต่งงานกับผม ผมช่วยคุณให้ออกจากที่นี่ได้ ช่วยให้พบกับพี่ชายคุณได้ และยังช่วยกำจัดปมในใจให้พี่ชายคุณได้ด้วย”
เมื่อเขาเอ่ยถึงชื่อของมู่วี่สิง เวินจิ้งก็ขมวดคิ้ว ทว่าสีหน้าของเธอกลับสงบลงอย่างช้าๆ
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณพูดความจริง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ “เรื่องของฉันกับมู่วี่สิงก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างฉันกับเขา แม้แต่พี่ชายฉันยังไม่เข้ามายุ่ง แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรงั้นเหรอคะ”
น้ำเสียงของเธอดูแข็งกร้าวเกินความคาดหมายของลู่เซิ่นเล็กน้อย
แต่เขาไม่ยอมแพ้
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันจริงๆเลยสินะ” ลู่เซิ่นพูดช้าๆ “คุณคิดอยู่ใช่ไหม ถ้ายืมมือผมเพื่อที่จะไปเยี่ยมพี่ชายคุณ จะทำให้คุณไม่ปลอดภัย? ก็เลยไม่ยอมที่จะแต่งงานกับผม ”
เวินจิ้งราวกับถูกแทงลงกลางใจ ดวงตาของเธอเป็นประกาย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆ “แต่ว่าคุณเวินครับ คุณควรรู้ไว้ ว่าโทษของคุณตอนนี้ ถือว่าเป็นอาชญากรในข้อหาฆาตกรรม ถึงผมจะมีวิธีที่จะทำให้คุณได้พบกับพี่ชาย แต่ตราบใดที่คุณต้องโทษอาชญากรรมอยู่ วันหนึ่งคุณจะไม่มีโอกาสกลับไปที่เมืองหนานอีกแล้ว”
เวินจิ้งเข้าใจช่องโหว่ในคำพูดของลู่เซิ่น เธอเหลือบตาและมองไปยังเขา “คุณลู่คะ คุณก็รู้ดีว่าฉันถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม แต่คุณมาที่นี่และขอให้ฆาตกรเป็นภรรยาของคุณ คุณคิดว่าคำพูดพวกนี้ จะทำให้ฉันเชื่อเหรอคะ?”
อย่างไรก็ตามลู่เซิ่นก็ไม่สนใจคำถามของเธอ เขาทำแค่ยักไหล่ด้วยท่าทีสบายๆ “ผมคือลู่เซิ่น ถ้าคุณมาเป็นภรรยาผม แน่นอนว่าคุณจะไม่ต้องรับโทษในคดีฆาตกรรม และเมื่อคุณก็กลายเป็นคุณผู้หญิงลู่ จะไม่มีใครกล้าพูดแบบนั้นกับคุณอีก”
สิ่งที่เขาพูดคล้ายจะเหมือนๆกัน แต่คิ้วของเวินจิ้งกลับขมวดขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันไม่เข้าใจ” หลังจากนั้นไม่นานเวินจิ้งก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน”
ลู่เซิ่นยิ้มบาง นั่งตัวตรงอย่างสง่า ก่อนพูด “เพราะคุณเป็นน้องสาวของหลินยี่ เหตุผลแค่นี้พอไหม?”
ใบหน้าของเวินจิ้งมีความสับสนและไม่เข้าใจ
ลู่เซิ่นคนนี้บอกว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของหลินยี่ เขายังบอกอีกว่าเพราะเธอเป็นน้องสาวของหลินยี่เขาจึงจะแต่งงานกับเธอ มันเป็นความตั้งใจของพี่ชายเธอจริงๆหรือ?
แต่นี่เป็นการแต่งงานของเธอเอง ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นอย่างที่พี่ชายของเธอต้องการ แต่เธอก็ยอมรับไม่ได้
ดังนั้นเธอจึงส่ายหัวและปฏิเสธไป “ฉันขออภัย ถึงแม้ฉันจะอยากพบพี่ชายแค่ไหน แต่ฉันไม่สนใจที่จะเป็นภรรยาของคุณ”