บทที่ 1124 วิตกกังวล
เสียงของพ่อบ้านดังมาตามสาย “ประธานลู่ คุณผู้หญิงเพิ่งออกไปครับ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ตอนนี้น่ะหรือ”
ลองคำนวณดูแล้ว เวลาของประเทศF น่าจะเกือบสี่ทุ่มแล้ว ทำไมฉินซีออกไปเวลานี้
น้ำเสียงพ่อบ้านกังวล “คุณผู้หญิงบอกว่าเพื่อนของเธอที่ชื่ออานหยันมีเรื่องนิดหน่อย อารมณ์ไม่ค่อยดี เธอจะไปปลอบใจครับ”
เมื่อพูดถึงอานหยัน ลู่เซิ่นค่อยวางใจลงบ้าง
ในใจเขาอานหยันเป็นผู้หญิงแปลกๆ ถ้าจะทำอะไรก็เป็นเรื่องปกติมาก ให้ฉินซีไปเป็นเพื่อนตอนดึกดื่นเช่นนี้ ก็เป็นไปได้
อีกอย่างหนึ่ง เขารู้ว่าอานหยันเป็นคนของสำนักข่าวกรอง ที่พักของเธอได้รับการดูแลรัดกุม ฉินซีอยู่ที่นั่น ถือว่าปลอดภัยมากทีเดียว
น้ำเสียงของเขาจึงผ่อนคลายลง “ถ้าไปอยู่กับอานหยัน ก็ไม่น่าจะมีอะไร สองสามวันนี้ผมไม่อยู่ เธอคงจะไม่มีอะไร ช่วงนี้ไปอยู่กับอานหยันก็ดี ช่วยดูแลเธอ อย่าทำงานหนักไป”
ลู่เซิ่นคิดถึงตอนวีดิโอคอลเมื่อวานฉินซีสีหน้าอิดโรย และยังดูเศร้าสร้อยด้วย
ต้องหาเวลาเกลี้ยกล่อมเธอ ลู่เซิ่นคิดในใจ ใกล้จะจัดงานแต่งงานแล้ว ทำงานอดหลับอดนอน หน้าต้องโทรมแน่
ในงานแต่งงาน ฉินซีจะต้องอยากเป็นคนที่สวยที่สุดในงาน
แต่พ่อบ้านที่อยู่ปลายสายคิดไม่ถึงความคิดของลู่เซิ่นจะไปไกลถึงขนาดนี้ ได้บทเรียนจากไม่กี่ชั่วโมงก่อน เขากลัวว่าถ้าตัวเองลังเลอีก ก็กลัวว่าลู่เซิ่นจะวางสาย จนไม่มีโอกาสอธิบาย จึงรีบพูดขัดจังหวะความคิดของลู่เซิ่น “ไปอยู่กับคุณอานแน่นอนว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมรู้สึกว่า… คุณผู้หญิงดูแปลกๆ ไปนะครับ”
“แปลกยังไงหรือ” ลู่เซิ่นขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ความคิดแล่นกลับมาเมื่อได้ยินประโยคนี้ “แปลกตรงไหน”
พ่อบ้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดขึ้นอย่างลำบากใจ “พูดไม่ถูกครับ รู้สึกว่า…เธอก้มหัวตลอด ไม่สบตาคน ท่าทางก็ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ พูดง่ายๆ คล้ายกับ…หุ่นเชิดครับ”
เพราะเวลาจำกัด เขาไม่ได้พูดถึงท่าทางแปลกๆ ของฉินซีก่อนหน้านี้ จึงไม่ได้อธิบายทั้งหมด
เขาบอกกับลู่เซิ่นไม่ได้ เขารู้สึกว่าฉินซีเหมือนจะกล่าวคำอำลา คิดจะไปจากรีสอร์ทชิงหยวน ตัวเองถึงได้วิตกกังวลขนาดนี้
เมื่อได้ฟังพ่อบ้านอธิบายโดยละเอียด ลู่เซิ่นขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม
ทำไมเมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนี้ เหมือนกับถูกวางยาควบคุมประสาทหรือถูกสะกดจิตอะไรทำนองนั้น
เรื่องนี้เกี่ยวกับความปลอดภัยของฉินซี เขาไม่กล้าประมาท น้ำเสียงจริงจังขึ้น “เธอไปแล้วหรือ ไปนานหรือยัง ไปคนเดียวหรือเปล่า”
พ่อบ้านรีบตอบ “เพิ่งไปไม่นานครับ ผมให้คนขับรถไปส่ง และยังกำชับเป็นพิเศษให้ส่งคุณผู้หญิงถึงหน้าบ้านคุณอาน เห็นเธอเข้าบ้านแล้วค่อยกลับ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า “โอเค ผมรู้แล้ว ผมจะโทรไปหาฉินซีให้แน่ใจ คุณโทรไปหาคนขับรถสั่งอีกที ต้องแน่ใจว่าเธอเข้าบ้านอานหยันแล้วค่อยกลับ”
พ่อบ้านรับคำหลายครั้ง ลู่เซิ่นวางสาย ไม่รอช้า วีดิโอคอลไปหาฉินซีทันที
ฉินซีรับสายอย่างรวดเร็ว “ลู่เซิ่น”
น้ำเสียงของลู่เซิ่นกังวล เขาตั้งใจสังเกตสีหน้าของฉินซี
ฉินซีนั่งอยู่ในรถ แสงไฟจากท้องถนนนอกหน้าต่างส่องเข้ามา เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด เธอมองหน้าจอ มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ เหมือนทุกครั้งที่วีดิโอคอลคุยกัน ลู่เซิ่นดูไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติ
เขาไม่รู้จะบอกอย่างไรที่ตัวเองสงสัยเพราะคำพูดของพ่อบ้าน จึงได้แต่ถาม “คุณอยู่ไหน ไม่อยู่บ้านหรือครับ”
ฉินซีพยักหน้า “อานหยันถูกทิ้ง อารมณ์ไม่ค่อยดี ฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอค่ะ”
ลู่เซิ่นได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ในที่สุดก็คลายความสงสัยไปสิ้น
ตอนนี้ใช้ยาประเภทควบคุมประสาทได้นั้นมีโอกาสน้อยนิด ราคาก็แพงลิบ ถึงแม้ยาส่วนใหญ่จะมีผลแล้ว ทำให้คนเชื่อฟัง แต่ทำให้คนเปลี่ยนเป็นเหมือนหุ่นเชิดได้ สั่งอะไรก็ทำตาม นี่คือสาเหตุที่เขากังวลหลังจากฟังพ่อบ้านอธิบาย
แต่หน้าตาท่าทางของฉินซีที่เห็นอยู่ ไม่เหมือนผลจากการใช้ยาประเภทนั้นที่ออกฤทธิ์ทำให้เหม่อลอย
ที่จริงใช่ว่าจะไม่มียาที่ให้ผลเช่นนี้…แม้แต่ลู่เซิ่นยังรู้เรื่องนี้ผิวเผิน ยาชนิดนี้เป็นยาที่ทางทหารเพิ่งพัฒนาขึ้น ราคาสูงลิบ ได้ยินมาว่าทำให้คนเชื่อฟัง และยังดูไม่ออกว่าถูกใช้ยา ส่วนยาจริงๆ เป็นยังไง ผลการใช้ยาเป็นยังไง แม้แต่ลู่เซิ่นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะหาซื้อยาชนิดนี้มาได้
ถึงแม้จะหายามาได้ แล้วจะเอามาใช้กับฉินซีได้อย่างไร รีสอร์ทชิงหยวนรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ใครกันจะมีโอกาสวางยาฉินซี ใช้ยานี้กับเธอ ทำให้เธอเชื่อฟังและทำตามได้หรือ
ตอนนี้ฉินซีเปิดเผยว่าไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉินแล้ว คนภายนอกก็ไม่รู้ว่าเธอได้รับเงินจากการขายหุ้นบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ส่วนความสัมพันธ์ของเขากับฉินซี ก็ยิ่งถูกเขาตั้งใจเก็บเป็นความลับ
การดูแลหลายชั้นขนาดนี้ เพียงพอที่จะทำให้ฉินซีไม่มีค่าอะไรในสายตาคนอื่น แล้วทำไมถึงมีคนใช้ยาแพงขนาดนี้ควบคุมเธอ
ลู่เซิ่นรู้สึกว่าตัวเองวิตกกังวลเกินไปแล้ว
แน่นอนถ้าคุณรู้ว่าตอนบ่ายรีสอร์ทชิงหยวนถูกคนบุกเข้ามาแล้ว เขาย่อมไม่มองในแง่ดีเช่นนี้แน่
ทว่าตอนนี้เขาไม่รู้อะไรสักนิด เพียงยิ้มมองฉินซี “คุณจะอยู่ที่นั่นกี่วันครับ”
ภาพฉินซีหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หลายวินาทีต่อมาถึงจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง ถามน้ำเสียงเจือความสงสัย “เมื่อกี้คุณพูดอะไรคะ สัญญาณทางนี้ไม่ค่อยดี”
ลู่เซิ่นยิ้ม “ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวรอคุณไปถึงบ้านอานหยันค่อยคุยกันนะ ยังมีอีกหลายเรื่องไม่ทันได้บอกคุณ”
ฉินซีพยักหน้า “ค่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
แค่ประโยคเดียวสั้นๆ สัญญาณฝั่งฉินซีสะดุดหลายครั้ง ได้ยินเสียงขาดๆ หายๆ
ลู่เซิ่นส่ายหัวยิ้ม พูดบ๊ายบาย แล้ววางสาย
ถ้าเขารู้ นี่เป็นการพูดคุยกันครั้งสุดท้ายเพราะหลังจากนี้เขาจะไม่ได้คุยกับฉินซีอีกนาน เขาคงจะไม่มีทางยอมวางสายง่ายๆ
เขาในตอนนี้ กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด ยังไม่รู้อะไรสักนิด
อีกครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็ส่งข้อความมา
ลู่เซิ่นเปิดดู เป็นคลิป
คนขับรถคงจะถูกพ่อบ้านกำชับกำชาจนกลัวไม่น้อย เกรงว่าฉินซีจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่อยู่กับตน จึงหยิบมือถือมาถ่ายตอนที่ฉินซีเดินเข้าบ้านอานหยัน
ภาพในคลิปไม่ชัดมากนัก ลู่เซิ่นเห็นรูปร่างมัวๆ กดกริ่งประตู ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ประตูเปิดออก คนนั้นเดินเข้าไป ท่าทางเป็นธรรมชาติมาก ดูไม่ออกว่าถูกบังคับตรงไหน
แม้ว่าภาพจะไม่ชัด เขาก็ดูออก คนนั้นคือฉินซี
เพิ่งจะเห็นหน้าฉินซีเมื่อไม่กี่นาทีก่อนแท้ๆ แต่ตอนนี้อยู่ๆ เขาก็คิดถึงเธอ
เขารู้ดี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะจมกับความรู้สึกของตัวเอง
เขาวางมือถือลง เดินเข้าบ้านเก่า