บทที่ 1125 ราคาที่ต้องจ่ายคืออะไร
คาดไม่ถึง ขณะที่ลู่เซิ่นเดินเข้าบ้านตระกูลลู่ เห็นสองคนที่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่——ลู่เหวยกับสูหยิง
ทั้งสองคนนั่งในห้องรับแขก สีหน้าเหน็ดเหนื่อยนิดหน่อย
อารองนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น พอเห็นลู่เซิ่นก็เหมือนจะโล่งอก รีบเรียกเขา “ลู่เซิ่นกลับมาแล้ว! พ่อแม่หลานมาหา!”
ลู่เซิ่นเห็นหน้าของเขาร้อนรน รู้สึกว่าตลกไม่น้อย
เขายังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ ก็รู้สึกได้ว่าสูหยิงแผ่รัศมีความไม่พอใจรอบตัว มีแต่ลู่เหวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังคงท่าทางสงบเสงี่ยมเช่นเคย
“พ่อครับ แม่ครับ” ลู่เซิ่นเดินเข้ามาใกล้ขึ้น ทักทายทั้งสองคน
สูหยิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดจาอะไร ขณะที่ลู่เหวยทักทายเขาเรียบๆ พร้อมรอยยิ้ม “กลับมาแล้วหรือลูก”
ลู่เซิ่นพยักหน้า นั่งลงข้างลู่เหวย
อารองเหมือนกับเจอผู้ช่วยชีวิตในที่สุด ลู่เซิ่นเพิ่งจะนั่งลง เขาก็รีบลุกขึ้นราวกับรอไม่ไหว “ในเมื่อลู่เซิ่นกลับมาแล้ว งั้นคนในครอบครัวเดียวกันค่อยๆ คุยกันนะ ผมไปดูก่อนว่าในครัวเตรียมอาหารกลางวันไปถึงไหนแล้ว”
พอพูดจบ ก็รีบผละไป
คนรับใช้ในห้องรับแขกเมื่อเห็นสถานการณ์แล้ว ก็พากันหลบออกไป ไม่ถึงนาที ห้องรับแขกโอ่อ่าก็แทบจะว่างเปล่า เหลือเพียงพวกเขาสามคน
“ไม่แน่จริงสักเท่าไร แล้วยังกล้าทำเรื่องไม่น้อยอีก” สูหยิงมองไปทางที่อารองเดินไป จมูกย่นทำเสียงไม่พอใจ สีหน้าดูแคลน จากนั้นมองไปทางลู่เหวยไม่พอใจ พูดขึ้นอย่างตำหนิ “บ้านคุณนี่รสนิยมยังไงนะ โซฟาไม้แข็งโป๊กนี่ทำเอาฉันปวดเมื่อยไปทั้งตัว”
ลู่เหวยไม่สนใจเธอ เพียงแต่จ้องมองลู่เซิ่นอย่างพินิจ “ช่วงนี้เหนื่อยมากหรือลูก ดูผอมไปหน่อยนะ”
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบคำถามที่แสดงความห่วงใยนั้น เพียงแต่จ้องมองทั้งสองคน “พ่อแม่มาได้ยังไงครับ”
ลู่เหวยยังไม่ทันตอบ สูหยิงก็ยิ้มเย็นพูดขึ้น “ก็ไม่ใช่เพราะแกหรือไง ไม่อย่างนั้นฉันนอนอาบแดดริมทะเลอยู่ดีๆ ทำไมต้องกลับมาหาเรื่องด้วย”
ลู่เซิ่นฟังน้ำเสียงบ่นของเธอ ก็รู้ว่า ที่เธอกับลู่เหวยมาในครั้งนี้ ต้องเป็นลู่เหวยที่เป็นคนเสนอ สูหยิงจะต้องไม่เต็มใจแน่นอน ถึงได้บ่นกระปอดกระแปด เห็นอะไรก็ไม่ถูกตาต้องใจไปเสียหมด
เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว ลู่เซิ่นวางสีหน้าเรียบเฉย สุขุมเหมือนกับสีหน้าของลู่เหวย
สูหยิงอายุยังน้อยมากตอนที่แต่งงานกับลู่เหวย ตอนนี้ลู่เซิ่นโตขนาดนี้แล้ว เธออายุยังไม่ถึงห้าสิบ
เธอเป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลสูยี่สิบกว่าปีแรก ยี่สิบกว่าปีหลังก็มีอำนาจในตระกูลลู่ แม้ว่าจะอายุเข้าวัยกลางคนแล้ว ยังคงมีนิสัยแบบคุณหนู
ตอนเด็กๆ ลู่เซิ่นต่อปากต่อคำกับเธอบ่อยๆ หลังจากโตขึ้น ค่อยเรียนรู้จากลู่เหวยทำเป็นมองไม่เห็น
สูหยิงเมื่อเห็นสีหน้าเขา ก็รู้ว่าเขาต้องไม่สนใจตัวเองแน่ ก็ทำเสียงไม่พอใจ ลุกขึ้น บ่นว่าโซฟาไม้มะฮอกกานีแข็งไป พลางเดินวนไปมา
ลู่เหวยฟังที่เธอบ่นเรื่องการตกแต่งห้องรับแขกหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงแต่เอียงตัวนิดนึง เข้าไปใกล้ลู่เซิ่น สายตาของเข้าจับจ้องใบหน้าของลู่เซิ่น กระซิบถาม “พ่อได้ยินอารองพูด ครั้งนี้ลูกกลับมา จะมาขอหลานสาวตระกูลหลินแต่งงานหรือ”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วนิดๆ
ดูท่าก่อนลู่เหวยเดินทางกลับมา คงจะตรวจสอบเวินจิ้งจนละเอียดแล้วรอบหนึ่ง แม้แต่เธอคือน้องสาวของหลินยี่ และเป็นหลานสาวของตระกูลหลินก็ตรวจสอบจนชัดเจนหมดแล้ว
เขาไม่ปฏิเสธ พยักหน้าเบาๆ “ใช่ครับ ผมอธิบายให้แม่ฟังแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมพ่อแม่ต้องมาถึงที่นี่เพราะเรื่องนี้”
ตอนนี้สูหยิงเข้ามาใกล้พวกเขาพอดี ได้ยินแล้วก็ถลึงตามองลู่เหวย พูดอย่างเห็นด้วย “เห็นไหมล่ะ! บอกแล้วไง ลู่เซิ่นรู้ว่าทำอะไร คุณยังจะมายุ่งให้ได้!”
ลู่เหวยน้อยครั้งที่จะชักสีหน้า หันไปมองสูหยิง “คุณออกไปเดินเล่นก่อน ผมจะคุยกับลู่เซิ่นสองคน”
เดิมสูหยิงไม่พอใจอยู่แล้ว พอถูกเขาไล่อย่างนี้ สีหน้าทนฟังไม่ได้ รีบยืดตัวตรง “ใครกันอยากอยู่ตรงนี้!”
พูดจบ ก็สะบัดหน้าเดินออกไปข้างนอกไม่หันมามองอีก
ลู่เซิ่นรู้ว่าสูหยิงต้องโกรธแน่ แต่ไม่ว่าจะเอาใจยังไง นั่นเป็นเรื่องของลู่เหวยแล้ว เขาขี้เกียจจะยุ่งด้วย
เขาจึงรอสูหยิงออกไปก่อน หันไปมองลู่เหวย “พ่อครับ เมื่อวานผมพูดกับแม่ชัดเจนแล้ว ผมกับเวินจิ้งไม่ได้…”
“ลู่เซิ่น” ลู่เหวยพูดขัดขึ้นอย่างที่แทบไม่เคยจะเป็นมาก่อน สีหน้ามีความไม่พอใจอยู่บางๆ “พ่อไม่เคยคิด แม้แต่การแต่งงานลูกก็จะเอามาใช้เป็นหมากได้”
ลู่เซิ่นไม่เข้าใจนัก ขมวดคิ้วนิดหนึ่งมองลู่เหวย “พ่อครับ ผมไม่ได้แต่งงานกับเธอจริงๆ สักหน่อย จะเห็นการแต่งงานเป็นหมากได้ไง”
ลู่เหวยแทบไม่เคยแสดงสีหน้า ตอนนี้สีหน้านิ่ง ลู่เซิ่นมองแล้วรู้สึกไม่คุ้นเคย “ถ้าลูกไม่รู้สึกผิดสักนิด ทำไมไม่พูดกับฉินซีล่ะ”
ลู่เซิ่นเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
ทั้งตระกูลลู่ มีแต่ลู่เหวยที่รู้ดีถึงความสัมพันธ์ตอนนี้ของเขากับฉินซี รู้ว่าเขาไม่โสด และนึกอยากจะแต่งก็แต่งไม่ได้
คงจะเป็นเพราะอย่างนี้เอง เขาถึงได้รีบร้อนมาหาตัวเอง
แต่ลู่เซิ่นไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไรดี จึงเปลี่ยนเป็นย้อนถามแทน “พ่อ พ่อมีสิทธิ์อะไรมาว่าผม พ่อก็เห็นการแต่งงานของตัวเองเป็นหมากไม่ใช่หรือ ไม่งั้นทำไมพ่อถึงแต่งกับแม่ล่ะ”
สีหน้าลู่เหวยเคร่งขรึม “ลู่เซิ่น ในใจลูก คิดว่าการแต่งงานของพ่อกับแม่เป็นอย่างนั้นหรือ”
ลู่เซิ่นไม่ตอบคำถาม
ที่จริงในใจเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
แม้ในตอนเริ่มแรกสูหยิงกับลู่เหวยจะแต่งงานกันเพราะสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ แต่ที่จริงนิสัยทั้งสองคนหนึ่งแข็งคนหนึ่งอ่อน กลับเหมาะกันมาก แม้ในตอนเริ่มต้นจะไม่ใช่ความรักอย่างเดียว แต่อย่างน้อยหลายปีมานี้ ในสายตาของลู่เซิ่น สูหยิงกับลู่เหวยเรียกได้ว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่รักเคารพกัน และเข้ากันได้ดี ไม่ใช่แค่แทบไม่เคยทะเลาะกันใหญ่โต หลังจากเขารับช่วงต่อบริษัทลู่ซื่อ ทั้งสองคนก็ออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนแทบทุกวัน ใช้ชีวิตอย่างหวานชื่นมาก
ลู่เหวยเห็นว่าเขาไม่มีเจตนาจะโต้แย้งต่อไป ก็ถอนหายใจยาว พูดด้วยความหวังดี “ลู่เซิ่น พ่อเข้าใจความตั้งใจของลูก และรู้ด้วยว่าลูกทำอย่างนี้เมื่อมองในมุมผลประโยชน์ไม่มีปัญหาอะไร หรือถึงขั้นได้ประโยชน์มาก ลูกเป็นคนมีหัวทางการค้า พ่อจะไม่เอาเรื่องนี้มาตำหนิ แต่วันนี้ที่พ่อตั้งใจบินมา เพื่อมาหาลูกโดยเฉพาะ ก็แค่อยากจะบอกลูก ต้องคิดให้รอบคอบ ทุกการตัดสินใจ มีราคาบางอย่างที่ต้องจ่าย”
ตลอดชีวิตยี่สิบกว่าปีนี้ของลู่เซิ่นเรียกได้ว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีอุปสรรคและไม่ออกนอกลู่นอกทาง ลู่เหวยจึงแทบไม่เคยพูดกับเขาอย่างเป็นงานเป็นการขนาดนี้
แต่เวลานี้ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเขา
“ผมรู้ครับ” ลู่เซิ่นเม้มริมฝีปาก และยังตัดสินใจยอมรับกับลู่เหวย “ผมยังไม่ได้บอกฉินซีจริงๆ ครั้งนี้ที่มาเมืองหนาน ผมแค่บอกเธอว่าจะมาทำงานเท่านั้น”
ลู่เหวยขมวดคิ้ว สีหน้าไม่เห็นด้วย “ลูกหลอกเธอหรือ”