บทที่ 1129 การรังแกใดๆ
ฉินซีลุกพรวด
เธอไม่อาจนั่งรอความทรมานได้!
ในเมื่อไม่อาจหลบหนีได้ เธอไม่ยอมอยู่เฉย ให้ใครรังแกเด็ดขาด!
แต่เธอยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป เสียงของจ้านเซินก็ดังขึ้นข้างหลังเธอเบาๆ
“ฉินซี คุณรู้มั้ยทำไมเมื่อวานแค่หายใจนิดเดียว ก็เชื่อฟังผมแต่โดยดี”
จ้านเซินลุกขึ้นตาม เดินมาหยุดที่ข้างฉินซี ก้มมองเธอ “ในทางทหาร MNC คือยาประเภทควบคุมประสาทที่เพิ่งพัฒนาออกมาล่าสุด มันออกฤทธิ์ควบคุมการกระทำและความคิดบางส่วนของผู้ใช้ยา แต่ไม่เปลี่ยนผลของการแสดงออกอย่างอื่น แทบดูไม่ออกว่าคนนั้นถูกใช้ยา ไม่เสพติด ไม่มีอาการภายหลัง คิดราคาตามมิลลิกรัม แค่นิดเดียวเท่านั้น…” เขายกมือขึ้นมา นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือติดกัน “ก็ราคาหลักแสน”
เขาพูดไปพลาง หยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากกล่องยาของคนสวมชุดกาวน์ เขย่าตรงหน้าเธอ “เมื่อวานคุณคนเดียว ก็ใช้ยาไปเกือบสิบล้าน แต่ถ้าคุณอยากจะหนีอีก ผมก็ไม่เสียดายที่จะใช้ยามากขนาดนั้น ทั้งหมดกับคุณ”
ฉินซีมองยาที่เขย่าในขวดแก้วเล็กๆ นั้น ในที่สุดก็พูดตอบโต้ จ้านเซิน
เธอหรี่ตา มองจ้านเซินแฝงความรู้สึกเยาะเย้ย “ฉันยังไม่รู้เลย ฉันมีค่าอะไร ควรค่าให้คุณต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้น เพื่อรั้งให้ฉันอยู่ที่นี่”
รอยยิ้มของจ้านเซินที่มุมปากกว้างขึ้น “ผมบอกแล้วไง รอคุณจำได้ ก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง”
ขณะที่ทั้งสองคนสนทนากัน คนสวมชุดกาวน์ยืนขวางหน้าประตูไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไร
ฉินซีประเมินด้วยสายตา
คนสวมชุดกาวน์แม้จะผอมสูง แต่ดูแล้วไม่อ่อนแอ คงจะเป็นตัวร้ายเช่นกัน
ถึงแม้จะวิ่งหนีได้คนหนึ่ง ก็ไม่มีทางวิ่งหนีถึงสองคนได้ ไม่นับยาในมือ จ้านเซินนอกตึกนี้ก็คงเป็นถิ่นของจ้านเซินเธอไม่มีวันหนีพ้น
ฉินซีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แม้ว่าจะรู้จักเขาไม่นาน เธอก็ดูออกจ้านเซินคือคนที่ชอบควบคุมมาก ถ้าเธอดื้อดึงไม่ยอมเชื่อฟัง เขาก็จะใช้วิธีที่รุนแรงขึ้นเพื่อควบคุมเธอ
หรือพูดได้ว่า…ถ้าเธอยืนยันไม่ยอมรักษา เขาต้องใช้ยาในมือนั่นแน่นอน
ถึงแม้ จ้านเซินจะพูดย้ำยานั่นไม่เสพติด และไม่มีผลเสียตามมา แต่ฉินซีไม่เชื่อคำพูดของเขาทั้งหมด
ในตอนแรกเธอรู้สึกว่า จ้านเซินไม่มีทางทำร้ายตัวเองก็จริง แต่เมื่อถูก จ้านเซินวางแผนเช่นนี้ ความรู้สึกนั้นก็หายไปนานแล้ว
ถ้าเธอเป็นเม่นตัวหนึ่ง ตอนนี้คงต้องสลัดขนแหลมทั้งตัวแน่
แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง วิธีการที่ดีกว่าในตอนนี้ คงจะเป็น…ยอมทำตาม แล้วค่อยหาโอกาสหนี
เธอยืนนิ่งไม่ขยับจ้านเซินดูเหมือนว่าจะมองเห็นว่าในใจของเธอหวั่นไหว โบกมือให้คนสวมชุดกาวน์ “เตรียมตัวได้”
คนสวมชุดกาวน์เดินเพียงก้าวหนึ่งก็มาถึงตรงหน้าฉินซี น้ำเสียงมีมารยาทแฝงด้วยความแข็งกร้าวที่ไม่อาจปฏิเสธได้ง่าย “คุณฉิน เชิญนั่งครับ”
ฉินซีไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ทำตามเขา เดินกลับไปนั่งที่โซฟาสีน้ำตาลเข้ม
คนสวมชุดกาวน์ให้เธอนั่งบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกล่องยา
เขาทำเสียงต่ำ “ตอนนี้ หลับตาครับ”
เสียงของเขาเพิ่งหายไป จ้านเซินก็พูดเสริมขึ้น “คุณทำตาม จะดีที่สุด ถ้าไม่ได้ผล คุณก็รู้ดี ยาขวดนี้รอคุณอยู่เสมอ”
ฉินซีหลับตา เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เพียงแต่ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากคำพูดของคนสวมชุดกาวน์ ลมหายใจของเธอยาวขึ้นช้าๆ
จ้านเซินรู้ว่า เธอถูกสะกดจิตแล้ว
คนสวมชุดกาวน์ยังคงชี้นำความทรงจำของฉินซีอยู่ตลอด เขาไม่รีบร้อนออกไป นั่งเงียบๆ รอที่เตียงไม่ห่าง สายตาจับจ้องที่ฉินซี
ต้องการให้ฉินซีนึกเรื่องราวในอดีตได้ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่วิธีสะกดจิตเท่านั้น
แต่…นี่คือวิธีที่เร็วที่สุด
จ้านเซินไม่มีทางทนยอมเห็นฉินซีตั้งใจมุ่งหน้าสู่ชีวิตใหม่ โดยไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอดีต
เธอต้องเป็นคนข้างกายเขา ต้องถูกเขาควบคุมตลอดไป
ใกล้กันนั้น ลมหายใจของฉินซีไม่ยาวแล้ว แต่จังหวะหายใจถี่ขึ้น
สายตาของจ้านเซินดีมาก เมื่อมองดู ก็เห็นฉินซีขมวดคิ้วแน่น สีหน้าขาวซีด
กระทั่ง…มีหยดเหงื่อผุดขึ้นเต็มขมับ
จ้านเซินเม้มริมฝีปาก แต่ไม่ได้สั่งให้หยุด
……
เมื่อได้ยินคนสวมชุดกาวน์ออกคำสั่ง ฉินซีสะลึมสะลือ รู้สึกว่าสติของตัวเองคลำอยู่ในความมืดเนิ่นนาน เดินวนเวียนในเขาวงกตท่ามกลางความมืดมิดพักใหญ่ ทันใดนั้นก็คลำเจอประตูบานหนึ่งตรงหน้า
ประตูบานนั้นหนักมาก เหมือนกับมีแรงอะไรสักอย่างยันกับเธอ ไม่ยอมให้เธอเปิดประตูบานนี้ แต่สำนึกของเธอแน่วแน่มาก ต้องการเปิดประตูให้ได้
ไม่รู้ว่าทั้งสองฝั่งงัดข้อกันนานเท่าใด ในที่สุดเธอก็ผลักประตูบานนั้นเปิดออกได้
เธอเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เหมือนเหยียบลงกลางอากาศ ร่วงลงไปอย่างแรง
เธอยื่นมือไปอยากจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง รอบตัวมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรหยุดยั้งเธอไม่ให้ร่วงหล่นลงไป
เธอรู้สึกแต่ว่าผ่านไปเนิ่นนาน ตัวเองถึงหยุดดำดิ่งลงไป
แต่นี่ยังไม่สิ้นสุด
เธอมองไปรอบๆ รู้สึกว่าตัวเองก้าวสู่ฝันร้าย
แต่เธอรู้ดี ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝัน
เพราะเทียบกับความฝันแล้ว ช่างเหมือนจริงเหลือเกิน
ครั้งนี้ เธอไม่ได้ใช้มุมมองของพระเจ้ามองลงมาแล้ว แต่เป็นมุมมองของตัวเองที่สัมผัสกับทุกอย่าง เพราะอย่างนี้ ความรู้สึกเป็นของตัวเองมากกว่า ความเจ็บปวดก็รุนแรงเป็นพิเศษ
……
ฉินซีก้มดูกระโปรงของตัวเอง แน่ใจว่า นี่คือตอนเธออายุสิบขวบ
เพราะเธอมีความทรงจำกับกระโปรงตัวที่กำลังสวมใส่มากเหลือเกิน มันเป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบขวบที่พ่อซื้อให้ แต่เธอได้สวมไม่กี่ครั้ง ตอนหลังไม่รู้คนรับใช้เอาไปเก็บไว้ที่ไหน
คุณปู่ซื้อของขวัญให้เธอมากมาย แต่เธอกลับจำกระโปรงตัวนี้ที่หายไปอย่างไม่รู้สาเหตุได้แม่นยำ
คงเป็นเพราะคนเรามักเป็นอย่างนี้ ฝังใจกับของที่หายไป
แต่ไม่นานฉินซีก็หันไปสนใจกับเสียงคนจากภายนอก ไม่ก้มหน้าพิจารณากระโปรงที่ตัวเองสวมอยู่อีกต่อไป
เธอมองไปรอบๆ พบว่าตัวเองอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวน
ถ้าจะพูดให้ชัดเจนคุณปู่ฉินยังอยู่ที่นี่ บ้านยังไม่ถูกขาย เวลานั้นจึงยังเรียกว่าบ้านตระกูลฉิน
ที่จริงแล้ว เมื่อคาดเดาจากลำดับเวลา ตอนนี้เธอควรจะเพิ่งฉลองวันเกิด อยู่ที่บ้านตระกูลฉินเป็นเรื่องปกติ
ทำไมความทรงจำช่วงแรกถึงเริ่มต้นที่นี่นะ
ฉินซีไม่เข้าใจ แต่ยังคงเดินย่องไปยังทิศทางที่มีเสียงคนดังมา
เธอซ่อนตัวหลังร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ยื่นหน้าออกไปนิดหนึ่ง
คนที่กำลังสนทนากัน คือฉินซึ่งเทียนกับคุณปู่ โชคดีที่ทั้งสองคนหันหลังให้ จึงไม่เห็นความเคลื่อนไหวของเธอ
พวกเขาสองคนเหมือนกำลังถกเถียงอะไรกัน ไม่สามารถควบคุมเสียงได้ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ฉินซีที่หลบอยู่ไกลออกไปได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ชัดเจน