บทที่ 1132 ตีเบี้ยวแต่โชคดีที่ตรง
อย่าว่าอย่างอื่นเลย แค่เดินไปสิบกว่านาที แล้วได้ตากแดดไปแป๊บเดียว ฉินซีก็เริ่มรู้สึกว่าแก้มร้อนขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
แต่ว่าเธอที่อายุสิบขวบกลับส่ายหน้า และปฏิเสธข้อเสนอของเพื่อน “เธอไปก่อนเถอะ ฉันขอดูต่ออีกหน่อย เดี๋ยวค่อยไปแล้ว”
ดูท่าเพื่อนน่าจะตากแดดจนกลัวแล้ว จึงไม่ได้พูดโน้มน้าวเธอต่อ พยักหน้าแล้วตัวเองก็เดินกลับไป
ในเวลานี้ฉินซีมองดูอีกครั้ง รวมกับตัวเองแล้ว ก็มีแค่คนสองคนที่ยังคงสังเกตการณ์อย่างตั้งใจอยู่ เด็กสาวอีกหกคนที่เหลือล้วนหลบไปอยู่ใต้ร่มไม้แล้ว และได้พูดคุยเฮฮากันเป็นกลุ่มก้อนแล้ว
แต่ถังย่ากลับนั่งหน้าเย็นชาอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะมาสนใจพวกเขาเลยสักนิด
ฉินซีรู้อยู่แก่ใจ เอาตามที่ฉินซึ่งเทียนพูดไว้ก็คือ การมาเข้าค่ายฝึกอบรมนี้ ก็เป็นเพียงแค่คลับอย่างหนึ่งที่มีไว้เพื่อพบปะสังสรรค์ของพวกลูกหลานคนรวยเท่านั้น จะให้ทุกคนมาลำบากเหน็ดเหนื่อยกันจริง ๆ ได้ที่ไหนกัน
โดยเฉพาะพวกเด็กสาวพวกนี้ ที่มาที่นี่ก็แค่เปลี่ยนที่คุยกันที่หนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าฉินซีรู้ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวเองที่สิบขวบตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกที่กลับไปอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบประคบประหงมหรอกนะ แต่ว่าถ้าเป็นภารกิจอย่างอื่นแล้ว ส่วนใหญ่เธอก็คงจะไม่มีความอดทนอะไรที่จะอยู่ต่อไป
แต่ว่าภารกิจที่เห็นว่าต้องถือกล้องส่องทางไกลคอยสังเกตการณ์นี้ เป็นเรื่องที่เธอชอบที่สุดในเวลาปกติอยู่แล้ว
เริ่มตั้งแต่แปดขวบฉินซีก็ชอบออกไปถ่ายรูปกับคุณปู่แล้ว ถึงแม้อายุจะยังน้อย ๆ แต่ก็ออกไปดูทิวทัศน์กับเขามาหลายที่แล้ว คุณปู่มักจะถือกล้องถ่ายรูปไว้แล้วเฝ้ารอดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก แต่ในมือของเธอนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูป คุณปู่จึงมักจะยัดกล้องส่องทางไกลให้เธอเอาไปสำรวจรอบ ๆ
พอคุณปู่เริ่มถ่ายรูปแล้วก็มักจะไม่ชอบพูด ฉินซีก็ทำได้แค่คอยถือกล้องส่องทางไกลเอาไว้แล้วอยู่อีกข้าง เธอก็ไม่เคยจะรู้สึกเบื่อมาก่อนเลย
เพราะฉะนั้นภารกิจนี้จึงถือได้ว่าตีเบี้ยวแต่โชคดีที่ตรง บังเอิญมาเจอกันจนได้
เพราะฉะนั้นฉินซีที่อายุสิบขวบก็ไม่สนใจว่าลมจะพัดหรือแดดจะร้อน ตัวเองถือกล้องเอาไว้แล้วเริ่มสำรวจรอบทิศทางขึ้นมา
เรื่องแบบนี้ ถึงจะเป็นฉินซีในตอนปัจจุบัน ก็ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลย
ป่าไม้ที่ดูไปแล้วเงียบสงบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แต่ว่าจริง ๆ แล้วทุกครั้งที่สามลมพัดผ่าน ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของป่าไม้ไปได้ทั้งนั้น
เธอไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายกับการสังเกตโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดูผ่านกล้อง หรือว่าด้วยจะดวงตาทั้งคู่ของตัวเอง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน อยู่ ๆ ข้างกายก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาทำให้เธอขาดตอน
“เธอกำลังทำอะไรอยู่?”
มีคนโน้มตัวลงมาข้างตัวเธอ แล้วเปิดปากถามขึ้น
ฉินซีหันหน้าไป สบตาทั้งคู่ตรง ๆ เข้ากับจ้านเซินที่ยังเป็นวัยรุ่น
เพียงแต่ว่าฉินซีในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าในอนาคตต่อไปเธอจะโดนจ้านเซินข่มขู่ถึงขนาดนี้ และยิ้มอย่างมีมารยาทไปทางจ้านเซิน “ฉันกำลังสำรวจป่าไม้อยู่ค่ะ”
จ้านเซินดูมีท่าทางสนใจ แล้วยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ป่าไม้เหรอ?”
ฉินซีที่อายุสิบขวบน่าจะได้พบเจอกับคนที่สนใจการสำรวจของตัวเองได้น้อยมาก เมื่อลองคิดดูแล้วก็จะรู้ เด็กสาวที่อายุเท่ากันส่วนใหญ่มักจะงมงายอยู่กับโลกตุ๊กตา กระโปรงสวย ๆ และการ์ตูน น้อยคนนักที่จะสามารถแบ่งปันความชอบแบบเดียวกันกับฉินซี
เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าจ้านเซินเหมือนจะสนใจในสิ่งที่ตัวเองพูดมากนั้น ฉินซีที่อายุสิบขวบก็เริ่มพูดไม่ยอมหยุดว่า “คุณรู้ไหมคะว่า ที่จริงแล้วต้นไม้ก็ไม่ได้เป็นรูปร่างเดิมตลอดเวลา ภายใต้แสงที่ไม่เหมือนกัน รูปต้นไม้ที่ถ่ายออกมา ก็จะไม่เหมือนกัน……”
ฉินซีมองตัวเองในตอนนั้นที่แนะนำไม่หยุด ในใจยังรู้สึกหน้าแดงอับอายเล็กน้อย แต่ว่าจ้านเซินกลับเหมือนจะโดนเนื้อหาที่เธอพูดออกมานั้นดึงดูดไปแล้วยังไงอย่างงั้น ได้แต่คอยฟังอยู่เงียบ ๆ ตลอด และยังคอยพยักหน้าให้เป็นบางครั้งอีกด้วย
รอจนเธอพูดจบในที่สุด จ้านเซินก็ยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาให้เธอ “ฉันมอบภารกิจใหม่อย่างหนึ่งให้เธอ ดีไหม ?”
ฉินซีในตอนนั้นก็พอจะรู้ว่าจ้านเซินเป็นคนที่มีอำนาจพูดที่สุดในกลุ่มวัยรุ่นนี้ แต่ว่าก็ยังมีความลังเลอยู่ และไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่กลับเปิดปากถามขึ้นว่า “ภารกิจอะไรคะ……”
“ภารกิจที่มีความหมายมากกว่าการดูต้นไม้อีก ฉันรับรอง” จ้านเซินพูดขึ้น “เราเปลี่ยนที่กันสักหน่อย ไปที่ที่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่านี้ ดีไหม?”
ฉินซีก็ลังเลไปอีกครู่หนึ่ง
ท่าทางของจ้านเซินเมื่อกี้ที่มีความอดทนฟังในสิ่งที่ตัวเองพูดมากแบบนั้น ไม่เหมือนคนชั่วเลยจริง ๆ และยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้บังคับบัญชาของที่นี่อีกด้วย……
เวลาผ่านไปครู่เดียวนี้ ถังย่าก็เดินมาทางนี้แล้ว
“นี่คือ……” เธอเปิดปากพูด สายตามองไปมาระหว่างฉินซีและจ้านเซิน
จ้านเซินเป็นคนตอบกลับเองก่อนว่า “ฉันกะว่าจะพาเขาไปที่หอคอยC”
“หอคอยCเหรอ?” ถังย่ารู้สึกตกใจเล็กน้อยจนถลึงตาโต “คุณ…..”
จ้านเซินส่ายหัว แล้วพูดขัดเธอขึ้นว่า “เรากลับไปค่อยว่ากัน”
แล้วถังย่าก็ไม่ได้เปิดปากพูดกับเขาอีก เพียงแต่ก้มหน้าลงมาพูดกับฉินซีว่า “เธอไปกับผู้บัญชาการก่อนละกัน”
ตอนแรกฉินซีก็มีความหวั่นไหวแล้ว แต่พอเขายิ่งมาพูดแบบนี้กับเธอ ก็ต้องพยักหน้าเป็นธรรมดา
เธอลุกยืนขึ้น แล้วเดินลงเขาไปพร้อมกับจ้านเซิน และยังโบกมือลาให้เพื่อน ๆ ที่อยู่ใต้ร่มไม้กันอีกด้วย
ข้างในใต้ร่มไม้มืดเกินไป เธอจึงเห็นไม่ชัดว่าเพื่อน ๆ ตอบกลับมาไหม แล้วก็เดินตามจ้านเซินจากไป
ท่าทีที่จ้านเซินมีต่อเธอนั้นช่างอ่อนโยนและเป็นมิตร ที่มุมปากมีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่ แล้วถามขึ้นอย่างกับพูดคุยธรรมดาว่า “ยังไม่ได้ถามเลยว่าเธอชื่ออะไร? และเป็นลูกของบ้านไหน?”
ที่เขาจะถามแบบนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อครั้งนี้คนที่มากันนั้น ต่างก็เป็นลูกหลานของตระกูลที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น
และฉินซีที่อายุสิบขวบ ก็ตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสาว่า “ฉันชื่อฉินซีค่ะ พ่อของฉันคือฉินซึ่งเทียน”
จ้านเซินพยักหน้า แล้วพูดขึ้นเหมือนมีความคิดอะไรอยู่ “ลูกหลานตระกูลฉิน……”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ดูแล้วจ้านเซินเหมือนกับไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่จริง ๆ แล้ว แค่จากคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ ก็สามารถรู้ถึงต้นตระกูลของฉินซีอย่างละเอียดหมดแล้ว แต่ว่าฉินซีที่ไร้เดียงสากลับยังคงพอถามมาก็จะต้องตอบกลับไปอยู่ และพูดทุกอย่างอย่างชัดเจนอีกด้วย
และในตอนที่ฉินซีได้เปิดเผยต้นตระกูลของตัวเองจนก้นหงายขึ้นฟ้าแล้วนั้น ในที่สุดจ้านเซินก็หยุดฝีเท้าลง
ตอนนี้ฉินซีถึงจะสังเกตเห็นว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะมาได้ในเวลาปกติ หรือแม้แต่ได้ห่างไกลออกมาจากพื้นที่สนามฝึกมากแล้ว และลึกเข้าไปจนถึงพื้นที่ส่วนภายในของค่ายฝึกนี้แล้ว
ด้านหน้าเป็นอาคารที่สูงมาก ฉินซียืนอยู่ใต้ตึกแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองก็มองไม่เห็นยอด และแต่ละห้องต่างก็ปิดหน้าต่างไว้แน่นสนิท ประตูใหญ่ที่ทำมาจากเหล็ก ก็ปิดไว้แน่นหนาเช่นกัน มองแล้วมีความรู้สึกที่ลึกลับอย่างบอกไม่ถูกอยู่
ฉินซีอดไม่ได้ที่จะหดคอกลับมา แล้วเงยหน้ามองไปทางจ้านเซิน “ท่านผู้บังคับบัญชาการ ที่นี่คือที่ไหนเหรอคะ……”
จ้านเซินก้มหน้าลงแล้วยิ้มไปทางเธอ “ไม่ต้องกลัวไปหรอก แค่พาเธอมาทำการทดสอบดูเท่านั้น จะให้เธอมาสำรวจรอบ ๆ ดูก็พอแล้ว”
ฉินซีโดนรอยยิ้มของเขาปลอบโยนไปได้บ้าง เธอพยักแล้วไม่พูดอะไรอีก
ในเวลานี้ ประตูข้างหน้าค่อย ๆ เปิดออกมา
มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน
ผู้หญิงคนนั้นใส่เสื้อกาวน์สีขาว ผมเผ้ารวบไว้ข้างหลังอย่างไม่มีหลุดลุ่ยออกมาสักเส้น ที่หัวคิ้วเพราะว่าผ่านการขมวดคิ้วมาเป็นนานปี จึงทำให้มีร่องลึก ๆ
สายตาของเธอกวาดมองผ่านตัวฉินซี ไม่มีการหยุดดูสักนิด แล้วเปลี่ยนมาทางด้านจ้านเซิน
เธอไม่ได้เปิดปากพูดอะไร แต่ว่าแววสงสัยในดวงตานั้นเห็นได้ชัดมาก
ระดับตำแหน่งของจ้านเซินกับเธอน่าจะพอ ๆ กัน เพราะว่าเขายิ้มให้กับเธออย่างเป็นกันเองมาก ไม่ได้มีความเคารพแบบที่มีต่อผู้ใหญ่เลย “พบเด็กที่มีหน่วยก้านดีที่ดีเด็กหนึ่ง ก็เลยพามาให้คุณดูสักหน่อย”
ฉินซีขมวดคิ้วแน่นขึ้นในใจขึ้นมาทันที
เด็กที่มีหน่วยก้านดีเหรอ?
ผู้หญิงคนนั้นถึงได้ก้มหน้าลงมาวิเคราะห์ฉินซีทีหนึ่ง สายตาของเขาเปรียบเสมือนกับเครื่องตรวจวัดเย็น ๆ ยังไงอย่างงั้น ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะโดนสายตาของเขาจ้องทะลุแล้ว
หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาถึงได้ละสายตาไป แล้วเดินเข้าไปข้างใน “เข้ามาเถอะ”