บทที่ 1135 ทำให้คนอุ่นใจ
ผู้หญิงคนนั้นเริ่มเปิดปากพูดโต้แย้งขึ้น ฟางฟางไม่ได้อยากจะเข้าร่วมกับพวกเขา จึงเพียงแค่ถอยหลังมาหนึ่งก้าว และบังอยู่ตรงหน้าฉินซี
ในขณะที่……สายตาของฉินซีสิบขวบโดนบังไปอย่างมิดชิดแล้ว แต่ว่าก็ดีที่ฉินซีคนปัจจุบันไม่ได้กะว่าจะสนใจอะไรพวกเขาแล้ว
จากข้อมูลที่ทราบมาทั้งหมดตอนนี้มาดูแล้ว ค่ายฝึกอบรมนี้เพียงแค่ดูดีมีป้าย“ให้ลูกหลานคนรวยมาสร้างความสัมพันธ์กัน”แขวนเอาไว้บังหน้า แต่แท้จริงแล้ว กลับอยากจะคัดเลือกคนจากในกลุ่มนี้ มาเป็นเป้าหมายเพื่อเข้าสู่กระบวนการฝึกฝน จนสุดท้ายหลังจากที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว ถึงจะได้เข้าสู่ “องค์กร”อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูดไว้
ผู้หญิงที่เคร่งขรึมคนนั้น รวมทั้งฟางฟางกับถังย่า และจ้านเซิน ก็น่าจะเป็นสมาชิกขององค์กรนั้น และที่สำคัญจ้านเซินก็น่าจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในจำนวนคนพวกนี้ แล้วฟางฟางน่าจะได้ทำความผิดอะไรลงไป ถึงได้โดนลดตำแหน่งลงไป
สำหรับตัวเองทำไมถึงได้มาอยู่ตรงนี้นั้น คำตอบส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่การแสดงออกในตอนที่ฝึกความอดทนของตัวเอง ทำให้จ้านเซินพบความพิเศษของตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงพาตัวเองมาทำการทดสอบที่ หอคอยC และเธอก็ได้มาตรฐานตามเกณฑ์การคัดเลือกของพวกเขา พวกเขาจึงกะว่าจะฝึกฝึกฝนเองต่อไป
แต่ว่าการเข้าค่ายฝึกอบรมก็แค่มีเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์ ทำให้เวลาในการฝึกฝนขั้นแรกของตัวเองนั้นค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้นจ้านเซินและผู้หญิงคนนั้นจึงตัดสินใจใช้พลังงานไฟฟ้ากระตุ้นตัวเอง
แต่ว่า ในเมื่อจ้านเซินจำเป็นจะต้องรับผิดชอบเรื่องของการเข้าค่ายฝึกอบรมด้วย จึงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนกับฉินซีทุกวันในห้องทดลองกับผู้หญิงคนนั้นได้ แต่ก็ยังกังวลว่าผู้หญิงที่ดูเหมือนกับนักทดสอบบ้าคลั่งคนนี้จะรีบร้อนทำอะไรเกินไป จึงให้ฟางฟางมาอยู่เฝ้าสังเกตการณ์ แล้วถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ให้เธอรีบเข้ามาดู
เมื่อกี้ที่ฉินซีหมดสติไปชั่วครู่ไม่ได้เป็นเพราะว่าการสะกดจิตของตัวเองในปัจจุบัน แล้วโดนยัดความทรงจำเข้ามามากเกินไป แต่เป็นเพราะฉินซีที่สิบขวบโดนกระแสไฟฟ้าจากแผ่นติดมากเกินไปต่างหาก
เป็นฟางฟางที่ช่วยตัวเองไว้
คิดว่าฉินซีที่สิบขวบก็น่าจะรู้ว่าฟางฟางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงเงยหน้ามองแผ่นหลังของฟางฟางอยู่ตลอด
แต่ว่าเธอจ้องได้ไม่นาน ฟางฟางก็หันหน้ามาแล้ว
สายตาของเขากับสายตาของฉินซีที่สิบขวบมาเจอกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏออกมา แล้วเขาก็นั่งลงมามองหน้าฉินซี “ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เดี๋ยวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
ฉินซีมองแววตาของเขาเอาไว้ แล้วก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ทำให้คนอุ่นใจขึ้นมา
แต่ว่า พอผ่านไปไม่กี่วินาที การโต้เถียงของจ้านเซินและผู้หญิงคนนั้นก็สิ้นสุดลง พอเห็นท่าทีที่สงบนิ่งของจ้านเซินและผู้หญิงคนนั้นที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแล้ว ผลสรุปก็น่าจะเดาได้ไม่ยากเลย
“ฟางฟาง คุณคุยกับเขาสักหน่อยเถอะ” จ้านเซินพูดขึ้นเสียงเรียบ “คุณรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร”
ฉินซีรู้สึกว่าสายตาที่ฟางฟางมองมาที่ตัวเองนั้นมีความลังเลอยู่บ้าง แต่ว่าสุดท้ายก็พยักหน้าลง
ผู้หญิงคนนั้นรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็เก็บข้าวของอย่างเร่งรีบ และก็เหวี่ยงประตูออกไปเลย
ฉินซีตกใจจนสะดุ้ง แต่ว่าจ้านเซินและฟางฟางกลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใด ๆ เลยยังไงอย่างงั้น
ฟางฟางยังคงอยู่ในท่าทางที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉินซีอยู่ เขามองหน้าฉินซีตรง ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียอ่อนโยนว่า “หนูยินดีจะคุยกับฉันสักหน่อยไหม?”
ฉินซีลังเลไปไม่กี่วินาที แล้วก็พยักหน้าให้
ในเมื่อฟางฟางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้ และถึงแม้จะเป็นฉินซีในตอนปัจจุบัน ก็คงจะปฏิเสธคำขอแบบนี้ได้ยาก
แต่ว่าเวลาของเรื่องทั้งหมดมันก็ช่างบังเอิญเกินไป จึงทำให้ฉินซีอดไม่ได้ที่จะมีความสงสัยขึ้นมาว่า“การช่วยชีวิต”ในครั้งนี้ จะเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นแค่การแสดงเท่านั้น เพื่อให้เธอสามารถยอมไปกับฟางฟางได้อย่างเต็มใจ
และแน่นอนว่า นี่ก็เป็นเพียงแค่การสงสัยเท่านั้น ในเมื่อเมื่อกี้ที่ฟางฟางขัดแย้งกับผู้หญิงคนนั้นช่างสมจริงเหลือเกิน ฉินซีไม่สงสัยเลยสักนิดว่า ถ้าหากจ้านเซินไม่ได้เข้ามาได้ทันเวลาพอดี พวกเธอสองคนคงจะต้องสู้กันขึ้นมาแน่ ๆ
ฝีมือการแสดงที่ดีขนาดนี้ ไม่ได้ไปสอบเข้าโรงเรียนการแสดงแต่มาที่นี่ คงจะทำให้พรสวรรค์เสียเปล่าแล้วจริง ๆ
แต่ไม่ว่าฉินซีคนปัจจุบันจะคิดยังไง ร่างของเธอก็ได้เดินไปพร้อมกับฟางฟางแล้ว และได้เดินมาถึงข้างในห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ห้องหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องทดลอง แต่เป็นห้องที่เหมือนกับห้องพักห้องหนึ่ง ข้างในไม่ได้มีอุปกรณ์เตรียมการทดลองที่ซับซ้อนอะไรมากมาย มีเพียงโซฟาไม่กี่ตัวที่ดูแล้วเหมือนจะอ่อนนุ่มมาก วางอยู่อย่างระเกะระกะ ผ้าห่มหลายฝืนก็ไม่ได้พับเก็บไว้ดี ๆ ได้แต่วางพาดไว้กับพนักโซฟาอยู่อย่างนั้น
……น่าจะเป็นที่ที่เอาไว้ให้นักทดสอบของที่นี่พักผ่อนกันในเวลาปกติ
ฉินซีคิดไปด้วย และก็เดินตามฟางฟางเข้าไปด้วย
“นั่งซิ” บนใบหน้าของฟางฟางยังคงมีรอยยิ้มอยู่
ฉินซีลังเลไปไม่กี่วินาที แล้วเลือกโซฟาที่อยู่ชิดด้านในนั่งลงไป
ฟางฟางลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมา แล้วไปนั่งลงตรงหน้าฉินซี
“ขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการหน่อยนะ ฉันชื่อฟางฟาง เป็นสมาชิกนักทดลองคนหนึ่งของที่นี่” สายตาของฟางฟางกับฉินซีสบเข้าหากันพอดี น้ำเสียงของเธอก็อ่อนโยนมาก เหมือนอย่างกับว่ากำลังคุยอยู่กับคนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่
ฉินซีก็เหมือนกับโดนน้ำเสียงของเธอทำให้หวั่นไหวไป แล้วเปิดปากพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า“ฉันชื่อฉินซีค่ะ มาเข้าค่ายที่ค่ายฝึกอบรมนี้ค่ะ”
ฟางฟางเหมือนกับว่าจะโดนคำพูดของเธอทำให้รู้สึกขำ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันรู้จ้ะว่าเธอมาเข้าค่าย”
“แต่ว่านักทดลองคืออะไรเหรอคะ?” ฉินซีสิบขวบถามคำถามที่อยู่ในใจของฉินซีคนปัจจุบันออกไปด้วย
ฟางฟางหยุดนิ่งไปไม่กี่วินาที แล้วไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่กลับเปิดปากถามขึ้นว่า “ฉินซี เธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
ฉินซีตอบกลับไปอย่างซื่อตรง “ผู้บัญชาการเป็นคนเห็นฉันเข้าตอนที่ฝึกความอดทนอยู่ แล้วเขาก็พาฉันมาที่นี่”
ฟางฟางเม้มริมฝีปากขึ้น แล้วถามต่อว่า “งั้นผู้บัญชาการได้บอกกับเธอไหมว่า ต้องมาทำอะไรที่นี่?”
ฉินซีส่ายหน้า “เขาพูดเพียงแค่ ให้ฉันมาสำรวจที่นี่ต่อ”
พูดตามหลักแล้ว จ้านเซินก็ไม่ได้หลอกตัวเอง เพียงแต่ว่าที่เขาพูดมานั้นมันยังพูดไม่หมดต่างหาก
ฉินซีอยู่ที่หอคอยCไม่ได้เป็นเพียงแค่คนสังเกตการณ์ แต่ยังโดนเอามาเป็นตัวทดลองคนหนึ่งอีกด้วย
แต่หลังจากที่ฟางฟางฟังฉินซีตอบคำถามแล้ว ก็ถอนหายใจขึ้นมาเบา ๆ ทีหนึ่ง แล้วถึงจะเปิดปากพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “งั้นฉินซี ฉันต้องขอโทษเธอแทนผู้บัญชาการด้วยนะ ตอนนี้ฉันจะมาแนะนำให้เธออย่างละเอียดสักหน่อย ว่าเพราะอะไรเธอถึงมาอยู่ที่นี่”
ฉินซีพยักหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไร
“ในตอนที่ผู้ปกครองของเธอช่วยเธอลงชื่อสมัครนั้น ก็น่าจะรู้ว่าที่นี่เป็นค่ายฝึกอบรมค่ายหนึ่ง” ฟางฟางพูดขึ้น “แต่ว่าที่นี่ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ค่ายฝึกอบรมอย่างเดียวเท่านั้น ในตอนที่พวกเธอมาสมัครนั้น ผู้ปกครองก็จะได้รับแจ้งแล้วว่า ถ้าหากในระหว่างที่อยู่ในค่ายถ้าหากประพฤติตัวได้ดีเป็นพิเศษ ก็อาจจะได้เข้าร่วมกับกลุ่มค่ายฝึกอบรมเตรียมตัวระยะยาวด้วย”
ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองเอียงหัวน้อย ๆ อย่างแสดงความไม่เข้าใจ และในใจเธอก็มีความไม่เข้าใจอยู่บ้างจริง ๆ
มีการแจ้งรายละเอียดแบบนี้ให้ทราบด้วยเหรอ?
แต่ว่าแค่คิดดูก็รู้แล้ว ฉินซึ่งเทียนก็แค่คิดแต่ว่าอยากจะเอาตัวเองยัดเข้ามาในนี้เพื่อให้รู้จักคนเยอะขึ้นหน่อย และถึงแม้จะมีการแจ้งรายละเอียดแบบนี้จริง ๆ เขาก็คงไม่เอาไปใส่ใจหรอก
หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่มีทางที่จะรู้สึกว่า ตัวเองจะสามารถ “ประพฤติตัวได้ดีเป็นพิเศษ”อยู่แล้ว
แน่นอนว่าฟางฟางจะต้องดูออกในความสงสัยของเธออยู่แล้ว แต่ว่าก็ยังคงอธิบายต่อไปเรื่อย ๆ
“กลุ่มค่ายฝึกอบรมเตรียมตัวระยะยาวนี้ ที่จริงแล้วก็คือการเข้าสู่กลุ่มการเตรียมการล่วงหน้ากลุ่มหนึ่งขององค์กรเรา หลังจากที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างครบถ้วนแล้ว ก็จะสามารถเข้าสู่องค์กรเราได้อย่างแท้จริง” ฟางฟางพูดขึ้น
ในที่สุดครั้งนี้ฉินซีก็ได้เปิดปากถามขึ้นมาแล้ว “องค์กร?”
นี่ก็ถือเป็นความสงสัยที่มากที่สุดในใจของฉินซีคนปัจจุบันด้วยเช่นกัน
“องค์กร” ที่พวกเขาพูดกันติดปาก ตกลงมันเป็นที่อะไรกันแน่?
ฟางฟางดูความสงสัยของเธอออก แต่กลับยิ้มอย่างเดียว แล้วส่ายหน้าอย่างช้า ๆ “สำหรับเรื่องขององค์กร ตอนนี้ฉันยังเปิดเผยอะไรมากไม่ได้”