บทที่ 1139 ไม่สามารถมีความรักและแต่งงานได้
ฟางฟางพาฉินซีมาถึงข้างโซฟา แล้วให้เธอนั่งลง และตัวเองก็นั่งลงตามไปด้วย
“ตอนนี้สิ่งที่ฉันจะพูดนี้ เธอจะต้องจำให้ดี แต่ว่าเธอก็จะต้องรับประกันด้วยว่า จะไม่แพร่งพรายออกไปให้คนอื่นรู้” ฟางฟางมองตาของฉินซีไว้
ฉินซีพยักหน้า “ฉันจะไม่บอกใครเลยค่ะ แม้แต่พ่อกับแม่ก็จะไม่บอก”
ฟางฟางยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเชื่อใจเธอหรือเปล่า แต่ว่าในที่สุดก็เปิดปากพูดขึ้น
“องค์กรที่พวกเราอยู่นี้มีชื่อเรียกว่า ‘เฟิง’ แต่ว่าชื่อเรียกอันนี้เกือบจะไม่มีคนใช้ เพราะว่าองค์กรนี้ทั้งหมดไม่ได้เปิดเผยการมีตัวตนอยู่” ฟางฟางพูดขึ้นมา
“ไม่ได้เปิดเผยการมีตัวตนเหรอคะ?” ฉินซีมีความสงสัย
“พูดอีกอย่างก็คือ นอกจากคนในองค์กรของพวกเราแล้ว และคนที่เราตั้งใจไปใกล้ชิดด้วย ก็จะไม่มีใครรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเรา”ฟางฟางอธิบาย
ฉินซีพยักหน้า
และฉินซีที่อาศัยอยู่ในร่างของเธอ ก็พยักหน้าตามไปด้วย
ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง……
“เมื่อก่อนฉันเคยบอกเธอไปแล้วนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเธอยังจำได้ไหม” ฟางฟางเห็นว่าเธอเข้าใจแล้ว ก็เปิดปากพูดกับเธอต่อว่า “องค์กรของพวกเรานั้นยิ่งใหญ่มาก และก็มีความสัมพันธ์กับทางการทหารของหลาย ๆ ประเทศ”
ฉินซีจำได้แม่นยำมาก เพราะฉะนั้นจึงพยักหน้า
ฟางฟางยิ้มขึ้นจาง ๆ “และนี่ก็คือคุณสมบัติขององค์กรของเรา พวกเราไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ว่ากลับร่วมมือกับทุก ๆ ประเทศ พวกเรามีห้องทดลองที่ดีที่สุดของตัวเอง และเครือข่ายข่าวกรองเป็นของตัวเอง มีประเทศมากมายหรือว่าบุคคลส่วนตัวที่มาร่วมมือกับเรา และยังมาซื้อยา อาวุธ และข่าวกรองกับเราอีกด้วย”
ฉินซีแอบตกใจขึ้นในใจลึก ๆ
“เธอมีอะไรอยากจะถาม สามารถถามฉันได้ทุกเวลา” เมื่อมองความสงสัยของฉินซีออก ฟางฟางจึงพูดขึ้นเอง
ฉินซีรีบเปิดปากถามขึ้นทันที “แต่ว่าสมาชิกของพวกคุณ……ล้วนใช้วิธีแบบนี้คัดเลือกออกมาเหรอคะ?”
พูดไปด้วย และก็เอามือชี้ที่ตัวเองไปด้วย
ฟางฟางมองไปแล้วก็เข้าใจความหมายของเธอขึ้นมา
ค่ายฝึกอบรมขององค์กรที่เสียแรงกายแรงใจ และยังต้องฝึกฝนอีกสามปี จนมาถึงสุดท้ายคัดมาได้แค่คนเดียว มาตรฐานการคัดเลือกแบบนี้มันคงจะดูรุนแรงเกินไปหน่อย เมื่อเทียบกันแล้ว คนที่สามารถผ่านการคัดเลือกเข้ามาก็น่าจะน้อยมาก แล้วจะสามารถประคับประคององค์กรที่“ยิ่งใหญ่”อย่างนี้ไปได้ยังไง?
“ขอบเขตอำนาจขององค์กรเรานั้นยิ่งใหญ่มาก” ฟางฟางยิ้มแล้วพูดขึ้น “แต่ว่าคนที่จงรักภักดีจริง ๆ กลับมีไม่เยอะ งานภายนอกมากมายนั้นเราได้มอบหมายให้คนทั่วไปไปทำ พวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่า ตัวเองกำลังทำประโยชน์ให้กับใครอยู่ แต่ว่าค่ายฝึกอบรมนี้ไม่เหมือนกัน คนมีความสามารถที่ผ่านการคัดเลือกมาจากค่ายฝึกอบรมนั้น ส่วนใหญ่จะได้เข้าสู่องค์กรและกลายเป็นกระดูกสันหลังขององค์กร”
ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองยังคงมีความสงสัยอยู่เต็มใบหน้า
และแล้วฟางฟางก็อธิบายมากยิ่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง “เธอก็รู้ว่า คนที่มาเข้าค่ายฝึกอบรมนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีพื้นเพครอบครัวมายังไง เมื่อพวกเขาได้เข้าร่วมกับองค์กร ก็จะยิ่งมีความทะเยอทะยานและมองการณ์ไกล และก็ยังจะช่วยองค์กรขยายเส้นสายได้มากยิ่งขึ้น”
อยู่ ๆ ฉินซีก็เข้าใจขึ้นมา
ที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง……
ฟางฟางเห็นว่าเธอไม่มีคำถามแล้ว ก็พูดต่อไปอีกว่า “ตอนนี้คนที่จงรักภักดีภายในองค์กรนั้นมีจำนวนคนอยู่ไม่เยอะ ต่อไปเธอก็น่าจะมีโอกาสได้ค่อย ๆ พบเจอ……”
แต่ว่าฉินซีที่สิบสามขวบกลับอยู่ ๆ ก็เปิดปากพูดขัดคำพูดของเขาขึ้นมา “งั้นจ้านเซินก็เข้ามาด้วยวิธีแบบนี้ด้วยเหรอคะ ?”
ฉินซีเห็นแววตื่นตระหนกกะพริบขึ้นแป๊บหนึ่งในดวงตาของฟางฟางได้อย่างชัดเจน
“เขา……ไม่ใช่” ฟางฟางเปิดปากพูดขึ้น
เขาหรี่ตาลงต่ำ ท่าทางอย่างกับว่าไม่อยากจะพูดมากเท่าไหร่
แต่ว่าในเมื่อตอนนั้นฉินซีอายุยังน้อย สำหรับเรื่องที่ตัวเองไม่เข้าใจแล้ว ก็จะมีความรู้สึกบุ่มบ่ามจนอยากจะถามไปให้หมดเปลือก
“งั้นเขาเข้ามาได้ยังไงกันคะ?” ฉินซีอาจจะค่อนข้างรู้สึกแปลกใจต่อครูฝึกของตัวเองคนนี้ เพราะฉะนั้นเธอถึงได้จับไว้ไม่ยอมปล่อย“ยังมีวิธีอื่นอีกเหรอคะ?”
ฟางฟางเงียบไปหลายวินาที ในที่สุดถึงได้ยอมเปิดปากพูดออกมา “เขาไม่ได้โดนคัดเลือกเข้ามา แต่เขา……เป็นลูกชายของท่านผู้นำขององค์กร”
สำหรับคำตอบนี้นั้นฉินซีคนปัจจุบันกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก
ผู้นำองค์กรคนที่ว่ามานั้น ก็น่าจะเป็นชายวัยกลางคนที่หน้าตามีส่วนคล้ายคลึงกับจ้านเซินคนนั้น
แต่ว่าสิ่งที่เธอสนใจอยู่บ้าง ก็คือปฏิกิริยาของฟางฟาง
ลูกชายของผู้นำ แล้วทำไมถึงได้ทำให้เธอพูดออกมาได้ยากขนาดนี้?
ครั้งนี้ ฉินซีสิบสามขวบเหมือนอยู่ ๆ ก็จะรอบรู้ขึ้นมายังไงอย่างงั้น แล้วถามคำถามที่เธอสงสัยอยู่ขึ้นมาด้วย
“อย่างนี้เหรอคะ……แต่ว่าฉันรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของคุณกับจ้านเซิน ก็เหมือนจะไม่ธรรมดานะคะ?”
ยังไงก็ยังเป็นตอนเด็ก ๆ ดี ไม่ว่าจะถามคำถามที่ซื่อตรงและโหดร้ายแค่ไหน ก็สามารถใช้ความไร้เดียงสามาบดบังไปได้
คำพูดพวกนี้ของฉินซีถามออกไป ก็รู้สึกว่ารอยยิ้มที่มุมปากของฟางฟางนั้นดูฝืน ๆ ขึ้นเล็กน้อย
เธอยึกยักไปไม่กี่วินาที ดูไปแล้วเหมือนอยากจะปฏิเสธ แต่ว่าสุดท้ายก็ยอมแพ้ต่อการยึกยัก
เธอพยักหน้าขึ้นเบา ๆ “จ้านเซินเป็น……ลูกชายของฉันกับผู้นำ”
ถึงแม้จะมีการเตรียมใจไว้แล้ว แต่ว่าฉินซีก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี
“คุณ…… เขา…… พวกคุณ……” แต่ฉินซีสิบสามขวบกลับยิ่งโดนความตรงไปตรงมาของเขาทำให้ตกใจจนพูดจาอ้ำ ๆ อึ้ง ตั้งนานยังพูดประโยคที่ปะติดปะต่อกันออกมาไม่ได้
แต่กลับเป็นฟางฟางที่ตั้งสติได้ก่อน และมองฉินซีแล้วพูดว่า “เธอสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังตกใจได้ขนาดนี้ล่ะ”
ปากของฉินซีอ้าแล้วก็หุบลง ผ่านไปหลายนาทีแล้วถึงถามคำถามอ้ำอึ้งออกมาคำถามหนึ่ง “งั้นจ้านเซินทำไมไม่เคยเรียกคุณว่าแม่มาก่อนเลย เขาเรียกแต่ชื่อคุณทั้งนั้น……”
ฉินซีก็จำได้อย่างชัดเจนว่า ในตอนที่ตัวเองเห็นฟางฟางและจ้านเซินปรากฏตัวพร้อมกันครั้งแรกในความทรงจำนั้น เห็นได้ชัดว่าจ้านเซินเรียกฟางฟางด้วยชื่อโดยตรง
หรือว่าจะเป็นวัฒนธรรมตะวันตกเหรอ?
แต่ว่าอย่างรวดเร็วฉินซีก็ปฏิเสธความเป็นไปได้แบบนี้อยู่ในใจไป
เพราะว่าไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องสรรพนามเท่านั้น
เธอดูจากช่วงความทรงจำทั้งหมดของตัวเองแล้ว ราวกับว่าจ้านเซินนั้นไม่เคยเห็นว่าฟางฟางเป็นแม่ตัวเองเลยสักครั้ง
ท่าทีที่เขามีต่อฟางฟาง ถ้าจะเทียบว่าเป็นมารดา ก็ยิ่งเหมือนกับเป็นลูกน้องคนหนึ่งมากกว่า
มุมปากของฟางฟางมีรอยยิ้มขมขื่นออกมา เขาเงียบอยู่นาน ถึงได้เปิดปากพูดขึ้นว่า
“ฉินซี ที่จริงฉันไม่ได้กะว่าจะบอกกฎเกณฑ์ภายในขององค์กรนี้ให้เธอรู้เร็วขนาดนี้ แต่ว่าในเมื่อเธอถามออกมาแล้ว งั้นฉันก็……บอกเธอเลยละกัน” เขายังคงหรี่ตาลงต่ำเช่นเดิม และพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “องค์กรมีกฎว่า ระหว่างที่อยู่ในองค์กร พวกเราไม่สามารถมีความรักและแต่งงานได้ ไม่สามารถมีความรู้สึก แม้แต่ยังต้องพยายามยับยั้งชั่งใจอารมณ์ที่อ่อนไหวเกินไปของตัวเองอีกด้วย”
ฉินซีที่อายุสิบสามขวบเหมือนจะเข้าใจได้ยาก เธอได้แต่นิ่งอึ้งอยู่กับที่
“ไม่สามารถมีความรักและแต่งงานได้……” ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองพึมพำซ้ำ ๆ ไปรอบหนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นอีกครั้งเหมือนไม่เข้าใจเอามาก ๆ ว่า “เพราะฉะนั้น คุณกับผู้นำ ก็เลยไม่ได้แต่งงานกันเหรอคะ?’
ฟางฟางพยักหน้าเบามาก ๆ
ความโศกเศร้าบนใบหน้าของเขาดูชัดเจนขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นฉินซีที่อ่อนต่อโลก ก็รู้ว่าไม่ควรที่จะถามต่อไปอีกแล้ว
และฉินซีที่อาศัยอยู่ในร่างของเธอ คราวนี้ก็มีความรู้สึกแบบที่ว่าอยู่ ๆ ก็เข้าใจแล้วขึ้นมา
การแนะนำในครั้งนี้ของฟางฟาง ได้อธิบายความสงสัยในใจของเธอได้มากมาย
เธอจำได้ว่าตอนที่ลู่เซิ่นแนะนำบริษัทแม่ของถังย่าให้ตัวเองนั้นเขาเคยพูดไว้ว่า เขาก็เช็กความตื้นลึกหนาบางของบริษัทนั้นไม่เจอเช่นกัน
แต่ตอนนี้มาดูแล้ว สาเหตุนั้นก็ชัดเจนมากเลย บริษัทของถังย่าก็คือส่วนหนึ่งขององค์กรที่ชื่อ“เฟิง”ที่ว่ามานี้ งั้นก็จะต้องไม่ให้คนตรวจเจอตื้นลึกหนาบางอยู่แล้ว