บทที่ 1141 อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
ฉินซีสามารถมองเห็นภาพตัวเองในความทรงจำมาเจอกับฟางฟางเข้า หลังจากที่สิ้นสุดบทเรียนฝึกอบรมแล้ว
ในตอนนั้นดูไปแล้วเธอได้กลายเป็นเหมือนหุ่นยนต์ที่เย็นชาตัวหนึ่งไปแล้ว เพราะฉะนั้นตอนที่เห็นฟางฟางใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ เธอก็แค่พยักหน้าให้อย่างเย็นชา
และความผิดหวังของฟางฟางก็ไม่ได้ปกปิดไว้ ฉินซีสามารถเห็นเขาพึมพำออกมาประโยคหนึ่งอย่างชัดเจนว่า “สุดท้ายเธอก็โดนเปลี่ยนแปลงอยู่ดี”
มีแต่ตัวฉินซีเองที่รู้ ว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้โดนบทเรียนขององค์กรนี้เปลี่ยนแปลงไปซะทั้งหมด
เพียงแต่ว่าเธอจำเป็นจะต้องแสดงออกไปว่าได้เปลี่ยนเป็นคนในแบบที่องค์กรต้องการแล้ว
ไม่อย่างงั้น บทเรียนที่ต่อต้านเธอก็จะต้องดำเนินต่อไป จนกระทั่งเธอได้กลายเป็น“มนุษย์หุ่นยนต์”ไปอย่างแท้จริงแล้ว ถึงจะสิ้นสุด
ฉินซีในตอนนี้มองใบหน้าที่ผิดหวังของฟางฟาง แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดความสงสัยอย่างหนึ่งโผล่ขึ้นมา
……ทำไมฟางฟางถึงได้ดำรงอยู่ในองค์กรที่ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ “มนุษย์หุ่นยนต์” อย่างนี้ได้ล่ะ?
เธอยังจำตอนครั้งแรกที่เจอฟางฟางได้ และก็คำพูดที่นักทดสอบหญิงคนที่เกือบจะลงมือโหดเหี้ยมกับเธอคนนั้นพูดกับฟางฟางได้
“ผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่มีความรู้สึกอย่างคนทั่วไป”
แล้วรวมกับความสัมพันธ์ของเขาและจ้านเซิน รวมทั้งเบาะแสทุก ๆ อย่างรวมกันแล้ว มันทำให้ฟางฟางผู้หญิงที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ ดูไปแล้วกลับความลึกลับขึ้นมาหลายส่วน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉินซียังหาความทรงจำที่จะสามารถมาอธิบายเกี่ยวกับปัญหานี้ยังไม่ได้ แต่กลับพบความทรงจำที่เธอพบเจอกับลู่เซิ่นในครั้งแรก
ในความทรงจำกับทุกอย่างที่ลู่เซิ่นบอกเธอนั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก เพียงแต่ว่าพอมองจากมุมมองของตัวเองแล้ว ก็ยิ่งมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก
ฉินซีคิดถึงหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่ลู่เซิ่นบอกว่าสนใจในตัวเธอ ก็เพราะว่าความสงบนิ่งตอนที่เธอเผชิญหน้ากับระเบิด พอตอนนี้มามองจากมุมมองของตัวเองไปแล้ว ฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ
เธอก็ต้องไม่รู้สึกตื่นตระหนกกับระเบิดนี้อยู่แล้ว
เพราะว่านี่เป็นรายละเอียดในภารกิจของเธอ
ที่จริงแล้ว ที่ฉินซีปรากฏตัวขึ้นในห้องแสดงงานศิลปะนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจ
ห้องแสดงงานศิลปะจะมีเรื่องถูกจู่โจมนั้นได้มีองค์กรก่อการร้ายข่มขู่มาล่วงหน้าตั้งนานแล้ว มีกระทั่งจดหมายข่มขู่ส่งมาให้ทางผู้จัดงาน พอทางผู้จัดงานไม่มีทางเลือกก็เลยเลือกแจ้งตำรวจ แล้วตำรวจเมืองหนานหลังจากที่สืบค้นไปสืบค้นมา ก็ค้นหามาถึงองค์กรของฉินซี เพื่อให้มาช่วยแก้ไขปัญหานี้
ที่จริงภารกิจนี้ไม่ได้ซับซ้อนมาก ฉินซีแทบจะไม่ได้เสียแรงอะไรเลย ก็สามารถตามสืบเสาะหาองค์กรนี้กลับไปได้แล้ว และยังสามารถเอารูปแผนผังที่องค์กรนั้นเตรียมจะวางระเบิดไว้มาได้ด้วย
องค์กรเอารูปส่งมอบให้ตำรวจเมืองหนาน แล้วก็เตรียมแผนรับมือไว้ให้ ก็ถือได้ว่าภารกิจนี้สำเร็จแล้ว แต่ว่าก็แค่พอดีที่ฉินซีได้รับการเชิญมาด้วย องค์กรก็เลยให้เธอไปเฝ้าติดตามสถานการณ์ของภารกิจนี้ด้วยสักหน่อย
ภารกิจนี้แทบจะเป็นฉินซีทำสำเร็จด้วยตัวคนเดียว เพราะฉะนั้นแผนการรับมือนี้เธอก็เข้าใจอย่างชัดเจนดี
ตามข่าวกรองที่ได้รับมานั้น กลุ่มผู้จู่โจมขององค์กรก่อการร้ายจะแฝงตัวเข้ามาวางระเบิดในห้องแสดงงานศิลปะ ในช่วงที่ตกแต่งสถานที่ล่วงหน้าหนึ่งอาทิตย์ แต่ทางห้องแสดงงานศิลปะจะประกาศกฎอัยการศึกก่อนที่เปิดแสดงอย่างเป็นทางการหนึ่งวัน เพราะฉะนั้นพวกเขาจะให้สมาชิกสลายตัวออกไปทั้งหมด แต่ว่ารอตอนที่เปิดแสดงอย่างเป็นทางการนั้น พวกเขาก็จะแฝงตัวเข้ามากับผู้คนที่มาชมงาน
เพราะฉะนั้นฉินซีจึงแนะนำกับทางตำรวจว่า ในคืนก่อนงานแสดงจะเปิดให้ถอดระเบิดที่จะมีแรงทำลายล้างสูงออกไปก่อน ส่วนระเบิดบางส่วนที่ไม่ร้ายแรงมากหรือที่วางไว้ค่อนข้างสะดุดตาก็ไม่ต้องถอดออก เพื่อใช้สิ่งนี้มาหลอกตากลุ่มคนที่แฝงตัวเข้ามาดูสถานการณ์ เพื่อให้พวกเขาเดินไปตามแผนการที่ตัวเองได้วางไว้ก่อนหน้าต่อไป เพื่อจะได้ให้ทางตำรวจรวบพวกเขาทีเดียวได้หมด
เพราะฉะนั้นภาพเหตุการณ์ที่ห้องแสดงมีระเบิด และมีคนถือปืนออกมาจู่โจม ภาพพวกนี้ต่างก็อยู่ในสิ่งที่ฉินซีคาดการณ์ไว้แล้ว แน่นอนว่าเธอก็ต้องไม่เหมือนเด็กสาวทั่วไปที่ต้องตื่นตระหนกกันอยู่แล้ว
……ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ภารกิจของเธอ และเธอเองก็ไม่ต้องตื่นตระหนกซะเท่าไหร่
แต่ว่าการพบเจอกับลู่เซิ่นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเธอ
พอเห็นผู้ชายคนนี้ที่ยืนอยู่ในผลงานภาพถ่ายของตัวเองนั้น ในความทรงจำของฉินซีได้หลงเหมือนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้อย่างซื่อตรง
……หัวใจของเธอเปลี่ยนเป็นเต้นเร็วถึงขีดสุด
การฝึกฝนในปกตินั้น จะต้องให้เธอคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงในร่างกายตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ในวินาทีนั้นที่จังหวะการเต้นหัวใจตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ถึงได้ทำให้ตัวเองจดจำได้ลึกซึ้งขนาดนี้
และพอเห็นลู่เซิ่นอยู่ในความทรงจำ ในตอนนี้วินาทีนี้ฉินซีก็สามารถรู้สึกได้ว่า หัวใจของตัวเองเหมือนโดนอะไรมาบีบไปครั้งหนึ่ง รู้สึกจี๊ด ๆ แน่น ๆ
เธอหลอกตัวเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าลู่เซิ่นจะทำเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจไว้มากมายจริง ๆ ก็ตาม เรื่องโกรธคือเรื่องจริง แต่ว่ายังรักเขาอยู่ ก็ยังคือเรื่องจริงเช่นกัน
เรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องที่พูดว่าขาดก็จะขาดได้เลยที่ไหนกัน
ไม่งั้นทำไมถึงได้แค่เห็นเงาราง ๆ ของเขาอันหนึ่งอยู่ในความทรงจำ และนึกย้อนกลับไปถึงการพบตัวเองครั้งแรกอย่างที่เขาเคยพูดไว้ ก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความคิดถึงที่มีต่อลู่เซิ่น
ดูท่าแล้ว การฝึกฝนขององค์กรกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงเธอได้อย่างแท้จริง
ถึงแม้ในห้าปีเต็ม ๆ จะโดนสั่งสอนทุกวันให้กลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึกคนหนึ่ง แต่ว่าการสั่งสอนแบบนี้จะมาต่อต้านธรรมชาติได้ยังไงล่ะ
อย่างน้อยตัวเธอในวินาทีนั้น ยังเป็นคนเป็น ๆ คนหนึ่งอยู่
จิตใจหวั่นไหวให้ลู่เซิ่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังชื่นชมผลงานของตัวเองอีกด้วย
……ที่แท้ความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อลู่เซิ่น ก็เคยเป็นรักแรกพบมาก่อน
หรืออาจจะสามารถพูดได้แบบนี้ คือบ่ายวันนั้นคนที่ลู่เซิ่นเจอ ไม่ใช่ฉินซีที่เข้าร่วมกับองค์กรมาห้าปีและผ่านการฝึกให้กลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์แล้ว แต่เป็นฉินซีที่เติบโตมาอย่างราบรื่นในตระกูลฉินแล้วก็ร่าเริงสดใสและไร้เดียงสาอย่างแท้จริง
สิ่งที่เธอทำทั้งหมดกับสิ่งที่ปกติปฏิบัติผ่าน ๆ กับคนอื่นนั้นไม่เหมือนกัน รอยยิ้มทุกครั้ง ล้วนมาจากใจจริง
เธอกับตัวเองในความทรงจำ และลู่เซิ่นเดินดูรอบห้องแสดงงานศิลปะไปรอบหนึ่ง หยุดฝีเท้าลงตรงหน้ารูปทุกรูปที่ตัวเองชอบ แล้วได้ยินเสียงระเบิดพร้อมกัน และส่งผู้คนออกไปพร้อมกัน ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน วนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลพร้อมกัน แล้วเดินมาถึงหน้าประตูพร้อมกัน
สุดท้าย ถึงแม้ในใจของฉินซีจะเสียดายแค่ไหน แต่เธอก็รู้ว่าความทรงจำช่วงนี้จะไปถึงจุดจบในทันทีแล้ว
สุดท้ายเธอก็ไม่กล้าทิ้งวิธีติดต่อกับลู่เซิ่นไว้ และแม้แต่ชื่อก็ไม่กล้าบอก
……อาจจะเพราะว่าเธอยังพอมีสติเส้นสุดท้ายอยู่ ยังจำได้ว่าตัวเองเป็นคนขององค์กร
การสั่งสอนมาตลอดห้าปีก็เพื่อให้เธอละทิ้งความรู้สึกทุกอย่าง
เธอรู้ว่าถ้าหากครั้งนี้ให้ช่องทางการติดต่อกับลู่เซิ่นไว้ งั้นเธอก็คงจะตกลงสู่ห้วงแห่งความรู้สึกอย่างไม่ต้องสงสัย
ตลอดทั้งบ่ายจิตใจหวั่นไหวโดยไม่มีใครสังเกตการณ์อยู่ถึงแม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ว่าถ้าหากเกิดมีใจอยากจะคบกับลู่เซิ่นขึ้นมาจริง ๆ แล้วล่ะก็ เธอไม่กล้าไปคิดถึงผลที่จะตามมาทีหลังเลย
เพราะฉะนั้นเธอได้แต่โบกมือลาลู่เซิ่น ก่อนที่เขาจะพูดคำพูดเหนี่ยวรั้งอะไรขึ้นมาเธอก็รีบหมุนตัวแล้วจากไป ไม่กล้าหันหน้ากลับไปอีกเลย
ฉินซีสามารถรับรู้ได้ว่ามุมปากของตัวเองได้คลี่ยิ้มไว้ตลอด
…….
หมอและจ้านเซินที่อยู่ในห้องกลับไม่รู้ว่าฉินซีกำลังนึกถึงอะไรอยู่ พวกเขาไม่มีทางเหมือนฉินซีที่เข้าไปอยู่ในความทรงจำของเธอได้ สิ่งที่พวกเขามองเห็นได้ มีแต่ฉินซีกำลังอยู่ในความเจ็บปวดมาก และยิ้มขึ้นจาง ๆ เท่านั้น
จ้านเซิน แทบจะเป็นไปโดยสัญชาตญาณ ครู่เดียวก็ชักสีหน้าขึ้นมา
เข้ารู้ดี ว่าฉินซีจะต้องนึกถึงลู่เซิ่นขึ้นมาแล้วแน่ ๆ
แต่ว่าเขาไม่มีทางควบคุมความทรงจำของฉินซีได้
เขาเป็นคนอยากจะให้ฉินซีจดจำทุกอย่างขึ้นมาได้ อย่างงั้นก็จะต้องจำลู่เซิ่นได้แน่นอน
ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่ว่าพอมาถึงเวลานี้จริง ๆ เขาโกรธมากยิ่งกว่าที่ตัวเองคาดคิดไว้ซะอีก
ทั้ง ๆ ที่คนที่ฉินซีเจอก่อนเป็นตัวเอง คนที่อยู่กับฉินซีเป็นเวลามากกว่าก็คือตัวเอง แล้วมีสิทธิ์อะไรที่ลู่เซิ่นก็แค่มาปรากฏตัวขึ้นแค่แป๊บเดียว ก็มายึดครองสายตาทั้งหมดของฉินซีไปแล้ว ?
เขาไม่เต็มใจ