บทที่ 1142 ยากที่จะเข้าใจ
และจ้านเซิน ที่อยู่ในความทรงจำของฉินซี ก็มีความคิดแบบเดียวกัน
ในปีที่ฉินซีอายุสิบแปดนั้น จ้านเซินก็ได้มาดำรงตำแหน่งแทนพ่อของเขาแล้ว และกลายเป็นผู้นำขององค์กร
เพียงแต่ว่าจ้านเซินในตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นคนที่จงรักภักดีต่อองค์กรที่สุด แต่เหมือนกับว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินซีทั้งหมด เขาก็จะสนใจมากเกินกว่าปกติ
ฉินซีจำได้ว่าตัวเองสังกัดฝ่ายข่าวกรอง แต่ว่าภารกิจเกือบทั้งหมดของเธอกลับมีจ้านเซินมาเป็นคนมอบหมายให้เธอ การรายงานหลังจากที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะต้องรายงานต่อเขาโดยตรง
นี่จะต้องไม่ตรงตามกฎแน่นอน แต่ว่าดูไปแล้วไม่มีใครกล้าขัดคอจ้านเซิน เลย
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าฉินซีจะระมัดระวังไม่ให้ข้อมูลอะไรรั่วไหลออกไปยังไง แต่ว่าสุดท้ายจ้านเซิน ก็ยังรู้ข่าวที่เธออยู่กับลู่เซิ่นตลอดทั้งบ่ายอยู่ดี
ฉินซีไม่รู้ว่าเขาได้ทำการตัดสินใจอะไรไป แต่ว่ารวดเร็วเธอก็โดนองค์กรเรียกตัวกลับไปที่สำนักงานใหญ่ แล้วก็สะกดจิตให้กับเธอ
หลังจากที่โดนสะกดจิตแล้ว ฉินซีก็สามารถรู้สึกได้ว่าความรู้สึกสดใหม่ที่เธอมีต่อลู่เซิ่นนั้น อยู่ดี ๆ ก็จืดจางลงไปไม่น้อย
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่หลงเหลืออยู่เลย แต่ยิ่งเหมือนกับว่าโดนผ้าบาง ๆ คลุมเอาไว้ชั้นหนึ่ง ที่ดูไปแล้วเหมือนกับเป็นเรื่องราวความรักของผู้อื่น
น่าจะเป็นเพราะว่าใช้การสะกดจิตมาบดบังความรู้สึกของเธอเอาไว้
เพราะฉะนั้น หลังจากนั้นแล้วฉินซีก็ไม่เคยคิดถึงลู่เซิ่นอีกเลย
ถ้าหากรู้ว่าลู่เซิ่นก็กำลังพยายามตามหาเธออยู่ละก็…….
พวกเขาน่าจะต้องได้พบเจอกันเร็วกว่านี้ และรักกันเร็วกว่านี้มั้ง
ความรู้สึกของฉินซีตอนนี้โดนจังหวะใจเต้นหลังจากที่เจอกับลู่เซิ่นครั้งแรกมาบดบังไปจนไม่เหลือแล้ว แม้กระทั่งยังลืมช่วงความทรงจำทั้งหมดที่ลู่เซิ่นมาทำให้ตัวเองปวดใจไปชั่วคราว
แต่ว่าความทรงจำช่วงนี้มาถึงตรงนี้ก็ได้สิ้นสุดลงในที่สุด
ตอนที่ฉินซีตั้งสติได้อีกครั้งนั้น ก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
ตรงหน้าเธอมีอานหยันยืนอยู่ แต่ปากของเธอกำลังอ้า ๆ หุบ ๆ พูดอะไรอยู่ “ฉันจะกลับไปถามทุกอย่างให้ชัดเจน”
ใจของฉินซีกระตุกอย่างแรงทีหนึ่ง
……ครั้งนี้เธอไม่ต้องเสียแรงอะไร ก็สามารถนึกออกได้แล้วว่าที่นี่เป็นที่ไหน
นี่คือที่ที่หลังจากเหยาหมิ่นกินยาฆ่าตัวตายแล้ว เธอก็ส่งเหยาหมิ่นมาล้างท้องที่นี่
ยังดีที่ช่วยเหลือได้ทันเวลา สุดท้ายจึงสามารถช่วยเหยาหมิ่นกลับมาได้ แต่ว่าฉินซีกลับโกรธจนถึงขีดสุด เพราะฉะนั้นจึงกะว่าจะไปหาฉินซึ่งเทียนเพื่อถามให้รู้เรื่อง
อยู่ ๆ ฉินซีก็มีความสงสัยขึ้นมา ที่นี่มีเรื่องที่เธอหลงลืมด้วยเหรอ?
เธอจำได้ว่าเคยถามอานหยันว่า หลังจากนี้แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง อานหยันบอกว่าตัวเธอโศกเศร้าเสียใจกลับมาจากบ้านตระกูลฉิน กลับไม่ได้เกิดเรื่องอะไรที่แตกต่างไป
……บางทีตัวเองอาจจะไม่ได้บอกกับอานหยัน
พอฉินซีคิดได้แบบนี้ ก็ตั้งใจสังเกตการณ์ความทรงจำช่วงนี้ของตัวเองขึ้นมา
เธอเหม่อลอยไปครู่หนึ่งนี้ ตัวเองก็ได้เดินมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล แล้วก็เข้าไปนั่งในรถแล้ว
แต่ว่ายังไม่ทันได้สตาร์ทรถ โทรศัพท์ของเธอก็สั่นไหวขึ้นมา
ฉินซีก้มหน้ามองโทรศัพท์ทีหนึ่ง สายที่โทรเข้ามาไม่มีเบอร์โทรศัพท์แสดง
สายโทรศัพท์แบบนี้ นอกจากคนในองค์กรแล้ว ก็ไม่มีทางเป็นคนอื่นอีกแล้ว
ฉินซีไม่ได้ชักช้า เธอยื่นมือไปกดรับโทรศัพท์
เสียงจากปลายสายอีกฝั่งที่ลอยมาคือเสียงของจ้านเซิน
“มีเรื่องด่วน ตอนนี้เธออยู่ไหน?”
ฉินซีค่อย ๆ ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ตอบไปอย่างซื่อตรงว่า “ฉันอยู่โรงพยาบาล”
เห็นได้ชัดว่าจ้านเซินไม่ได้ถามเธอว่าทำไมถึงอยู่ที่โรงพยาบาลให้ยุ่งยาก ผ่านไม่กี่วินาทีแล้วก็ตอบว่า “ที่โรงน้ำชาหนานเฟิงเดี๋ยวฉันส่งตำแหน่งไปให้เธอ เธอรีบมาเดี๋ยวนี้เลย”
ฉินซีไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ทิ้งความคิดที่จะไปบ้านตระกูลฉินก่อน แล้วหันมาดูแผนที่ในโทรศัพท์ แล้วก็มาถึงโรงน้ำชาหนานเฟิง
เธอจอดรถลง แล้วเดินเข้าไปข้างใน
จ้านเซินอยู่ในห้องส่วนตัวตรงหัวมุมชั้นสอง พอเห็นฉินซีเดินเข้ามา ปฏิกิริยาของเขาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
จนกระทั่งฉินซีมานั่งลงตรงหน้าเขา เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองฉินซีทีหนึ่ง
“เกิดเรื่องขึ้นกับฟางฟางแล้ว ”
ฉินซีขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันที “ฟางฟางเหรอ?”
จ้านเซินพยักหน้า
ชั่วขณะหนึ่งฉินซีรู้สึกเข้าใจได้ยาก “ฟางฟาง จะเกิดเรื่องขึ้นได้ยังไงกัน?”
ฟางฟางไม่เหมือนกับพวกเขา เธอเป็นเพียงนักทดลองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ปกติอยู่ภายในองค์กรก็แค่ทำการทดลองและแก้ไขจุดบกพร่องก็พอแล้ว และไม่ต้องออกมาทำภารกิจ ถ้าพูดตามหลักแล้ว ก็ต้องไม่มีอันตรายใด ๆ ถึงจะถูก
จ้านเซินกลับไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเธอ แต่กลับเอาแท็บเล็ตตรงหน้าเลื่อนมาให้เธอ
“สุดท้าย ตำแหน่งสุดท้ายของเขาคืออยู่ตรงนี้ พวกเราสงสัยว่าเธอโดนลักพาตัวไประหว่างทางที่กลับบ้าน เธอเดินหน้าตรวจสอบตามข้อมูลเหล่านี้ได้เลย”
ฉินซีกลับไม่ได้รีบก้มหน้าดูแท็บเล็ตในทันที
“ตกลงมันเรื่องอะไรกัน?” ฉินซีเอาตัวโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วจ้องตาของจ้านเซิน เอาไว้ “ทำไมฟางฟางถึงได้โดนลักพาตัวไป?”
ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้การไปมาหาสู่ของเธอกับฟางฟางจะไม่มากเท่าไหร่แล้ว แต่ว่าเริ่มตั้งแต่ที่เธอโดนเขาช่วยไว้ตอนที่อยู่ในหอคอยCของค่ายฝึกอบรม จนกระทั่งมาถึงตอนที่เธอบรรลุนิติภาวะและสิ้นสุดบทเรียนทุกอย่าง ในเวลาแปดปีเต็ม ๆ ฟางฟางล้วนมีตัวตนอยู่อย่างสำคัญอย่างยิ่ง สิ่งที่ฟางฟางสอนให้กับเธอ ไม่ได้มีเพียงแค่สิ่งที่องค์กรต้องการ
เธอยังจำประโยคนั้นที่ฟางฟางพูดได้เสมอ “ฉันหวังว่าเธอจะฝึกไม่เป็น” เพราะฉะนั้นถึงได้ไม่โดนองค์กรหลอมละลายให้กลายเป็นมนุษย์เครื่องมือที่ไร้ความรู้สึกไป
สำหรับฉินซีมาพูดแล้ว เธอก็เหมือนกับว่ามีมารดาสองคน
ในบ้านมีเหยาหมิ่น และที่ในองค์กรมีฟางฟาง
เพราะฉะนั้นสำหรับการที่ฟางฟางเกิดเรื่องขึ้นนั้น เธอไม่มีทางที่จะบดบังการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของตัวเองได้อีกแล้ว
เพียงแต่ว่าคราวนี้จ้านเซินกลับเมตตาอย่างเกินความคาดหมาย เขามองฉินซีที่มีท่าทีร้อนรน แล้วหยุดนิ่งไปไม่กี่วินาที สุดท้ายก็เปิดปากพูดขึ้นว่า
“การทดลองที่เขาทำในช่วงนี้ เกี่ยวเนื่องกับความลับอย่างหนึ่ง ถ้าสามารถได้รับข้อมูลใหม่ ๆ ละก็……ก็จะมีมูลค่ามหาศาล”
คิ้วของฉินซีก็ยังคงขมวดเข้าหากันอย่างแน่นหนา
ในคำพูดของจ้านเซิน นั้น มีจุดที่น่าสงสัยอยู่เยอะมาก
การทดลองที่เป็นความลับในองค์กร ทำไมถึงได้รั่วไหลออกไปได้?
แล้วรายชื่อของผู้ที่ร่วมทดลอง ไปให้คนอื่นรู้เข้าได้ยังไงกัน?
ฉินซีอยู่ในองค์กรมาหลายปีขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องรู้อยู่แล้วว่าระบบรักษาความปลอดภัยขององค์กรนั้นเคร่งครัดแค่ไหน แล้วข้อมูลที่ถือได้ว่าเป็นความลับแบบนี้ แทบจะไม่มีทางที่จะให้คนนอกรู้ได้แน่ ๆ
แต่ว่ากลับเป็นฟางฟางเท่านั้นที่เกิดเรื่องขึ้น
ในใจของเธอยังมีความสงสัยอยู่มากมายแต่ว่าเธอรู้ดีว่า จ้านเซินที่อยู่ตรงหน้านี้จะไม่มีทางบอกรายละเอียดอะไรกับเธออีกแล้ว
เพราะฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่ไปหาคำตอบเอาเอง
พอย้อนความทรงจำมาถึงตรงนี้ อยู่ ๆ ฉินซีก็เข้าใจขึ้นมา
อานหยันมักจะพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า ช่วงที่เหยาหมิ่นนอนโรงพยาบาลอยู่นั้น มองดูตัวเธอแล้ว มักจะรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยอย่างผิดปกติ
ที่แท้ในช่วงเวลานั้นตัวเองไม่ใช่แค่ต้องกังวลสถานการณ์ของเหยาหมิ่นเพียงคนเดียว ยังมีเรื่องของฟางฟางที่ต้องการให้ไปสืบค้นไปด้วย แน่นอนว่าก็หลีกเลี่ยงความเหน็ดเหนื่อยไปไม่ได้
ในความทรงจำ ตัวเองได้เก็บข้อมูลที่จ้านเซิน ให้มาให้เรียบร้อยดีแล้ว แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโรงน้ำชา
เข้ามานั่งในรถ ฉินซีก็ยกมือขึ้นมาดูนาฬิกา สุดท้ายก็เหยียบคันเร่ง แล้วก็ขับรถมุ่งหน้าไปบ้านตระกูลฉิน
โรงน้ำชาหนานเฟิงอยู่ห่างกับบ้านตระกูลฉินไม่มากนัก ไม่นานเท่าไหร่ ฉินซีก็มาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลฉิน
ยามหน้าประตูก็ต้องจำรถของเธอได้อยู่แล้ว เธอจึงไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ ตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลฉิน
แต่ว่าพอเธอเพิ่งจะเดินเข้าประตูมา ก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงลอยออกมาจากในห้อง
สำหรับฉินซีเมื่อตอนนั้นมาพูดแล้ว เสียงนี้ก็ยังถือได้ว่าแปลกหูมาก
แต่ว่าสำหรับเธอในตอนนี้มาพูดแล้วนั้น เสียงนี้กลับคุ้นเคยไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ฉินซีเพิ่มความเร็วของฝีเท้า และหลีกเลี่ยงฉากบังลมที่หน้าประตูเดินมาถึงห้องรับแขก พอเงยหน้าขึ้นมา ก็สบตาเข้าผู้หญิง“แปลกหน้า”คนหนึ่งเข้าเต็มสองตา
……และไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลี่เหวยนั่นเอง